บุคคลที่ชื่อว่าแม่ของแต่ละคน
โดย Guest  31 ก.ค. 2553
หัวข้อหมายเลข 16838

ขอบูชาคุณบิดา มารดา

ย้อนรำลึกเหตุการณ์ที่ผ่านมากับพ่อแม่

สำหรับกระทู้นี้ ข้าพเจ้าขอเล่าเรื่อราวในบางส่วน ของชีวิตข้าพเจ้า เพื่อเตือนใจข้าพเจ้าและเพื่อประโยชน์กับสหายธรรม ที่จะได้ระลึกถึงคุณของ บิดา มารดากันได้ไม่มากก็น้อย บุคคลที่ชื่อว่าแม่ สำหรับผมก่อนฟังพระธรรม คือบุคคลที่ให้กำเนิด คนที่หวังดี คนที่ชอบจู้จี้ ขี้บ่น คนทีให้เงินก็เท่านั้นครับ เวลาที่ผ่านมาเมื่อยังเด็ก เนื่องจากข้าพเจ้างอแงมาก พ่อแม่ข้าพเจ้าก็ต้องอุ้มไปมาตลอดคืน จนกว่าจะหลับ (พ่อแม่เล่าให้ฟัง) เป็นอย่างนี้เกือบทุกคืน โตจนอายุขนาดนี้ ก็เพราะพ่อแม่เราที่เลี้ยงเร ไปหาหมอเพราะป่วยบ่อยตอนเด็ก พ่อแม่ต้องกู้เงินเพราะไม่พอ เพราะหาหมอบ่อย เราไม่ได้นอนเพราะป่วย ร้องไห้ ท่านก็ไม่ได้นอน เราทุกข์กาย ท่านทุกข์ทั้งกายและใจ ที่เห็นเราไม่สบายข้าพเจ้าคิดไม่ได้หรอก เรื่องที่ท่านลำบาก เพิ่งคิดได้หลังจากศึกษาธรรมแล้ว ... มีคนเคยบอกข้าพเจ้าว่า แม่เป็นทั้งแม่ ทั้งคนรับใช้ ทั้งถังขยะ อะไรดีไม่ดี ลงที่แม่หมด เจอเรื่องดีก็มาเล่า เรื่องไม่ดีก็มาระบาย เป็นอย่างนั้นจริงๆ มีความสุขในบางครั้งก็ลืมแม่ มีความทุกข์ ไม่มีใครจริงๆ ก็นึกถึงแม่ นี่สำหรับข้าพเจ้าเอง

ยายจะเล่าให้ฟังว่า เมื่อตอนเด็กๆ ตากับยายพาไปอยู่อยุธยา เพราะอยากเลี้ยงหลาน ปล่อยให้พ่อกับแม่ทำงานที่กรุงเทพ ไปอยู่ด้วยหลายวัน ข้าพเจ้ากับน้องสาวยังเด็ก เราทั้งสองจะบ่นหาพ่อกับแม่ พอวันที่พ่อแม่มารับ แม่ร้องไห้เพราะคิดถึง (ยายเล่า) ยายเล่าให้ฟังว่า จะไม่พาข้าพเจ้าและน้องสาวมาอีก เพราะสงสารแม่และเราทั้งสองคน ไม่อยากพรากลูกและแม่อีก ข้าพเจ้าจำที่ยายเล่าได้ดี และอดเขียนไมได้ถึงเหตุการณ์นี้ที่แม่รักเรา แม่จะพูดหรือไม่พูดว่ารัก แต่การที่จากกันไปไม่ว่าเป็นหรือตาย ก็แสดงถึงความรักที่แสดงออกมาว่าแม่รักเรา



