[เล่มที่ 2] พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒
พระวินัยปิฎก เล่ม ๑ ภาค ๒
มหาวิภังค์ ปฐมภาค
จตุตถปาราชิกวรรณนา 605
อธิบายศัพท์กิริยาอนาคต 606
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามภิกษุที่อยู่ฝังแม่น้ําฯ 607
โจรภายนอกศาสนาเที่ยวปล้นบ้านชายแดนฯ 608
มหาโจรในพระศาสนาเที่ยวย่ํายีสิกขาบทฯ 609
มหาโจรในพระศาสนามี ๕ จําพวก 611
แก้อรรถนิคมคาถา 614
ปฐมบัญญัติจตุตถปาราชิก 617
อนุบัญญัติจตุตถปาราชิก 617
เหตุที่ให้เชื่อถือมีฐานะ ๖ อย่าง 622
อรรถาธิบายฐานะ ๖ อย่าง 623
เรื่องสอบสวนดูปฏิปทาของภิกษุผู้อ้างตนว่าได้บรรลุธรรม 625
อธิบายบทภาชนีย์ 627
กถาว่าด้วยสุทธิกมหาวาร 633
กถาว่าด้วยผู้มีความประสงค์จะกล่าว 639
กถาว่าด้วยปัจจัยปฏิสังยุตตวาร 641
จตุตถปาราชิกสิกขาบท มีสมุฏฐาน ๓ 642
วินีตวัตถุในจตุตถปาราชิก
เรื่องสําคัญว่าได้บรรลุ 643
เรื่องต้้งกติกาหลีกไป 647
เรื่องพระมหาโมคคัลลานะเห็นอัฏฐิสังขลิกเปรต 649
เรื่องมังสเปสีเปรต 653
เรื่องมังสปิณฑเปรต 653
เรื่องนิจฉวีเปรต 653
เรื่องอสิโลมเปรต 653
เรื่องสัตติโลมเปรต 654
เรื่องอุสุโลมเปรต 654
เรื่องสูจิโลมเปรต 654
เรื่องสูจิโลมเปรตที่ ๒ 654
เรื่องอัณฑภารเปรต 655
เรื่องปรทาริกเปรต 655
เรื่องเปรตพราหมณ์ชั่ว 656
เรื่องมังคุลีหญิงเปรต 656
เรื่องโอกิลินีหญิงเปรต 656
เรื่องโจรฆาตเปรต 657
เรื่องพระภิกษุเปรตเป็นต้น 657
เรื่องแม่น้ําตโปทา 658
เรื่องการรบ 659
เรื่องช้างลงน้ํา 659
เรื่องพระโสภิตะ 660
บทสรุปปาราชิก 661
อธิษฐานคาถาของท่านผู้รจนา 664
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 2]
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 605
จตุตถปาราชิกวรรณนา
พระศาสดา ผู้ทรงรู้แจ้งสัจจะทั้ง ๔ ทรงประกาศจตุตถปาราชิกใดไว้แล้ว, บัดนี้ มาถึงลำดับสังวรรณนาแห่งจตุตถปาราชิกนั้นแล้ว; เพราะเหตุนั้น คำใดที่จะพึงรู้ได้ง่าย และคำที่ข้าพเจ้าได้ประกาศแล้วในเบื้องต้น, สังวรรณนานี้แห่งจตุตถปาราชิก แม้นั้น จะเว้นคำนั้นๆ เสีย.
[เรื่องภิกษุพวกจำพรรษาริมฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา]
คำว่า เตน สมเยน พุทฺโธ ภควา เวสาลิยํ วิหรติฯ เปฯ คิหีนํ กมฺมนฺตํ อธิฏฺเม ความว่า พวกเราจงช่วยกันอำนวยกิจการที่ควรทำ ในนาและในสวนเป็นต้น ของพวกคฤหัสถ์เถิด.
มีคำอธิบายว่า พวกเราจงบอก และจงพร่ำสอนว่า พวกท่านควรทำอย่างนี้ ไม่ควรทำอย่างนี้.
บทว่า ทูเตยฺยํ ได้แก่ การงานของทูต.
บทว่า อุตฺตริมนุสฺสธมฺมสฺส ได้แก่ ธรรมที่ล่วงเลยพวกมนุษย์ไป.
อธิบายว่า ธรรมที่ล่วงเลยพวกมนุษย์ไป ให้ลุถึงความเป็นพรหมหรือพระนิพพาน.
อีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ ธรรมของมนุษย์ผู้ยวดยิ่ง คือ บุรุษผู้ประเสริฐสุด ซึ่งเป็นผู้ได้ฌาน และเป็นพระอริยเจ้า.
ในคำว่า อสุโก ภิกฺขุ เป็นต้น มีวินิจฉัยดังนี้:-
ภิกษุทั้งหลายปรึกษากับตนอย่างนั้นแล้ว ภายหลัง เมื่อกล่าวแก่พวกคฤหัสถ์พึงทราบว่า
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 606
ได้กล่าวสรรเสริญด้วยอำนาจแห่งชื่อทีเดียว อย่างนี้ว่า ภิกษุชื่อพุทธรักขิต ได้ปฐมฌาน ชื่อธรรมรักขิต ได้ทุติยฌาน ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น ข้อว่า เอโสเยว โข อาวุโส เสยฺโย มีความว่า การช่วยอำนวยกิจการ และการนำข่าวสาส์นไปด้วยความเป็นทูต มีข้าศึกมาก มีการแข่งดีกันมาก ทั้งเป็นของไม่สมควรแก่สมณะ, ส่วนข้อที่พวกเราพากันกล่าวชมอุตริมนุสธรรมของกันและกันแก่พวกคฤหัสถ์นี้แล เป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญกว่า คือ ยอดเยี่ยมกว่า ได้แก่ ดีกว่ากิจทั้งสองนั้นเป็นไหนๆ.
ท่านกล่าวอธิบายไว้อย่างไร?
กล่าวไว้ว่า ข้อที่พวกเราจักพากันกล่าวชม อุตริมนุสธรรมของกันและกัน แก่พวกคฤหัสถ์ผู้ถามถึง หรือผู้มิได้ถามถึงภิกษุผู้นั่งพักอิริยาบถอยู่ หรือโดยมีอาทิอย่างนี้ว่า ภิกษุชื่อโน้นนี้ ได้ปฐมฌาน นี้แลประเสริฐที่สุด.
[อธิบายศัพท์กิริยาอนาคต]
ก็ เมื่อความสัมพันธ์ด้วยกิริยาอนาคต ไม่มี ภิกษุเหล่านั้นจักกล่าวชมคุณนั้น ในขณะนั้นไม่ได้เลย, เพราะเหตุนั้น เนื้อความที่ท่านมิได้แต่งปาฐะที่เหลือ กล่าวไว้ว่า ภาสิโต ภวิสฺสติ จึงไม่ถูก; เพราะฉะนั้น ในบทว่า ภาสิโต นี้ บัณฑิตควรทำไห้มีความสัมพันธ์ด้วยกิริยาอนาคต แล้วพึงทราบอรรถอย่างนี้ว่า คุณอย่างใด จักเป็นสิ่งที่พวกเรากล่าวชมอย่างนั้น คุณอย่างนั้นต้องประเสริฐที่สุด. แต่นักศึกษา ควรแสวงหาลักษณะจากคัมภีร์ศัพทศาสตร์.
สองบทว่า วณฺณวา (๑) อเหสุํ ความว่า วรรณะแห่งสรีระที่ใหม่เอี่ยมอย่างอื่นนั่นแล เกิดขึ้นแก่ภิกษุเหล่านั้น, ภิกษุเหล่านั้น ได้เป็นผู้มีน้ำนวล ด้วยวรรณะนั้น.
(๑) บาลีเป็น วณฺณวนฺโต
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 607
บทว่า ปินินฺทฺริยา ความว่า ชื่อว่าเป็นผู้มีอินทรีย์อิ่ม โดยความที่อินทรีย์ทั้งหลายมีใจเป็นที่ ๖ ไม่เหี่ยวแห้ง เพราะโอกาสที่ประสาททั้ง ๕ ตั้งมั่น เป็นของบริบูรณ์.
บทว่า ปสนฺนมุขวณฺณา มีความว่า เป็นผู้มีน้ำนวลโดยไม่แปลกกัน แม้ก็จริง, ถึงกระนั้น สีหน้าของภิกษุเหล่านั้น ก็ผ่องใสเกินไป กว่าวรรณะแห่งสรีระ. อธิบายว่า ผ่องใสไม่หม่นหมอง คือบริสุทธิ์.
