ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๔๖
~ การที่พระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ได้ ก็ต้องด้วยความเข้าใจธรรม เท่านั้น หน้าที่ของพุทธบริษัท ก็ทำตามความรู้ความสามารถที่จะดำรงพระศาสนาได้
~ พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งเปิดเผยยิ่งรุ่งเรือง จะจำกัดคนเปิดเผยไหมในเมื่อตรัสไว้ว่าพระธรรมวินัยยิ่งเปิดเผยยิ่งรุ่งเรือง จะเป็นใครก็ตามที่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็จะทำให้พระพุทธศาสนารุ่งเรือง
~ ธรรม ลึกซึ้ง ไม่มีใครมีปัญญาเทียบเท่ากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ด้วยเหตุนี้ ก็จะต้องฟังคำของพระองค์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง จะต้องศึกษาด้วยความละเอียด รอบคอบ เพราะคำของพระองค์ไม่ใช่ว่าใครจะเข้าใจได้ทันที
~ ธรรมคืออะไร (คือสิ่งที่มีจริงๆ ) ถ้าเราไม่ศึกษา เราก็ทำตามกันไป หลงคิดว่าเราเข้าใจธรรมแล้ว แต่ว่าเพราะได้ตระหนักว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ไม่มี ใครที่จะมีปัญญาเปรียบปานได้ เพราะฉะนั้น คำของพระองค์ ต้องละเอียดลึกซึ้ง การศึกษา ต้องศึกษาด้วยความละเอียดจริงๆ ทุกคำ จึงสามารถที่จะทำให้มีพระองค์เป็น
ที่พึ่งได้
~ แม้แต่คำว่าธรรมคำเดียว ถ้าประมาท ไม่ศึกษาให้เข้าใจจริงๆ ก็ปกปิดทุกอย่าง
~ แม้แต่คำเดียวของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ศึกษาด้วยความเคารพ ก็ปกปิดความจริง แล้วทำให้หลงทางไปด้วย เพราะคิดว่าเข้าใจแล้ว
~ ทำด้วยความไม่เข้าใจ แล้วจะเข้าใจอะไรได้ ไม่มีคำตอบเลย
~ ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดมาก เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นคนเผิน เขาว่าอะไร ก็ใช่ไปหมด ไม่คิดเลยว่าอย่างไร เข้าใจจริงๆ หรือเปล่า
~ ต้องเข้าใจธรรมจริงๆ ทีละคำ ถ้าไม่เข้าใจก็สับสนหมด แม้แต่คำว่าปฏิบัติธรรม ถ้าไม่เข้าใจคำว่า ธรรม ไม่เข้าใจคำว่า ปฏิบัติ ก็ผิด
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คล้อยไป นำไปที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมี
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เพื่อพ้นจากความมืดบอดที่ไม่เข้าใจสิ่งที่มีมานานแสนนานทำให้เริ่มที่จะเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย
~ ยาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือ พระธรรมทุกคำที่ทำให้เข้าใจความจริง เพราะขณะนั้น สามารถที่จะละความไม่เข้าใจได้
~ ขณะที่กำลังให้ทาน ไม่เหมือนคิดอย่างอื่น ไม่เหมือนคิดว่าจะไปซื้อของไว้สะสม แต่นี่คิดที่จะให้เพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น ขณะนั้นเพราะมีสภาพธรรมที่ระลึกได้เป็นไปในการที่จะสละสิ่งที่เรามี เพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น
~ น่าเสียดายเวลาที่ไปประพฤติปฏิบัติผิด แทนที่จะเป็นเวลาฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนอย่างบุคคลในสมัยพุทธกาลที่ไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระวิหารเชตวัน พระวิหารเวฬุวัน เพื่อฟังธรรม
~ ถ้าเขาไม่มีความสนใจที่จะเข้าใจความจริง ก็หมดหนทาง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า แล้วเราจะทำอะไรเขาได้, พวกเดียรถีย์ในสมัยโน้น เยอะ ครูอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น ก็มาก คนก็ไปเป็นศิษย์มากมาย ทั้งๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ประทับอยู่ไม่ไกล แต่เขาก็ไปสู่ความเห็นผิด