ความคิดเห็น 3    โดย paderm  วันที่ 31 ก.ค. 2553

ใกล้วันแม่เข้ามา ก็เลยอยากจะพูดถึงแม่บ้าง เป็นความจริงที่ว่า เราทุกคนมีแม่ แม่ ซึ่งเป็นผู้ที่มีคุณธรรม อดทน เลี้ยงดูเรามา ตั้งแต่เกิดตีนเท่าฝาหอย พูด อ่าน ออกเขียนไม่ได้ จวบจนถึงวันน ที่เป็นผู้เป็นคนมาได้ ก็คงไม่ปฏิเสธนะครับ ก็ด้วยคุณธรรมของความเป็นแม่จริงๆ ที่ทำให้ลูกอยู่รอดมาได้ พระคุณแม่จึงมากเกินสุดที่จะประมาณ แม่เคยบอกว่า ในความรู้สึกของแม่ แม้ลูกจะเติบใหญ่ มีการมีงาน หาเลี้ยงชีพ ดูแลตัวเองได้แล้วก็ตาม ยังไง ลูกๆ ทุกคนก็ยังเหมือนลูกแม่เหมือนเดิม เป็นลูกเมื่อครั้งตอนที่พวกเรายังเล็กๆ สำหรับแม่เสมอ แม้ว่าจะต้องห่างๆ กันบ้าง ด้วยภาระหน้่าที่การงานของแต่ละคนก็ตาม แต่ความรักและห่วงใยจากแม่ก็ไม่เคยเลยที่จะเปลี่ยนแปลง คิดว่าความรู้สึก แม่ของคนอื่นคนไหนก็คงรู้สึกไม่ต่างกันเท่าไรกับแม่เรา

มีครั้งหนึ่ง เคยสนทนาธรรมกับแม่ ซึ่งแม่ก็จะชอบฟังธรรม ที่แสดงโดยท่านอาจารย์สุจินต์ เหมือนกัน ก็เอาธรรมะที่ได้ฟัง มาคุยพิจารณาร่วมกันอีก เราพูดถึงเรื่องความรัก ความผูกพันที่แม่มีกับลูก กับการเป็นแม่ที่มีปัญญา (เป็นแม่อย่างไรจะไม่เป็นทุกข์) นั้น เช่น แม่จะกังวลน้องชาย กับพ่อจะไม่ค่อยสนใจเกี่ยวกับธรรมะเท่าที่ควร เจอกันแม่ก็จะบอก พอรู้ ก็เลยบอกแม่ว่า ถ้าไม่ผิด จำได้ว่า อ. สุจินต์ เคยกล่าว ธรรมะ ไม่ใช่ของสาธารณะ ถีงอยากที่จะชักชวนใครให้ใครเขามาสนใจ ถ้าเขาไม่สนใจก็อย่าไปโกรธเขา กังวลเขา จากนั้น ก็วิเคราะห์สภาพธรรมของแม่ บอกแม่ว่า ที่แม่กังวลก็ด้วยความรักที่มีต่อน้องกับพ่อ ที่กลัวว่าจะไม่รู้ธรรมะ แต่ทีนี้ ความกังวลเป็นธรรม เป็นโทสะ ความรักเป็นธรรมะ ก็ต้องมาดูว่า รักที่ปรากฎเป็นรักด้วยความติดข้อง โลภะรึเปล่า (อยากให้น้องรึพ่อฟังธรรม) ถ้าไม่ติดข้อง (แค่บอกในสิ่งที่ดีไม่หวังว่าเขาจะฟังหรือไม่ก็ตาม) ก็เป็นเมตตา เห็นไหมครับ การหวังดีก็ยังทุกข์ได้ถ้าเราขาดสติ เพราะฉะนั้น เรารักใครไม่ต้องหวังเลย แต่เรารักด้วยเมตตาเหมือนที่ฟัง อ.สุจินต์ว่าไว้ในเรื่องเมตตา แม่ผมก็เลยสบายใจขึ้นบอกว่า การคุยธรรมะ ก็เหมือนเตือนสติกันให้กลับมาดูใจตัวเองตามจริง เห็นสภาพธรรมของเราละเอียดชัดเจนขึ้น