บทว่า วิปฺปสนฺนจฺฉวิวณฺณา มีความว่า ก็ภิกษุเหล่านั้นเป็นผู้มีน้ำนวลด้วยวรรณะใด ซึ่งเป็นเช่นกับดอกกรรณิการ์, วรรณะเช่นนั้นของมนุษย์ทั้งหลายแม้เหล่าอื่น ก็มีอยู่, (๑) เหมือนอย่างว่า (วรรณะเช่นนั้น) ของมนุษย์เหล่านี้เป็นฉันใด, ของภิกษุเหล่านั้น ไม่เป็นฉันนั้น คือ ผิวพรรณของภิกษุเหล่านั้นผุดผ่อง. เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลาย จึงกล่าวไว้ว่า มีผิวพรรณผุดผ่อง. ด้วยประการอย่างนี้แล ภิกษุเหล่านั้น ไม่หมั่นประกอบอุเทศและปริปุจฉาเลย ทั้งไม่หมั่นประกอบกรรมฐานด้วย, โดยที่แท้ ครั้นฉันโภชนะที่ประณีต ซึ่งได้มาด้วยการพรรณนาคุณที่ไม่เป็นจริง เป็นการหลอกลวง แม้ตามประกอบอยู่ซึ่งความเป็นผู้ยินดีในความหลับตามสบาย และความเป็นผู้ยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่ จึงถึงความโสภาทางสรีระนี้ มีส่วนเปรียบเหมือนพวกพาลมฤคคึกคะนอง ฉะนี้แล.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามพวกภิกษุที่อยู่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา
บทว่า วคฺคุมุทาตีริยา ได้แก่ พวกภิกษุผู้อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา.
ข้อว่า กิจฺจิ ภิกฺขเว ขมนิยํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! สรีรยนต์นี้ของพวกเธอ ซึ่งมีจักร ๔ มีทวาร ๙
(๑) น่าจะเป็น กตฺถิ ตามในอัตถโยชนา ๒/๔๑๙. เพราะรูปเรื่องก็เป็นเช่นนั้น คือพวกภิกษุมีสีหน้าผ่องใส แต่พวกมนุษย์ไม่ผ่องใสเหมือนพวกภิกษุ.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 608
ยังพอทนได้แลหรือ? คือ พวกเธอยังอาจเพื่ออดทนอดกลั้น เพื่อบริหารได้ละหรือ? สรีรยนต์ของพวกเธอ ไม่ให้ทุกข์อะไรๆ เกิดขึ้นบ้างหรือ?
ข้อว่า กจฺจิ ยาปนิยํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า พวกเธอยังอาจเพื่อให้สรีรยนต์เป็นไป คือ ให้ดำเนินไปในกิจทั้งปวงบ้างหรือ? สรีรยนต์ของพวกเธอไม่แสดงอันตรายอะไรๆ บ้างหรือ?
สองบทว่า กุจฺฉิ ปริกนฺโต ความว่า ท้องอันพวกเธอคว้านแล้ว พึงเป็นของดีกว่า.
ปาฐะว่า กุจฺฉิ ปริกตฺโถ บ้าง ก็ใช้ได้.
[โจรภายนอกศาสนาเที่ยวปล้นบ้านชายแดนเป็นต้น]
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงติเตียนพวกภิกษุผู้อยู่ริมฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา โดยอเนกปริยายอย่างนี้แล้ว บัดนี้ จึงตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมา.
ก็แล ครั้นตรัสเรียกมาแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! มหาโจร ๕ จำพวกเหล่านี้ เป็นต้น เพื่อมิให้ภิกษุแม้เหล่าอื่นกระทำกรรมเห็นปานนั้นต่อไป เพราะกรรมที่ภิกษุผู้อยู่ริมฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทาเหล่านั้นกระทำ จัดเป็นโจรกรรม.
บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า สนฺโต สํวิชฺชมานา มีคำอธิบายว่า มีอยู่ และหาได้อยู่.
บทว่า อธิ คือ ในสัตวโลกนี้.
สองบทว่า เอวํ โหติ ความว่า ความปรารถนาในส่วนเบื้องต้น ย่อมเกิดขึ้นอย่างนี้.
ศัพท์ว่า สุ ในคำว่า กทาสุ นามาหํ นี้ เป็นนิบาต. ความว่า ชื่อ เมื่อไรหนอ?
ข้อว่า โส อปเรน สมเยน ความว่า มหาโจรนั้น ครั้นคิดในส่วนเบื้องต้นอย่างนั้นแล้ว ก็เพิ่มพูนบริษัทขึ้นโดยลำดับ กระทำกรรมมีอาทิ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 609
อย่างนี้ คือ กรรมเป็นเหตุประทุษร้ายคนเดินทาง ปล้นสดมภ์ชาวบ้านที่ตั้งอยู่ชายแดน เป็นบุรุษผู้ถึงความเจริญไพบูลย์ขึ้นแล้ว ทำบ้านมิให้เป็นบ้านบ้าง ทำชนบทมิให้เป็นชนบทบ้าง ฆ่าเอง ให้ผู้อื่นฆ่า ตัดเอง ให้ผู้อื่นตัด เผาผลาญเอง ให้ผู้อื่นเผาผลาญ.
[มหาโจรในพระศาสนาเที่ยวย่ำยีสิกขาบทน้อยใหญ่]
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงโจรภายนอกอย่างนี้แล้ว จึงตรัสพระดำรัสว่า เอวเมว โข เป็นต้น เพื่อทรงแสดงมหาโจร ๕ จำพวกในพระศาสนา ผู้เช่นกับโจรภายนอกนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาปภิกฺขุโน ความว่า ในที่อื่นๆ ภิกษุผู้ต้องปาราชิก มีมูลขาดแล้ว ท่านเรียกว่า ภิกษุผู้เลวทราม.
ส่วนในสิกขาบทนี้ ภิกษุผู้มิได้ต้องปาราชิก แต่ตั้งอยู่ในอิจฉาจาร เที่ยวย่ำยีสิกขาบทน้อยใหญ่ ท่านประสงค์เอาว่า ภิกษุผู้เลวทราม.
ความปรารถนาในส่วนเบื้องต้น ย่อมเกิดขึ้น แม้แก่ภิกษุผู้เลวทรามนั้น เหมือนเกิดขึ้นแก่มหาโจรภายนอก อย่างนี้ว่า เมื่อไรหนอ? เราจึงจักเป็นผู้อันภิกษุร้อยหนึ่งหรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว เที่ยวจาริกไปในคามนิคมและราชธานี อันคฤหัสถ์และบรรพชิตสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชปริขาร. (๑)
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สกฺกโต ได้แก่ ผู้ประสบสักการะ.
บทว่า ครุกโต ได้แก่ ผู้ได้รับความเคารพ.
บทว่า มานิโต ได้แก่ ผู้อันเขารักด้วยน้ำใจ.
บทว่า ปูชิโต ได้แก่ ผู้อันเขาบูชาแล้ว ด้วยการบูชา คือนำมาเฉพาะซึ่งปัจจัยทั้ง ๔.
(๑) วิ. มหา. ๑/๑๔.๑๖๙ - ๑๗๐
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 610
บทว่า อปจิโต ได้แก่ ผู้ลุถึงความยำเกรง.
บรรดาบุคคลเหล่านั้น ชนทั้งหลายสักการะปัจจัย ๔ คือ ทำปัจจัย ๔ ที่ตกแต่งไว้อย่างดีให้ประณีตๆ แล้วจึงถวายแก่ท่านผู้ใด, ท่านผู้นั้น ชื่อว่า อันเขาสักการะแล้ว.
ชนทั้งหลายให้ความเคารพ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะในท่านผู้ใด แล้วจึงถวาย, ท่านผู้นั้น ชื่อว่า อันเขาเคารพแล้ว.
ชนทั้งหลาย ย่อมรักใคร่ท่านผู้ใด ด้วยน้ำใจ, ท่านผู้นั้น ชื่อว่า อันเขานับถือแล้ว.
ชนทั้งหลาย ย่อมทำกิจ มีการสักการะเป็นต้นนั้น แม้ทั้งหมดแก่ท่านผู้ใด, ท่านผู้นั้น ชื่อว่า อันเขาบูชาแล้ว.