~ ไปทำสมาธิแล้วบอกว่าสบายดี แล้วคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าอย่างไร พระองค์ตรัสไว้ว่านั่น เป็นอกุศล เพราะสบายดีเป็นอกุศล ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น คำของคนอื่นตรงข้ามกันกับคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประมาทไม่ได้ เพราะกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้
~ ข้อสำคัญที่สุดต้องมั่นคงว่าไม่ใช่เราแต่เป็นธรรม คือ สิ่งที่มีจริง หลากหลายมาก แต่ละหนึ่ง ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
~ เห็นเป็นอะไร เห็นเป็นสภาพรู้ เป็นเราหรือเปล่า ตามความเป็นจริงไม่ใช่เรา เพราะบอกแล้วชัดเจนว่า เป็นสภาพรู้ จึงไม่ใช่เรา
~ ชีวิต ก็คือ แต่ละหนึ่งขณะที่เกิดดับสืบต่อกัน
~ ที่กล่าวถึงความละเอียดของสภาพธรรมที่เป็น จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) และ รูป ก็เพื่อให้เข้าใจถึงความไม่ใช่เรา
~ ไม่ว่าอะไรจะเกิด เกิดแล้ว ไม่มีใครทำ เป็นแล้วตามเหตุตามปัจจัย
~ ผู้ที่เป็นบรรพชิต สละเพศคฤหัสถ์เหมือนตายจากคฤหัสถ์ เกิดใหม่ในเพศบรรพชิตโดยมีศีลเป็นกำเนิด ต้องสะสมอุปนิสัยใหญ่มากที่สามารถที่จะสละเพศคฤหัสถ์ คือ เป็นคฤหัสถ์อีกต่อไปไม่ได้ จะเป็นเหมือนอย่างคฤหัสถ์ ไม่ได้
~ ไม่ว่าจะเป็นบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ มีวิถีชีวิตต่างกัน แต่หนทางไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ย่อมเป็นหนทางเดียวกัน (หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา)
~ ถ้าไม่มีปัญญา ไม่เป็นภิกษุในพระธรรมวินัย รักษาพระธรรมวินัยไม่ได้
~ ไม่ใช่ว่าใครอยากจะบวชก็บวช แต่ต้องรู้ว่าบวช ยากแค่ไหน ที่จะสละทั่วซึ่งความเป็นคฤหัสถ์ที่เคยเป็นทั้งหมด จะเป็นอย่างคฤหัสถ์อีกต่อไปไม่ได้เลย
~ เขารู้ไหมว่าคนที่จะบวชให้เขา (พระอุปัชฌาย์) รับเงินและทอง แล้วไง ถ้าเขาบวชไป ก็ต้องสอนให้เขารับเงินและทองเหมือนตน ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ก็ไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัย ก็เป็นบาป
~ ไม่ต้องบวช ก็สามารถที่จะเข้าใจพระธรรมได้ตลอดชีวิต เมื่อได้ศึกษาพระธรรม
~ เราต้องพูดความจริง ตามสถานการณ์ให้คนที่ไม่รู้ ซึ่งในขณะนี้ก็ระบาดแพร่หลายไปทั่วโลกในเรื่องเข้าใจว่าพระพุทธศาสนาคือสำนักปฏิบัติ เข้าใจว่าสมาธิ นั่น เป็นพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น ถ้าคนเข้าใจอย่างนี้ก็คือพระพุทธศาสนาอันตรธาน ถ้ามีคนที่เชื่ออย่างนี้มากขึ้นๆ เพราะฉะนั้น ก็เป็นทางเดียวที่เราจะเห็นประโยชน์แก่คนอื่นที่สมควรที่จะมีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรม โดยเฉพาะกล่าวว่าเป็นชาวพุทธ ที่จะไม่ประมาทโดยการที่ว่าเชื่อคำของคนอื่นแต่ไม่ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เพราะฉะนั้น การที่เรามีความหวังดี จึงต้องพูดทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสำนักปฏิบัติ เรื่องพระธรรมวินัย หรือแม้แต่เรื่องภิกษุรับเงินและทอง ซึ่งต้องแก้ไข เพราะเหตุถ้าไม่แก้ไข ไม่มีทางที่จะจบสิ้นลงไปได้ มีแต่เลวลง