ความคิดเห็น 4    โดย paderm  วันที่ 31 ก.ค. 2553

อีกเรื่อง ที่ผู้เป็นแม่มักจะกังวลด้วยความรักก็คือ แม่จะห่วงในความเป็นสุขเป็นทุกข์ของลูกเสมอทุกครั้ง ลูกมีความสุข แม่ทุกท่านจะพลอยยินดี (มุทิตา) แต่ถ้าลูกทุกข์แม่ก็เหมือนที่จะแบกความทุกข์นั้นของลูกด้วย ถ้าเราไม่รู้จักจิตที่เป็นกุศลรึอกุศล เราก็คงจะไม่มาสังเกต ดูว่าจิตแต่ละขณะที่ปรากฎนั้นเป็นอย่างไร ผลก็คือ เราก็คงจะไม่มีการสำรวมระวัง เพราะไม่ใช่เห็นโทษของอกุศลอย่างเดียว โทษที่มากกว่านั้นคือการสะสมที่จะเป็นกิเลสหยาบขึ้น ทีนี้ยิ่งละคลายยากเข้าไปอีก รู้แบบนี้ทุกครั้งที่ลูกคนไหนมีปัญหาอะไร ส่วนมากที่เรานึกถึงก่อน ก็มักจะเป็นแม่ ทีนี้พอเล่า ให้ท่านฟัง ท่านย่อมเกิดความเป็นห่วงอยากให้เราพ้นทุกข์ภัย จากปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น (กรุณา) ใช่ไหมครับสำหรับผมจะบอกแม่เสมอ เรารู้ธรรมะเราต้องเชื่อเรื่องกรรมนะ อะไรเกิดมันก็เกิด บังคับไม่ได้ เหตุในอดีต เราก็ทำอะไร จะไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว อนาคตก็ไม่แน่ยังมาไม่ถึงปัจจุบันขณะ ขณะนี้สำคัญที่สุด เพราะมีอยู่จริง สัมผัสได้ ดังนั้น ก็ควรเจริญกุศลดีกว่า อย่ากังวล รู้แบบนี้ก็จะสามารถปล่อยวาง (อุเบกขา) ได้มากขึ้น แม่บอกว่า อันนี้แหละยากที่สุดเลย ซึ่งผมก็เห็นด้วยนะ

จะเห็นนะครับว่าเป็นจริงอย่างที่ อาจารย์สุจินต์กล่าวไว้จริง ธรรมะเป็นเรื่องละเอียดผู้ศึกษาต้องไม่เผิน รู้อะไรต้องพยามศึกษาให้รู้จริงๆ รู้งูๆ ปลาๆ อยู่ก็ยัง คือไม่รู้นะผมว่า เพราะปัญญาคือ ความรู้ชัด ในสภาพธรรมะตามความเป็นจริง

นี่ก็ใกล้วันแม่แล้ว ขอเชิญชวนทุกท่านให้ระลึกถึง พระคุณของแม่ครับ ที่ทำให้เราเกิดมามีโอกาสพบ พระพุทธศาสนาในวันนี้ ถ้ารู้พระคุณก็ควรรีบหาทางทดแทนคุณท่านด้วยละครับ สำหรับผม ตราบที่พวกเรายังอยู่ ในสงสารวัฏ ก็อยากจะให้ ความเป็นผู้มีใจสบายกับแม่ครับ ที่จริงแม่ก็เป็นเหตุ ความเป็นผู้มีใจสบายสำหรับผมครับ เพราะจะว่าไปแม่ก็เป็นผู้ที่มีส่วนทำให้ผมได้รู้จัก กับธรรมะ รู้จักฟังธรรมแสดงโดย อ สุจินต์ ก็จากแม่ก็เลยคิดว่า การให้ใจสบายกับแม่คือ การให้เวลาท่านบ้าง หาโอกาสพบเจอท่าน ถ้าให้ดีเจอกันก็เปิดธรรมะฟังกะท่าน แล้วนำมาคุยสนทนาธรรมะกันก็ได้ ได้ทำบุญ โดยไม่ต้องไปวัดเลยก็ได้ ง่ายดีไหมวิธีของผม ทำบ้านเราเองเป็นวัด ส่วนใจเราเองก็ทำใจ ให้เป็นพระ เหมือนที่แม่บอก ลูกๆ เข้าหาธรรมะ แม่ก็ดีใจละด้วยระลึกถึงพระคุณแม่ และระลึกถึงคุณ ครู อาจารย์ ทางโลก