ชนทั้งหลายย่อมทำความนบนอบอย่างยิ่ง ด้วยอำนาจแห่งกิจ มีการกราบไหว้ลุกรับ และประนมมือไหว้เป็นต้น แก่ท่านผู้ใด, ท่านผู้นั้น ชื่อว่า อันเขายำเกรงแล้ว.
ก็ความปรารถนาอย่างนี้ ย่อมมีแก่ภิกษุผู้เลวทรามนี้ ผู้ปรารถนาอยู่ ซึ่งโลกามิส แม้ทั้งหมดนี้.
ข้อว่า โส อปเรน สมเยน มีความว่า ภิกษุผู้เลวทรามนั้น ครั้นคิดในส่วนเบื้องต้นอย่างนั้นแล้ว สงเคราะห์พวกภิกษุเลวทราม ผู้ไม่มีความเคารพกล้าในสิกขา ฟุ้งซ่าน จองหอง หลุกหลิก ปากจัด พูดพร่ำเพรื่อ หลงลืมสติ ไม่มีสัมปชัญญะ มีอินทรีย์เปิด (ผู้ไม่สำรวมอินทรีย์) ที่พระอาจารย์และอุปัชฌาย์สละทิ้งแล้ว ผู้หนักในลาภ โดยลำดับ แล้วให้สำเหนียกธรรมเนียมของคนหลอกลวงทั้งหลาย มีการวางกิริยาท่าทางเป็นต้น เป็นผู้มีคุณอันพวกภิกษุเลวทราม ผู้ทำความสั่งสม ในนิทานชาดกเป็นต้น สมบูรณ์ด้วยกระแสเสียง สามารถเพื่อลวงต้มชาวโลก สรรเสริญอยู่ ด้วยอุบายทั้งหลาย มีการพรรณนาถึงเสนาสนะที่ชาวโลกสมมุติเป็นต้น อย่างนี้ว่า พระเถระรูปนี้ เข้าจำพรรษาอยู่ในเสนาสนะชื่อโน้น บำเพ็ญวัตรปฏิบัติอยู่ออกพรรษาแล้วก็จะออกไป เป็นผู้อันภิกษุร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่งแวดล้อม เที่ยวจาริกไปใน
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 611
คามนิคมและราชธานี อันคฤหัสถ์และบรรพชิตสักการะ เคารพนับถือ บูชา ยำเกรง ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร.
[มหาโจรในพระศาสนามี ๕ จำพวก]
ข้อว่า อยํ ภิกฺขเว ปโม มหาโจโร มีความว่า ภิกษุผู้เลวทราม เป็นเหมือนโจรผู้ตัดที่ต่อเป็นต้น นี้ พึงทราบว่า เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๑ เพราะมิใช่จะหลอกลวงตระกูลหนึ่ง หรือสองตระกูลเท่านั้นก็หาไม่, โดยที่แท้ ยังหลอกลวงมหาชน ถือเอาปัจจัย ๔ ด้วย.
ส่วนภิกษุเหล่าใด ผู้เชี่ยวชาญในพระสูตร เชี่ยวชาญในพระอภิธรรม หรือทรงพระวินัย เมื่อภิกษาจารไม่สมบูรณ์ เที่ยวจาริกไปตามชนบทบอกบาลี กล่าวอรรถกถา ยังชาวโลกให้เลื่อมใสด้วยอนุโมทนา ด้วยธรรมกถา และด้วยความเรียบร้อยแห่งกิริยาท่าทาง, ภิกษุเหล่านั้น เขาสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรงแล้ว พึงทราบว่า เป็นผู้ยังพระศาสนาให้รุ่งเรือง สืบต่อแบบแผนและประเพณีไว้.
บทว่า ตถาคตปฺปเวทิตํ ความว่า อันพระตถาคตแทงตลอดแล้ว คือ กระทำให้ประจักษ์แล้ว หรือยังผู้อื่นให้รู้แล้ว.
สองบทว่า อตฺตโน ทหติ มีความว่า ภิกษุผู้เลวทราม เทียบเคียงบาลีและอรรถกถา อยู่ในท่ามกลางบริษัท กล่าวพระสูตรอันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส ด้วยเสียงอันไพเราะ ถูกวิญญูชนผู้เกิดมีความอัศจรรย์ใจไต่ถาม ในที่สุดแห่งธรรมกถาว่า โอ! ท่านผู้เจริญ บาลีและอรรถกถาบริสุทธิ์, พระคุณเจ้าเรียนเอาในสำนักของใคร? ดังนี้ กล่าวว่า ใครจะสามารถให้คนเช่นเราเรียนแล้วไม่แสดงอาจารย์ ประกาศธรรมวินัยที่ตนแทงตลอดเอง คือ ที่ตนได้บรรลุด้วยสยัมภูญาณ.
ภิกษุผู้ขโมยธรรมที่พระตถาคตทรงบำเพ็ญบารมี สิ้น ๔ อสงไขย ยิ่งด้วยแสนกัป ได้ตรัสรู้โดยแสนยากลำบาก นี้ จัดเป็นมหาโจรจำพวกที่ ๒.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 612
ข้อว่า สุทฺธํ พฺรหฺมจาริํ ได้แก่ ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว.
ข้อว่า ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ จรนฺตํ ได้แก่ เพื่อนพรหมจารีผู้ประพฤติจริยาที่ประเสริฐ อันหาอุปกิเลสมิได้.
อีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ที่บริสุทธิ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความไม่เดือดร้อนเป็นต้นแม้อื่น ตั้งต้นแต่พระอนาคามี ตราบเท่าถึงปุถุชนผู้มีศีล.
ข้อว่า อมูลเกน อพฺรหฺมจริเยน อนุทฺธํเสติ มีความว่า ภิกษุผู้เลวทราม ย่อมกล่าวหา คือ โจทด้วยอันติมวัตถุ ซึ่งไม่มีอยู่ในบุคคลนั้น.
ภิกษุผู้ลบหลู่คุณที่มีอยู่ ขโมยอริยคุณ นี้ จัดเป็นมหาโจรจำพวกที่ ๓.
ในสองบทว่า ครุภณฺฑานิ ครุปริกฺขารานิ นี้ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้:-
ในอทินนาทานสิกขาบท ภัณฑะมีราคา ๕ มาสก ท่านจัดว่า ครุภัณฑ์ ในคำว่า ชน ๔ คน ชวนกันลักครุภัณฑ์ (๑) นี้ฉันใด, ในสิกขาบทนี้ จะได้จัดฉันนั้น หามิได้, โดยที่แท้ ภัณฑะที่จัดเป็นครุภัณฑ์ ก็เพราะเป็นของที่ไม่ควรจำหน่าย โดยพระบาลีว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ภัณฑะ ๕ หมวดนี้ ไม่ควรจำหน่าย อย่าจำหน่าย, สงฆ์ หรือคณะ หรือบุคคล แม้จำหน่ายไป ก็ไม่เป็นอันจำหน่าย; ภิกษุใดพึงจำหน่าย ปรับอาบัติถุลลัจจัยแก่ภิกษุนั้น; ภัณฑะ ๕ หมวด คือ อะไรบ้าง? คือ อาราม อารามวัตถุ ฯลฯ ภัณฑะไม้ ภัณฑะดิน (๒) บริขารที่จัดเป็นครุบริขาร โดยความเป็นบริขารสาธารณะ เพราะเป็นของไม่ควรแจก โดยพระบาลีว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! บริขาร ๕ หมวดนี้ ก็ไม่ควรแจก อย่าแจก, สงฆ์หรือคณะ หรือบุคคล แม้แจกไปแล้ว ไม่เป็นอันแจก, ภิกษุใดพึงแจก ปรับอาบัติถุลลัจจัยแก่ภิกษุนั้น; บริขาร ๕ หมวด คืออะไรบ้าง? คืออาราม อารามวัตถุ ฯลฯ ภัณฑะไม้ ภัณฑะดิน (๓).
คำใด
(๑) วิ. ปริวาร. ๘/๕๓๐.
(๒) - (๓) วิ จุล. ๗/๑๓๓ - ๔.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 613
ที่ควรกล่าวในบทว่า อาราโม อารามวตฺถุ เป็นต้น ข้าพเจ้าจักกล่าวคำนั้นทั้งหมด ในวรรณนาแห่งสูตร ซึ่งมาในขันธกะว่า ปญฺจิมานิ ภิกฺขเว อวิสชฺชิยานิ นั่นเทียว.