~ ภิกษุรับและยินดีในเงินและทอง ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังเป็นของภิกษุนั้น ก็ยังต้องมีความยินดีในเงินและทอง และพระภิกษุรับไปทำไม ในเมื่อชีวิตของพระภิกษุสละเพศคฤหัสถ์เพื่อที่จะมีชีวิตเพื่อศึกษาพระธรรมอย่างมั่นคง โดยการที่ว่าสามารถที่จะดำรงเพศบรรพชิตตามพระธรรมวินัยได้ จึงเป็นภิกษุในธรรมวินัย ถ้าใครก็ตามไม่สามารถที่จะดำรงเพศตามพระธรรมวินัย ก็ไม่ต้องบวช เพราะเป็นโทษกับตนเอง เป็นโทษกับพระศาสนา และทำลายประเทศชาติด้วย เพราะว่าเงินทองเสียไปโดยการที่ไม่ได้เข้าใจธรรม มากมาย
~ ในสังสารวัฏฏ์ที่ผ่านมา ฟังพระธรรม กับ ฟังเรื่องอื่น อย่างไหนจะมากกว่ากัน ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เห็นคุณประโยชน์ของพระธรรม จึงฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมต่อไป
~ ถ้าท่านยังเป็นคนที่ย่อหย่อน เกียจคร้านในการเจริญกุศล ลำบากจัง เหนื่อยนักหรือว่าเสียเวลามาก ขณะนั้นเป็นอกุศล ถูกครอบงำแล้วด้วยอกุศล กุศลจึงเกิดไม่ได้
~ ถ้าท่านเป็นผู้ที่ทำกุศลยาก เพราะเป็นผู้ที่ย่อหย่อน เกียจคร้านในการกุศลก็จะต้องเป็นผู้ที่ขยันเสียเดี๋ยวนี้ทันที เพราะชีวิตแต่ละขณะไม่ใช่ยืนยาวเลย ชั่วขณะจิตเดียว ขณะจิตเดียวที่จะเป็นกุศลหรืออกุศลขึ้นอยู่แต่ละขณะจิต เพราะฉะนั้น ก็ไม่ควรที่จะทอดธุระหรือว่ายังเป็นผู้ที่ยังคงย่อหย่อนเกียจคร้านในการเจริญกุศล
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละคำ สามารถที่จะทำให้คนที่ได้ฟังด้วยการไตร่ตรอง ด้วยความเคารพ เกิดความเข้าใจ น่าอัศจรรย์ไหมคำจริง สามารถที่จะนำมาสู่ความเห็นที่ถูกต้อง จากการที่ไม่เคยรู้อะไรเลยทั้งสิ้น พอได้ยินได้ฟังแล้วก็เป็นความจริงทุกอย่าง จนกระทั่งเหมือนกับแสงสว่างที่ทำให้ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่ไม่เคยปรากฏให้รู้เลย ได้ปรากฏตามความเป็นจริง
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำเป็นไปเพื่อละความไม่รู้ ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ก็ปลอดภัย ถ้ามีใครบอกให้ไปทำอะไรแต่ไม่ได้ให้ความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้นจะมีประโยชน์อะไร แต่ว่าคำของพระสัมมาสัมพระเจ้า ทุกคำ ทำให้คนที่ได้ฟังสามารถไตร่ตรองเกิดปัญญาซึ่งจะเกิดเองไม่ได้ในสังสารวัฏฏ์แล้วก็สามารถที่จะเข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้น คำใดก็ตามที่ทำให้เข้าใจสิ่งที่มีซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อน คำนั้นเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คำใดก็ตามไม่ทำให้เข้าใจสิ่งที่มีแต่ชักชวนให้ทำให้ปฏิบัติอย่างนั้นอย่างนี้แล้วก็ไม่รู้อะไร ทั้งหมด ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ทรงแสดงธรรมให้คนอื่นเป็นคนชั่วหรือเป็นคนเลว แต่เพื่อประโยชน์ของผู้ฟังเอง ที่จะต้องเป็นผู้ที่มั่นคง หนักแน่นในการที่จะเป็นคนดี แต่ว่าจะดีขึ้น ก็ต่อเมื่อได้เข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้นด้วย
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๔๕

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบขอบพระคุณ
อนุโมทนาค่ะ..
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ธรรมมีมานัสพร้อม รับฟัง อันเกิดกุศลดัง ธาตุรู้ จิตเจตสิกเป็นพลัง เสริมส่ง หนุนแฮ กราบอาจารย์สุจินต์ผู้ เปี่ยมด้วยเมตตา