ที่สุด ขอระลึกพระคุณ อ สุจินต์ และวิทยากร ผู้ให้ความรู้ทางธรรม และ ที่พึ่ง ระลึกพระคุณ สูงสุดคือ พระรัตนตรัย กราบขอบคุณและอนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย paderm  วันที่ 31 ก.ค. 2553

มารดา บิดาเป็นพรหมของบุตร เพราะท่านมีความประพฤติ ดังเช่นพรหม คือมีเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา กับบุตร มารดา บิดาเป็นพระขีณาสพ (พระอรหันต์) ของบุตร เพราะพระอรหันต์ ไม่ถือในความผิดของผู้อื่น และเมื่อทำบุญ กับพระอรหันต์มีผลมากฉันใด มารดา บิดาก็เช่นกัน ท่านไม่ถือความผิด ที่บุตรทำ และเมื่อทำบุญกับท่านก็มีผลมาก มารดาและบิดา จึงเหมือนพระอรหันต์ในบ้านด้วยประการฉะนี้

มารดา บิดาเป็นครูคนแรก มารดาและบิดาย่อมสั่งสอนบุตรตั้งแต่เล็ก เช่นสอนให้เดินอย่างนี้ จึงเป็นครูคนแรก ก่อนครูอื่นๆ ที่ให้ความรู้ มารดา บิดาเป็นอาหุไนยบุคคลของบุตร คือเป็นบุคคลที่ควรรับของที่บุตรนำมาให้

เชิญคลิกอ่านที่นี่ ...

บัณฑิตผู้รู้แจ้งพึงได้เพราะการบำรุงมารดาบิดา [โสณนันทชาดก]

การบำรุงมารดาและบิดา [มาตุโปสกสูตร]

บิดามารดากระทำตอบแทนไม่ได้ง่าย

ทรงสรรเสริญบุตรธิดาที่กตัญญูกตเวทีต่อมารดาบิดา

บิดามารดา เป็นบุคคลผู้มีพระคุณ


ความคิดเห็น 6    โดย wannee.s  วันที่ 1 ส.ค. 2553

ในโลกนี้ คนที่เรารักที่สุด คือคุณพ่อ คุณแม่ ท่านให้ชีวิต ให้ทุกสิ่ง ทุกอย่าง เราควรให้ความสำคัญกับท่านทั้งสอง รู้คุณและตอบแทนพระคุณ ตามความสามารถตลอดชีวิตค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย วันชัย๒๕๐๔  วันที่ 4 ส.ค. 2553

ขออนุโมทนาในกุศลจิต

ขอกราบบูชาพระคุณ ท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ผู้เป็นแม่ในทางพระธรรม ของข้าพเจ้าด้วยเช่นกัน

และ ขอกราบบูชาระลึกในพระคุณของแม่ ทั้งในชาตินี้ และ ในอดีตอนันตชาติที่ผ่านมาครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านด้วยครับ


ความคิดเห็น 8    โดย JANYAPINPARD  วันที่ 4 ส.ค. 2553

ขออนุโมทนา...คนรักแม่ทุกคนค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย ชีวิตคือขณะจิต  วันที่ 4 ส.ค. 2553

มารด าทำสิ่งที่ยากยิ่งให้บุตร บุตรเกิดในครรภ์มารดา บิดาเป็นผู้ให้บุตรเกิด มารดา บิดาเป็นผู้มีพระคุณต่อบุตรมาก บุตรต้องกตัญญูกตเวที และทักษิณานุประทานให้บิดา มารดาครับ ขออนุโมทนาครับ ท่าน paderm


ความคิดเห็น 10    โดย prachern.s  วันที่ 4 ส.ค. 2553

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 11    โดย khampan.a  วันที่ 4 ส.ค. 2553

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 12    โดย จักรกฤษณ์  วันที่ 4 ส.ค. 2553