ข้อว่า เตหิ คิหี สงฺคณฺหาติ มีความว่า ให้ครุภัณฑ์ ครุบริขาร มีอารามเป็นต้นเหล่านั้น สงเคราะห์ คืออนุเคราะห์พวกคฤหัสถ์.
บทว่า อุปลาเปติ มีความว่า ทำให้พวกคฤหัสถ์บ่นถึง คือ ให้เป็นผู้ติดใจ ได้แก่ ให้มีความรักใคร่ อย่างนี้ว่า ดีจริง! พระผู้เป็นเจ้าของพวกเรา.
ภิกษุผู้ลักครุบริขาร ที่ไม่ควรจำหน่าย และไม่ควรแจกโดยความเป็นอย่างนั้น สงเคราะห์คฤหัสถ์ นี้ จัดเป็นมหาโจรพวกที่ ๔.
ก็แล ภิกษุนี้นั้น เมื่อจำหน่ายครุภัณฑ์นี้ เพื่อสงเคราะห์สกุล ย่อมต้องกุลทูสกทุกกฏด้วย ย่อมเป็นผู้ควรแก่ปัพพาชนียกรรมด้วย, เมื่อจำหน่ายด้วยความเป็นผู้มีความเป็นใหญ่เหนือภิกษุสงฆ์ ย่อมต้องถุลลัจจัย, เมื่อจำหน่ายด้วยไถยจิต พึงให้ตีราคาสิ่งของปรับอาบัติแล.
ข้อว่า อยํ อคฺโค มหาโจโร มีความว่า ภิกษุที่ลักฉ้อโลกุตรธรรม ซึ่งสุขุมละเอียดนัก เป็นไปล่วงการถือเอาด้วยอินทรีย์ ๕ นี้ จัดเป็นโจรใหญ่ที่สุดของมหาโจรเหล่านั้น, ขึ้นชื่อว่าโจรผู้เช่นกับภิกษุนี้ ย่อมไม่มี.
ถามว่า ก็โลกุตรธรรม บุคคลอาจลวง คือลักฉ้อเอา เหมือนทรัพย์มีเงินและทองเป็นต้นหรือ?
แก้ว่า ไม่อาจ.
ด้วยเหตุนั้นนั่นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ภิกษุใด กล่าวอวดอุตริมนุสธรรม ที่ไม่มีอยู่ ไม่เป็นจริง. แท้จริง ภิกษุนี้ ย่อมกล่าวอวดธรรมที่ไม่มีอยู่ในตนอย่างเดียวว่า ธรรมนี้ของเรา มีอยู่. แต่ไม่อาจให้อุตริมนุสธรรมนั้นเคลื่อนไปจากที่ได้ หรือไม่อาจทำให้มีอยู่ในตนได้.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 614
ถามว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร จึงกล่าวว่า เป็นโจรเล่า?
แก้ว่า เพราะว่าภิกษุนี้ กล่าวอวดอุตริมนุสธรรมนั้นแล้ว ถือเอาปัจจัยที่เกิดขึ้น เพราะการอวดคุณที่ไม่มีอยู่; เพราะเหตุนั้น ปัจจัยเหล่านั้น ย่อมเป็นอันเธอผู้ถือเอา (ด้วยการอวดธรรมที่ไม่มีอยู่) อย่างนั้น ล่อลวง คือ ลักฉ้อ เอาด้วยอุบายอันสุขุม.
ด้วยเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ข้อนั้นเพราะเหตุไร? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เพราะเหตุที่ก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น อันภิกษุนั้นฉันแล้ว ด้วยความเป็นขโมย.
อันเนื้อความในคำว่า ตํ กิสฺส เหตุ นี้ พึงทราบดังต่อไปนี้:-
เราได้กล่าวคำใดว่า ภิกษุใด กล่าวอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มี ไม่จริง, ภิกษุนี้เป็นยอดมหาโจร; ถ้าจะมีผู้โจทก์ท้วงว่า ข้อนั้นเพราะเหตุไร? คือ เราได้กล่าวคำนั้น ด้วยเหตุอะไร?
เราพึงเฉลยว่า เพราะเหตุที่ก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น อันภิกษุนั้นฉันแล้ว ด้วยความเป็นขโมยแล ภิกษุทั้งหลาย! อธิบายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น เป็นอันภิกษุนั้นฉันแล้ว ด้วยไถยจิต; เพราะเหตุนั้น เราจึงได้กล่าวคำนั้น.
จริงอยู่ โว ศัพท์ ในคำว่า เถยฺยาย โว นี้ เป็นนิบาตลงในอรรถ สักว่าเป็นเครื่องทำบทให้เต็ม เหมือน โว ศัพท์ ในคำว่า เย หิ โว อริยา อรญฺวนปฏฺานิ เป็นอาทิ แปลว่า จริงอยู่ พระอริยเจ้าทั้งหลายแล ย่อมเสพราวไพรในป่า. เพราะเหตุนั้น ผู้ศึกษาไม่พึงเห็นเนื้อความแห่ง โว ศัพท์นั้น อย่างนี้ว่า ตุมฺเหหิ ภุตฺโต แปลว่า อันท่านทั้งหลายฉันแล้ว ดังนี้.
[แก้อรรถนิคมคาถา]
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงทำเนื้อความนั้นนั่นแล ให้แจ่มแจ้งขึ้นโดยคาถา จึงตรัสพระคาถาว่า อญฺถา สนฺตํ เป็นต้น.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 615
บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า อญฺถา สนฺตํ ความว่า อันมีอยู่โดยอาการอื่น ซึ่งมีกายสมาจารไม่บริสุทธิ์ เป็นต้น.
บาทคาถาว่า อญฺถา โย ปเวทเย ความว่า ภิกษุรูปใด พึงประกาศด้วยอาการอย่างอื่น ซึ่งมีกายสมาจารบริสุทธิ์เป็นต้น คือให้ชนชาติอื่นเข้าใจอย่างนี้ว่า เราเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างยิ่ง โลกุตรธรรมมีอยู่ในภายในของเรา. ก็แล ครั้นประกาศแล้ว (แสดงตน) ดุจพระอรหันต์ ฉันโภชนะที่เกิดขึ้น เพราะการประกาศนั้น.
บทว่า นิกจฺจ ในสองบาทคาถาว่า นิกจฺจ กิตวสฺเสว ภุตฺตํ เถยฺเยน ตสฺส ตํ นี้ แปลว่า ล่อลวง คือ แสดงตนอันมีอยู่โดยอาการอื่น ด้วยอาการอย่างอื่น ได้แก่ แสดงตนซึ่งไม่ใช่พุ่มไม้ และไม่ใช่กอไม้เลย ให้เป็นเหมือนพุ่มไม้และให้เหมือนกอไม้ เพราะเอากิ่งไม้ ใบไม้ และใบอ่อนเป็นต้น ปิดบังไว้.
บทว่า กิตวสฺเสว ความว่า ดุจพรานนก ผู้ลวง คือ หลอกจับนกตัวที่มาแล้วๆ ในป่า ด้วยมีความสำคัญว่า เป็นพุ่มไม้และกอไม้แล้วเลี้ยงชีวิต ฉะนั้น.
บาทคาถาว่า ภุตฺตํ เถยฺเยน ตสฺส ตํ ความว่า เมื่อภิกษุแม้นั้น ผู้ไม่ใช่พระอรหันต์เลย แสดงว่าเป็นพระอรหันต์ ฉันโภชนะที่ตนได้มา, โภชนะที่เธอฉัน ชื่อว่าเป็นอันเธอฉันแล้ว ด้วยความเป็นขโมย เพราะเธอฉันโภชนะที่ตนล่อลวงมนุษย์ทั้งหลายแล้วได้มา เปรียบเหมือนนายพรานนกผู้มีเครื่องปกปิด ล่อ คือ ลวงจับนก ฉะนั้น.
ก็ภิกษุเหล่าใด เมื่อไม่รู้อำนาจแห่งประโยชน์นี้ ย่อมฉันด้วยอาการอย่างนั้น, ภิกษุเป็นอันมาก เมื่อผ้ากาสาวะพันคอ มีธรรมเลวทรามไม่สำรวมแล้ว, ภิกษุผู้เลวทรามเหล่านั้น ย่อมเข้าถึงซึ่งนรก เพราะกรรมทั้งหลายที่เลวทราม.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 616
บทว่า กาสาวกณฺา ได้แก่ ผู้มีคอที่พันด้วยผ้ากาสาวะ.
มีคำอธิบายว่า คุณเครื่องเป็นสมณะ คือ พระอรหัตผล ย่อมไม่มีแก่บุคคลเหล่าใด, บุคคลเหล่านั้น มีแต่การทรงไว้ซึ่งธงชัยแห่งพระอริยะเพียงนี้เท่านั้น.
คำว่า ผู้มีผ้ากาสาวะพันคอ นี้ เป็นชื่อแห่งบรรพชิตผู้ทุศีล ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้อย่างนี้ว่า ดูก่อนอานนท์! ก็แล โคตรภูสงฆ์ทั้งหลาย ผู้มีผ้ากาสาวะพันคอ จักมีในกาลอนาคต.
บทว่า ปาปธมฺมา ได้แก่ ผู้มีธรรมลามก.
บทว่า อสญฺตา ได้แก่ ผู้ไม่สำรวมทางกายเป็นต้น.
บทว่า ปาปา ได้แก่ บุคคลลามก.
สองบทว่า ปาเปหิ กมฺเมหิ ความว่า เพราะกรรมที่เลวทรามทั้งหลาย มีการล่อลวงผู้อื่นเป็นต้นเหล่านั้น อันตนทำแล้ว เพราะไม่เห็นโทษในเวลากระทำ.
บาทคาถาว่า นิรยนฺเต อุปปชฺชเร ความว่า ภิกษุผู้เลวทรามเหล่านั้น ย่อมเข้าถึงทุคติ ที่หมดความแช่มชื่น. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสพระคาถาว่า เสยฺโย อโยคุโฬ เป็นต้น.
พึงทราบเนื้อความแห่งพระคาถานั้นว่า ถ้าบุคคลผู้ทุศีล ไม่สำรวม ตั้งอยู่ในอิจฉาจาร เป็นผู้ลวงโลกด้วยกิริยาหลอกลวงนี้ พึงบริโภค คือ พึงกลืนกินก้อนเหล็กแดงดังเปลวไฟ, การที่ผู้ทุศีลพึงฉันก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้นนี้ ๑ การที่บุคคลพึงกินก้อนเหล็กแดงนี้ ๑ ใน ๒ อย่างนั้น ก้อนเหล็กเทียว อันภิกษุนั้นบริโภคแล้ว พึงเป็นของประเสริฐกว่า คือ ดีกว่า และประณีตกว่า; เพราะว่า ภิกษุนั้นจะไม่เสวยทุกข์ซึ่งมีการกำหนดรู้ได้ยาก แม้ด้วยสัพพัญญุตญาณในสัมปรายภพ เพราะบริโภคก้อนเหล็กแดง, แต่จะ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 617
ได้เสวยทุกข์มีประการดังกล่าวแล้วในสัมปรายภพ เพราะเธอบริโภคก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น ซึ่งตนได้มาแล้วด้วยอาการอย่างนั้น.
จริงอยู่ อาชีพนี้ จัดเป็นมิจฉาชีพขั้นสุดยอด.
[ปฐมบัญญัติจตุตถปาราชิก]
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงโทษแก่พวกภิกษุ ผู้ไม่เห็นโทษในการกระทำความชั่วอย่างนั้นแล้ว จึงทรงติเตียนพวกภิกษุผู้อยู่ริมฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา โดยอเนกปริยาย แล้วตรัสโทษแห่งความเป็นผู้เลี้ยงยาก ความเป็นผู้บำรุงยาก ฯลฯ แล้วทรงรับสั่งว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็แล พวกเธอพึงแสดงสิกขาบทนี้ขึ้นอย่างนี้... ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงบัญญัติจตุตถปาราชิก จึงตรัสว่า โย ปน ภิกฺขุ อนภิชานํ เป็นอาทิ แปลว่า อนึ่ง ภิกษุใด ไม่รู้เฉพาะ ดังนี้เป็นต้น.
[อนุบัญญัติจตุตถปาราชิก]
ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงบัญญัติจตุตถปาราชิก ทำให้หนักแน่นขึ้นด้วยอำนาจความขาดมูลอย่างนั้นแล้ว เรื่องสำคัญว่าได้บรรลุแม้อื่นอีกก็เกิดขึ้น เพื่อประโยชน์แก่อนุบัญญัติ.
เพื่อแสดงความเกิดขึ้นแห่งเรื่องสำคัญว่าได้บรรลุนั้น พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลาย จึงได้กล่าวไว้อย่างนี้ว่า ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการอย่างนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า อทิฏฺเ ทิฏฺสญฺิโน ความว่า (ภิกษุทั้งหลาย) เป็นผู้มีความสำคัญในพระอรหัตผล อันตนมิได้เห็นด้วยญาณจักษุเลยว่าได้เห็น ด้วยคำว่า พระอรหัตผล อันเราทั้งหลายเห็นแล้ว.
ในพระอรหัตผลที่ตนยังมิได้ถึงเป็นต้น ก็นัยนี้. แต่มีความแปลกกันดังต่อไปนี้:-
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 618
บทว่า อปฺปตฺเต ความว่า ที่ตนยังมิได้ถึง ด้วยอำนาจความเกิดขึ้น ในสันดานของตน.
บทว่า อนธิคเต ได้แก่ ที่ตนยังมิได้บรรลุ ด้วยมรรคภาวนา. ความว่า อันตนยังไม่ได้บ้าง.
บทว่า อสจฺฉิกเต ได้แก่ ที่ตนยังมิได้แทงตลอด หรือยังมิได้ทำให้ประจักษ์ ด้วยอำนาจการพิจารณา.
บทว่า อธิมาเนน ได้แก่ ด้วยความสำคัญว่าตนได้บรรลุ. อธิบายว่า ด้วยความสำคัญที่เกิดขึ้นอย่างนี้ว่า เราได้บรรลุแล้ว อีกอย่างหนึ่ง ความว่า ด้วยความถือตัวยิ่ง คือ ด้วยมานะที่แข็งกระด้าง.
สองบทว่า อฺํ พฺยากริํสุ ความว่า ได้พยากรณ์พระอรหัตผล คือ ได้บอกแก่ภิกษุทั้งหลายว่า อาวุโส! พวกเราได้บรรลุพระอรหัตผลแล้ว กิจที่ควรทำ พวกเราได้ทำเสร็จแล้ว. เพราะยังละกิเลสไม่ได้ด้วยมรรค จิตของเธอเหล่านั้น ผู้ข่มกิเลสไว้ได้ ด้วยอำนาจสมถะและวิปัสสนาอย่างเดียว โดยสมัยต่อมา คือ ในเวลาประกอบพร้อมด้วยปัจจัยเห็นปานนั้น ย่อมน้อมไปเพื่อความกำหนัดบ้าง อธิบายว่า ย่อมน้อมไปเพื่อต้องการความกำหนัด.
ในบททั้งหลายนอกนี้ ก็นัยนี้.
ข้อว่า ตญฺจ โข เอตํ อพฺโพหาริกํ มีความว่า ก็แล การพยากรณ์ พระอรหัตนี้นั้น ของเธอเหล่านั้น เป็นอัพโพหาริก ยังไม่ถึงโวหารในการเป็นเหตุให้บัญญัติอาบัติ, อธิบายว่า ยังไม่เป็นองค์แห่งอาบัติ.
ถามว่า ก็ความสำคัญว่าได้บรรลุนี้ ย่อมเกิดขึ้นแก่ใคร? ไม่เกิดขึ้นแก่ใคร?
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 619
แก้ว่า ย่อมไม่เกิดขึ้นแก่พระอริยสาวกก่อน.
จริงอยู่ พระอริยสาวกนั้น มีโสมนัสเกิดขึ้นแล้วด้วยญาณเป็นเครื่องพิจารณา มรรค ผล นิพพาน กิเลสที่ละได้แล้ว และกิเลสที่ยังเหลือ เป็นผู้ไม่มีความสงสัยในการแทงตลอดอริยคุณ; เพราะเหตุนั้น มานะ (ความถือตัว) จึงไม่เกิดขึ้นแก่พระอริยสาวกทั้งหลาย มีพระโสดาบันเป็นต้น ด้วยอำนาจความถือว่า เราเป็นพระสกทาคามีเป็นต้น. และไม่เกิดขึ้นแม้แก่บุคคลผู้ทุศีล. เพราะว่า บุคคลผู้ทุศีลนั้น เป็นผู้หมดความหวังในการบรรลุอริยคุณทีเดียว. ทั้งไม่เกิดขึ้นแม้แก่ผู้มีศีล ซึ่งสละกรรมฐานเสีย แล้วตามประกอบเหตุแห่งความเกียจคร้าน มีความเป็นผู้ยินดีในความหลับนอนเป็นต้น.