ขอบพระคุณและขออนุโมทนา ที่นำเรื่องดีๆ ของความเป็นแม่ มาเป็นเครื่องเตือนสติให้เกิดกุศลจิตครับ


ความคิดเห็น 13    โดย ajarnkruo  วันที่ 4 ส.ค. 2553

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

และขอเชิญคลิกฟัง >>>

บุตรควรรู้คุณของมารดาบิดาอย่างไร

มารดาบิดาเป็นพรหมของบุตร


ความคิดเห็น 14    โดย tookta  วันที่ 4 ส.ค. 2553

ขอขอบพระคุณ และอนุโมทนา ในกุศลจิต ด้วยค่ะ และขอให้บุตรทั้งหลาย ควรกตัญญูกตเวทีต่อ บิดา มารดาที่ให้กำเนิดเรามา และบิดา มารดาที่ไม่ได้ให้กำเนิดเรามาแต่ท่านก็อุปการะเลี้ยงดูเรามาด้วยนะคะ


ความคิดเห็น 15    โดย Khaeota  วันที่ 5 ส.ค. 2553

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระคุณของบิดา มารดา ต่อให้พรรณาอย่างไร ก็หาที่สุดไม่ได้ แต่ตราบเท่าที่ อวิชชายังมี แม้จะปฏิบัติต่อท่านด้วยกุศลจิต แต่ส่วนใหญ่ ก็เป็นไปเพื่อวัฏฏะ และตราบที่ยังเป็น ปุถุชน ย่อมต้องมีการล่วงอกุศล ต่อท่าน ทาง กาย วาจา หรือ ใจ ทั้งตั้งใจ และไม่ได้ตั้งใจ จึงใคร่ขอนำ ไฟ 1 ใน 7 กอง ที่ องค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงแสดงไว้ เพื่อเป็นการขัดเกลา และเป็นที่พึ่งที่มีกำลัง

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ 111

ข้อความบางตอน

ปฐมอัคคิสูตร

ว่าด้วยไฟ 7 กอง

ไฟคืออาหุไนยบุคคล ๑

สักการะท่านเรียกว่า อาหุนะ ชนเหล่าใด ย่อมควรซึ่งอาหุนะ เหตุนั้น ชนเหล่านั้น ชื่อว่า อาหุเนยยา ชนผู้ควร ซึ่ง อาหุนะ.จริงอยู่ มารดาและบิดาทั้งหลาย บุตรทั้งหลาย เพราะท่านทั้งสองเป็นผู้มีอุปการมากแก่บุตรทั้งหลาย บุตรทั้งหลาย ปฏิบัติผิดในมารดาและบิดาทั้ง ๒ นั้น ย่อมบังเกิดในอบายมีนรก เป็นต้น เพราะเหตุนั้น ถึงแม้มารดาและบิดา จะมิได้ตามเผาผลาญ อยู่ก็จริง ถึงกระนั้นท่านทั้ง ๒ ก็ยังเป็นปัจจัยแก่การตามเผาผลาญ อยู่ ดังนั้น ท่านเรียก มารดาบิดาว่า อาหุเนยยัคคิ เพราะอรรถว่า ตามเผาผลาญนั่นแล.

ขอโอกาสได้ กราบเท้าและกราบอนุโมทนา ท่านอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในเมตตาจิตอันไม่มีประมาณของท่านค่ะ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ


ความคิดเห็น 16    โดย JANYAPINPARD  วันที่ 6 ส.ค. 2553

ตราบที่ยังเป็น ปุถุชนย่อมต้องมีการล่วงอกุศล ต่อท่าน ทาง กาย วาจา หรือ ใจทั้งตั้งใจ และไม่ได้ตั้งใจ....ขออนุโมทนาข้อความที่เป็นจริง...ที่ควรพิจารณาค่ะ