แต่จะเกิดขึ้นแก่ท่านผู้เริ่มเจริญวิปัสสนา มีศีลบริสุทธิ์ดี ไม่ประมาทในกรรมฐาน ข้ามพ้นความสงสัยแล้ว เพราะกำหนดนาม รูป จับปัจจัยได้ ยกไตรลักษณ์ขึ้นพิจารณาสังขารทั้งหลายอยู่. และความสำคัญว่าได้บรรลุเกิดขึ้นแล้ว ย่อมพักบุคคลผู้ได้สมถะล้วนๆ หรือผู้ได้วิปัสสนาล้วนๆ เสียในกลางคัน.
จริงอยู่ บุคคลนั้น เมื่อไม่เห็นความฟุ้งขึ้นแห่งกิเลส ตลอด ๑๐ ปีบ้าง ๒๐ ปีบ้าง ๓๐ ปีบ้าง ย่อมเข้าใจว่า เราเป็นพระโสดาบัน หรือว่า เราเป็นพระสกทาคามี หรือว่า เราเป็นพระอนาคามี. แต่ความสำคัญว่าได้บรรลุนั้น ย่อมตั้งบุคคลผู้ได้ทั้งสมถะ และวิปัสสนาไว้ ในพระอรหัตผลทีเดียว.
จริงอยู่ บุคคลนั้นข่มกิเลสทั้งหลายได้ด้วยกำลังสมาธิ กำหนดสังขารทั้งหลายได้ดีด้วยกำลังวิปัสสนา; เพราะฉะนั้น กิเลสทั้งหลายจึงไม่ฟุ้งขึ้น ตลอด ๖๐ ปีบ้าง ๘๐ ปีบ้าง ๑๐๐ ปีบ้าง, ความเที่ยวไปแห่งจิต เป็นเหมือนของพระขีณาสพฉะนั้น. บุคคลนั้น เมื่อไม่เห็น ความฟุ้งขึ้นแห่งกิเลสตลอดราตรี นานด้วยอาการอย่างนั้น ไม่หยุดในกลางคันเลย จึงสำคัญว่า เราเป็นพระอรหันต์ ฉะนี้แล.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 620
บทว่า อนภิชานํ ได้แก่ ไม่รู้เฉพาะ.
ก็เพราะเหตุที่ภิกษุนี้ ไม่รู้จริง กล่าวอวดอยู่, อุตริมนุสธรรมนั้น ไม่เกิดขึ้นในสันดานของเธอ ทั้งเธอก็มิได้ทำให้แจ้งด้วยญาณ จึงชื่อว่าไม่มีจริง; เพราะฉะนั้น ในวาระแจกบทว่า อนภิชานํ นั้น ท่านพระอุบาลีกล่าวว่า (อุตริมนุสธรรม) ไม่มีจริง ไม่เป็นจริง หาไม่ได้แล้ว จึงกล่าวว่า (ภิกษุ) ไม่รู้อยู่ ดังนี้.
บทว่า อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํ แปลว่า ธรรมของมนุษย์ผู้ยวดยิ่ง คือ ท่านผู้ได้ฌาน และพระอริยเจ้าทั้งหลาย.
บทว่า อตฺตูปนายิกํ มีอรรถวิเคราะห์ว่า ภิกษุย่อมน้อมอุตริมนุสธรรมนั้นเข้ามาในตน หรือว่า ย่อมน้อมตนเข้าไปในอุตริมนุสธรรมนั้น; เพราะเหตุนั้น อุตริมนุสธรรมนั้นจึงชื่อว่า อัตตูปนายิกะ. (ภิกษุกล่าวอวด) อุตริมนุสธรรมนั้น เป็นที่น้อมเข้ามาในตน หรือว่าเป็นที่น้อมตนเข้าไปหา.
เชื่อมความว่า ภิกษุทำอย่างนี้กล่าวอวด แต่ในวาระแจกบท เพราะเหตุที่ท่านพระอุบาลีกล่าวธรรมหลายประการ มีฌานเป็นต้น ไว้อย่างนี้ว่า ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ ญาณทัสสนะ ฯลฯ (การยังมรรคให้เจริญ การทำให้แจ้งซึ่งผล การละกิเลส ความที่จิตปราศจากนิวรณ์) ความยินดียิ่งในเรือนว่างเปล่า ชื่อว่าอุตริมนุสธรรม ดังนี้; เพราะฉะนั้น เมื่อท่านจะแสดงความที่อุตริมนุสธรรมนั้น เป็นธรรมที่น้อมเข้ามาในตน ด้วยอำนาจแห่งธรรมเหล่านั้นทั้งหมด จึงได้กระทำนิเทศเป็นพหุวจนะว่า ภิกษุย่อมน้อมกุศลธรรมเหล่านั้นมาในตน ก็ดี.
ในบรรดาการน้อม ๒ อย่างนั้น เมื่อภิกษุอวดว่า ธรรมเหล่านี้ ย่อมปรากฏในข้าพเจ้า พึงทราบว่า ชื่อว่า น้อม (ธรรมเหล่านั้น) เข้ามาในตน, เมื่ออวดว่า ข้าพเจ้า ย่อมปรากฏในธรรมเหล่านี้ พึงทราบว่า ชื่อว่า น้อมตนเข้าไปในธรรมเหล่านั้น.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 621
พึงทราบความเชื่อมอรรถแห่งบทในคำว่า อลมริยาณทสฺสนํ นี้ อย่างนี้คือ ปัญญาทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ ชื่อว่า ญาณ เพราะอรรถว่ารู้, ชื่อว่า ทัสสนะ เพราะอรรถว่า เห็น เพราะกระทำซึ่งธรรมให้เป็นประดุจเห็นด้วยจักษุ; เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ญาณทัสสนะ.
ญาณทัสสนะ อย่างประเสริฐ คือ อย่างบริสุทธิ์อย่างสูงสุด; เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อริยญาณทัสสนะ. ญาณทัสสนะอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ คือ แกล้วกล้า สามารถกำจัดกิเลส มีอยู่ในอุตริมนุสธรรมต่างประเภท มีฌานเป็นต้นนี้ หรือว่าญาณทัสสนะอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ เป็นของแห่งอุตริมนุสธรรมนั้น; เพราะเหตุนั้น อุตริมนุสธรรมนั้น จึงชื่อว่า มีความรู้เห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ. ภิกษุไม่รู้จริง กล่าวอวดอุตริมนุสธรรม อันมีความรู้เห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถนั้น.
ในบทภาชนะนั้น อุตริมนุสธรรมนั้น ท่านเรียกว่า อลมริยญาณทัสสนา ด้วยญาณทัสสนะใด, เพื่อแสดงญาณทัสสนะนั้นนั่นแล ท่านพระอุบาลีจึงกล่าวบทภาชนะ ด้วยวิชชาเป็นใหญ่ว่า ญาณ นั้น ได้แก่ วิชชา ๓, ทัสสนะ นั้น คือ ญาณอันใด ทัสสนะก็อันนั้น ทัสสนะอันใด ญาณก็อันนั้น. แต่ในบทว่า าณํ นี้ ปัญญาแม้ทั้งหมดที่เป็นมหัคคตและโลกุตระ พึงทราบว่า ญาณ.
บทว่า สมุทาจเรยฺย ความว่า พึงอวดอุตริมนุสธรรม มีประการดังกล่าวแล้ว ทำให้น้อมเข้ามาในตน.
ส่วนบทว่า อิตฺถิยา วา เป็นต้น ชี้ถึงบุคคลที่ภิกษุจะพึงอวด.
จริงอยู่ เมื่ออวดอุตริมนุสธรรมแก่บุคคลเหล่านี้ ย่อมเป็นอันอวด. เมื่ออวดแก่เทวดา มาร พรหมหรือแม้แก่เปรต ยักษ์ และสัตว์ดิรัจฉาน หาเป็นอันอวดไม่ แล.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 622
คำว่า อิติ ชานามิ อิติ ปสฺสามิ นี้ แสดงอาการอวด.
แต่ในบทภาชนะแห่งบทว่า อิติ ชานามิ อิติ ปสฺสามิ นั้น คำว่า ข้าพเจ้ารู้ธรรมเหล่านี้ ข้าพเจ้าเห็นธรรมเหล่านี้ นี้ แสดงถึงความเป็นไปแห่งความรู้และความเห็น ในธรรมมีฌานเป็นต้นเหล่านั้น.
คำว่า และธรรมเหล่านี้ มีแก่ข้าพเจ้า เป็นต้น แสดงความน้อมเข้ามาในตน.
คำว่า โดยสมัยอื่นแต่สมัยนั้น นี้ แสดงถึงสมัยที่ปฏิญญาว่าเป็นอาบัติ.
แต่ภิกษุนี้ต้องปาราชิกในขณะที่อวดทีเดียว. และเธอต้องอาบัติแล้ว ถูกภิกษุอื่นโจทก็ตาม ไม่ถูกโจทก็ตาม ย่อมปฏิญญา; เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เธออันผู้ใดผู้หนึ่ง เชื่อก็ตาม ไม่เชื่อก็ตาม.
[เหตุที่ให้เชื่อถือมีฐานะ ๖ อย่าง]
บรรดาความเชื่อ และไม่เชื่อ นั้น ในความเชื่อ พึงทราบวินิจฉัยก่อนคือ:-
๑. ข้อว่า ท่านได้บรรลุอะไร? คือ เป็นคำถามถึงธรรมที่ได้บรรลุ. มีคำอธิบายว่า บรรดาคุณธรรมมีฌานและวิโมกข์เป็นต้น หรือบรรดามรรค มีโสดาปัตติมรรคเป็นต้น ท่านได้บรรลุอะไร?
๒. ข้อว่า ท่านได้บรรลุด้วยวิธีอะไร? คือ เป็นคำถามถึงอุบาย. ความจริงในข้อนี้ มีอธิบายดังต่อไปนี้ คือ ท่านทำอนิจจลักษณะให้เป็นธุระแล้วจึงได้บรรลุ? หรือท่านทำบรรดาทุกขลักษณะแลอนัตตลักษณะ อย่างใด อย่างหนึ่งให้เป็นธุระแล้ว จึงได้บรรลุ? ท่านตั้งมั่นแล้วด้วยอำนาจสมาธิ หรือตั้งมั่นแล้วด้วยอำนาจวิปัสสนาจึงได้บรรลุ? อนึ่ง ท่านตั้งมั่นแล้วในรูปธรรม หรือตั้งมั่นแล้วในอรูปธรรม จึงได้บรรลุ? ท่านตั้งมั่นแล้วในกายเป็นภายใน หรือตั้งมั่นแล้วในกายเป็นภายนอก จึงได้บรรลุ?
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 623
๓. ข้อว่า ท่านได้บรรลุเมื่อไร? คือ เป็นคำถามถึงกาล. มีคำอธิบายว่า ในบรรดากาลเช้าและเที่ยงเป็นต้น กาลใดกาลหนึ่ง?
๔. ข้อว่า ท่านได้บรรลุที่ไหน? คือ เป็นคำถามถึงโอกาส. มีคำอธิบายว่า ในโอกาสไหน? คือในที่พักกลางคืน ในที่พักกลางวัน ที่โคนต้นไม้ ที่มณฑป หรือในวิหารหลังไหน?
๕. ข้อว่า ท่านละกิเลสเหล่าไหนได้? คือ เป็นคำถามถึงกิเลสที่ละได้แล้ว. มีคำอธิบายว่า กิเลสทั้งหลายที่มรรคจำพวกไหนฆ่าท่านละได้แล้ว.
๖. ข้อว่า ท่านได้ธรรมเหล่าไหน? คือ เป็นคำถามถึงธรรมที่ได้แล้ว มีคำอธิบายว่า บรรดามรรคมีปฐมมรรคเป็นต้น ท่านได้ธรรมเหล่าไหน?
[อรรถาธิบายฐานะ ๖ อย่าง]
เพราะฉะนั้น ในบัดนี้ ถ้าแม้ภิกษุรูปไรๆ พึงพยากรณ์การบรรลุอุตริมนุสธรรม, เธออันใครๆ ไม่ควรสักการะ ด้วยคำพยากรณ์มีประมาณเพียงเท่านี้ก่อน. แต่เธอควรถูกทักท้วง เพื่อสอบสวนให้ขาวสะอาด ในฐานะทั้ง ๖ เหล่านี้ว่า ท่านได้บรรลุอะไร? คือว่าท่านได้บรรลุฌาน หรือได้บรรลุบรรดาวิโมกข์เป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่งหรือ?
จริงอยู่ ธรรมที่บุคคลใด ได้บรรลุแล้ว ย่อมเป็นของปรากฏแก่บุคคลนั้น. ถ้าเธอกล่าวว่า ข้าพเจ้าได้บรรลุธรรมชื่อนี้, ลำดับนั้น ควรสอบถามเธอว่า ท่านได้บรรลุด้วยวิธีไร? คือควรซักถามว่า ท่านทำอะไร ในบรรดาไตรลักษณ์ มีอนิจจลักษณะเป็นต้นให้เป็นธุระ หรือตั้งมั่นอยู่ด้วยหัวข้ออะไร ในบรรดาอารมณ์ ๓๘ อย่าง หรือในบรรดาธรรมอันต่างด้วยรูปธรรม อรูปธรรม กายเป็นภายใน และกายเป็นภายนอกเป็นต้น จึงได้บรรลุ? แท้จริง ความตั้งมั่นใดของบุคคลใดมี ความตั้ง
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 624
มั่นนั้นย่อมปรากฏแก่บุคคลนั้น.
ถ้าภิกษุกล่าวว่า ความตั้งมั่นชื่อนี้ของข้าพเจ้ามีอยู่, ข้าพเจ้าได้บรรลุด้วยวิธีอย่างนี้ ดังนี้, ลำดับนั้น ควรสอบถามเธอดูว่า ท่านได้บรรลุเมื่อไร? คือควรซักถามเธอว่า ท่านได้บรรลุในเวลาเช้าหรือในบรรดาเวลาเที่ยงเป็นต้น เวลาใดเวลาหนึ่งหรือ? ความจริง กาลที่ตนได้บรรลุ ย่อมเป็นของปรากฏแก่ชนทุกจำพวก.
ถ้าภิกษุกล่าวว่า ข้าพเจ้าได้บรรลุในกาลชื่อโน้น, ลำดับนั้น ควรสอบถามเธอดูว่า ท่านได้บรรลุที่ไหน? คือควรซักถามเธอว่า ท่านได้บรรลุในที่พักกลางวัน หรือในบรรดาที่พักกลางคืนเป็นต้น โอกาสใดโอกาสหนึ่งหรือ? ความจริง โอกาสที่ตนได้บรรลุ ย่อมปรากฏแก่ชนทุกจำพวก.
ถ้าภิกษุกล่าวว่า ข้าพเจ้าได้บรรลุในโอกาสชื่อโน้น, ลำดับนั้น ควรสอบถามเธอดูว่า ท่านละกิเลสเหล่าไหนได้ คือควรซักถามเธอว่า กิเลสทั้งหลาย ที่ปฐมมรรคพึงฆ่า หรือที่ทุติยมรรคเป็นต้นพึงฆ่า ท่านละได้แล้ว? ความจริง กิเลสอันมรรคที่ตนได้บรรลุละได้แล้ว ย่อมปรากฏแก่ชนทุกจำพวก.
ถ้าภิกษุกล่าวว่า กิเลสชื่อเหล่านี้ ข้าพเจ้าละได้แล้ว, ลำดับนั้น ควรสอบถามเธอดูว่า ท่านได้ธรรมเหล่าไหน? คือควรซักถามเธอดูว่า ท่านได้โสดาปัตติมรรค หรือได้บรรดามรรคมีสกทาคามิมรรคเป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่งหรือ? ความจริง ธรรมที่ตนได้บรรลุแล้ว ย่อมปรากฏแก่ชนทุกจำพวก.
ถ้าภิกษุกล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ธรรมชื่อเหล่านี้, ไม่ควรเชื่อถือคำพูดของเธอ แม้ด้วยคำพยากรณ์ มีประมาณเพียงเท่านี้.