ความคิดเห็น 17    โดย Nareopak  วันที่ 7 ส.ค. 2553

ขออนุโมทนาในกุศลจิต

ซึ่งได้มีการตอบแทนบุญคุณอันประเสริฐ ก็คือ การที่ได้มีโอกาส ให้บิดามารดา ได้เดินเข้ามาสู่เส้นทางธรรมและได้ฟังพระธรรม คำสอนของ องค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยท่านอาจารย์สุจินต์ ดิฉันได้ถือโอกาส วันแม่นี้ เขียนจดหมายถึงคุณพ่อคุณแม่ ก่อนที่จะเดินทาง ไปหาท่าน (โดยขอ Copy ข้อความบางตอนที่ อธิบายถึงพระคุณของบิดามารดา) และบรรยายพระคุณของ ท่านอาจารย์สุจินต์ ที่ทำให้ลูกของพ่อและแม่หันกลับมาดูแลและตอบแทนพระคุณของท่าน ขอกราบอนุโมทนาในกุศลจิตอันสูงส่ง ของคุณแม่ทางธรรม ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์


ความคิดเห็น 18    โดย booms  วันที่ 8 ส.ค. 2553

เป็นคนมีบุญที่เคยสะสมไว้ ในชาติปางก่อนจริงๆ มิฉะนั้น คงไม่มีเหตุ ปัจจัย ให้มาสนใจ ใส่ใจในธรรมมะ เช่นนี้ และคุณคงได้ สะสมบุญที่เลิศอย่างยิ่งค้วย ที่ได้พบ ได้ฟัง ได้ศึกษาแนวทางการสอนที่ เป็นสัมมาทิฏฐิ ตั้งแต่อายุที่ยังน้อย

สภาพธรรมของ กุกกุจจะ ที่เกิดกับคุณ เป็นระยะๆ นั้น (ก็เกิดกับทุกๆ คนได้เสมอๆ แหละค่ะ) ซึ่งผู้ศีกษาพระธรรมอย่างเข้าใจ ถ่องแท้ดีพอ เช่นคุณ คงเป็นปัจจัยที่ดี ให้สติ สัมปชัญญะ ได้ระลึก และ ละ กุกกุจจะ ได้ชั่วขณะ ชั่วขณะเช่นกัน พร้อมกับคุณก็ได้ สร้างเหตุใหม่ ที่ดีอยู่ อย่างสมำเสมอ โดยเฉพาะ การให้ความรู้ ทางธรรม และการกระทำกุศลต่างๆ เท่าที่กำลัง และโอกาสของคุณจะอำนวย คงจะช่วยให้คุณได้เกิด ปีติ โสมนัส ในจิตของคุณ ในทุกๆ ขณะ ในทุกๆ วันนะคะ ... ดิฉันขออนุโมทนาในมหากุศลจิต ของคุณด้วยค่ะ


ความคิดเห็น 19    โดย orawan.c  วันที่ 12 ส.ค. 2553

ขอกราบอนุโมทนาค่ะ

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 20    โดย chaiyakit  วันที่ 14 ส.ค. 2553

ขอบพระคุณและขออนุโมทนากับสิ่งดีๆ ที่นำมาให้อ่านครับ


ความคิดเห็น 21    โดย saifon.p  วันที่ 14 ส.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 22    โดย ruttikarn  วันที่ 14 ส.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 23    โดย tanakase  วันที่ 15 ส.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 24    โดย ประสาน  วันที่ 16 ส.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 25    โดย paew_int  วันที่ 19 ส.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 26    โดย michii  วันที่ 25 ส.ค. 2553

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 27    โดย mymint2121  วันที่ 23 ก.ย. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 28    โดย tik  วันที่ 29 ต.ค. 2553
ขออนุโมทนาค่ะ จากคนรักแม่เช่นกัน

ความคิดเห็น 29    โดย ms.pimpaka  วันที่ 14 พ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 30    โดย swanjariya  วันที่ 12 ส.ค. 2559

อนุโมทนาขอบพระคุณมากค่ะ


ความคิดเห็น 31    โดย talaykwang  วันที่ 11 พ.ย. 2562

สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ


ความคิดเห็น 32    โดย wutcho  วันที่ 21 เม.ย. 2565

อนุโมทนา และมจะนำมาใช้เป็นวิทยาทานครับ