จริงอยู่ ภิกษุทั้งหลาย ผู้พหูสูตเป็นผู้ฉลาดในการเรียนและการสอบถาม ย่อมสามารถสอบสวนฐานะทั้ง ๖ เหล่านี้ ให้ขาวสะอาดได้.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 625
[เรื่องสอบสวนดูปฏิปทาของภิกษุผู้อ้างตนว่าได้บรรลุธรรม]
ส่วนอาคมนปฏิปทา (ข้อปฏิบัติเป็นเหตุมาแห่งมรรค) ของภิกษุนี้ ควรสอบสวนให้ขาวสะอาด. ถ้าอาคมนปฏิปทา ไม่บริสุทธิ์, ภิกษุทั้งหลายควรกล่าวว่า ขึ้นชื่อว่า โลกุตรธรรม ท่านจะไม่ได้ด้วยปฏิปทานี้ แล้วนำเธอออกไปเสีย. แต่อาคมนปฏิปทาของภิกษุนั้นบริสุทธิ์, ถ้าภิกษุ (๑) นั้น ปรากฏในปฏิปทานั้นว่า เป็นผู้ไม่ประมาทในไตรสิกขา ทั้งหมั่นประกอบธรรมเป็นเครื่องตื่นอยู่ ตลอดราตรีนาน ไม่ข้องอยู่ในปัจจัยทั้ง ๔ อยู่ ด้วยใจเสมอด้วยฝ่ามือในอากาศ คำพยากรณ์ของภิกษุนั้น ย่อมเทียบเคียงกับข้อปฏิบัติได้ คือ เป็นเช่นกับพระพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ว่า น้ำแม่น้ำคงคากับน้ำแม่น้ำยมุนา เทียบเคียงกันได้ เข้ากันได้ ชื่อแม้ฉันใด, ปฏิปทาที่ให้ถึงพระนิพพาน อันพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงบัญญัติดีแล้วแก่สาวกทั้งหลาย ก็ฉันนั้นเหมือนกัน, ทั้งพระนิพพานและปฏิปทาเทียบเคียงกันได้.
อีกอย่างหนึ่งแล สักการะอันใครๆ ไม่ควรทำ แม้ด้วยคำพยากรณ์มีประมาณเพียงเท่านี้. เพราะเหตุไร? เพราะว่า แม้ภิกษุผู้เป็นปุถุชนบางรูป ก็มีปฏิปทาเป็นเหมือนข้อปฏิบัติของพระขีณาสพ. เพราะฉะนั้น ภิกษุรูปนั้น อันใครๆ พึงทำให้หวาดสะดุ้งได้ด้วยอุบายนั้นๆ.
ธรรมดาพระขีณาสพ แม้เมื่ออสนีบาต ผ่าลงมาบนกระหม่อม ก็หามีความกลัว ความหวาดสะดุ้ง หรือขนพองสยองเกล้าไม่. ถ้าความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ขนพองสยองเกล้าก็ดี เกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้น, เธออันภิกษุทั้งหลาย พึงกล่าวเตือนว่า ท่านไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ แล้วพึงนำออกเสีย. แต่ถ้าภิกษุนั้น เป็นผู้ไม่กลัว เป็นผู้ไม่หวาดเสียว เป็นผู้ไม่สะดุ้ง ย่อมนั่งนิ่งเหมือนราชสีห์ ฉะนั้น, ภิกษุนี้ ชื่อว่าเป็นผู้มีการพยากรณ์อย่างสมบูรณ์ ย่อมควรรับสักการะ ที่พระราชาและราชมหาอำมาตย์เป็นต้น ส่งไปถวายโดยรอบ ฉะนี้แล.
(๑) แปลตามสารัตถทีปนี ๒/๔๔๑.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 626
บทว่า ปาปิจฺโฉ ได้แก่ ภิกษุผู้ประกอบด้วยความเป็นผู้ปรารถนาลามก ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ โดยนัยเป็นต้นว่า ภิกษุบางรูปในศาสนานี้ เป็นผู้ทุศีลแล ย่อมปรารถนาว่า ขอชนจงรู้เราว่า เป็นผู้มีศีล (๑) ดังนี้.
บทว่า อิจฺฉาปกโต ได้แก่ ภิกษุผู้เป็นปาราชิก ถูกความปรารถนาลามกนั้นครอบงำ คือ ย่ำยี.
บทว่า วิสุทธฺาเปกฺโข ได้แก่ ผู้มุ่ง คือ ต้องการปรารถนาความบริสุทธิ์เพื่อตน.
จริงอยู่ เพราะเหตุที่ภิกษุนี้ ต้องปาราชิกแล้ว; ฉะนั้น เธอยังดำรงอยู่ในความเป็นภิกษุ เป็นผู้ไม่ควร เพื่อบรรลุคุณธรรมมีฌานเป็นต้น. แท้จริง ความเป็นภิกษุของเธอ ย่อมเป็นอันตรายต่อสวรรค์ด้วย เป็นอันตรายต่อมรรคด้วย.
สมจริงดังพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ว่า คุณเครื่องเป็นสมณะ ที่บุคคลลูบคลำไม่ดี ย่อมฉุดคร่าเขาไปในนรก. (๒)
แม้พระดำรัสอื่นอีก ก็ตรัสว่า เพราะว่า สมณธรรมเครื่องละเว้นที่ย่อหย่อน ยิ่งเกลี่ยธุลีลง (๓) ดังนี้ ความเป็นภิกษุของเธอ ย่อมชื่อว่าเป็นของไม่บริสุทธิ์ ฉะนี้แล.
อนึ่ง ภิกษุผู้ต้องปาราชิกนั้น (ละภิกษุภาวะ) เป็นคฤหัสถ์ หรือเป็นอุบาสก เป็นอารามิกะ หรือเป็นสามเณร ย่อมเป็นผู้ควร เพื่อยังทางสวรรค์ให้สำเร็จ ด้วยคุณธรรมทั้งหลาย มีทาน สรณะ ศีล และสังวรเป็นต้น หรือยังทางพระนิพพานให้สำเร็จ ด้วยคุณธรรมทั้งหลาย มีฌานและวิโมกข์เป็นต้น; เพราะเหตุนั้น ความเป็นคฤหัสถ์เป็นต้นของเธอ จึงชื่อว่าเป็นความบริสุทธิ์. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสเรียกเธอว่า ผู้มุ่งความบริสุทธิ์ เพราะเพ่งถึงความบริสุทธิ์นั้น.
ก็ด้วยเหตุนั้นนั่นแล ในบทภาชนะแห่งบทว่า วิสุทฺธาเปกฺโข นั้น ท่านพระอุบาลีเถระ จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า ประสงค์จะเป็นคฤหัสถ์.
(๑) อภิ. วิ. ๓๕/๔๗๓.
(๒) - (๓) ขุ. ธ. ๒๕/๖๕.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 627
สองบทว่า เอวํ วเทยฺย แปลว่า พึงกล่าวอย่างนี้.
ถามว่า พึงกล่าวอย่างไร?
แก้ว่า พึงกล่าวว่า แน่ะท่าน! ข้าพเจ้าไม่รู้อย่างนั้น ได้กล่าวว่ารู้ ไม่เห็นอย่างนั้น ได้กล่าวว่าเห็น.
ส่วนในบทภาชนะ ท่านพระอุบาลีเถระ มิได้ยกบทว่า เอวํ วเทยฺย นี้ ขึ้นเลย ได้กล่าวคำเป็นต้นว่า ข้าพเจ้าไม่รู้ธรรมเหล่านั้น ดังนี้ เพื่อแสดงอาการที่ภิกษุผู้กล่าวเป็นเหตุให้ท่านเรียกชื่อว่า ย่อมกล่าวว่า แนะท่าน! ข้าพเจ้าไม่รู้อย่างนั้น ได้กล่าวว่ารู้ ไม่เห็นอย่างนั้น ได้กล่าวว่าเห็น.
ข้อว่า ตุจฺฉํ มุสา วิลปิํ มีคำอธิบายว่า ข้าพเจ้าได้พูด คือ ได้กล่าวพล่อยๆ โดยเว้นจากประโยชน์แห่งคำพูด เป็นเท็จเปล่าๆ โดยความประสงค์จะลวง.
ส่วนในบทภาชนะแห่งบทนั้น ท่านพระอุบาลีเถระ กล่าวคำเป็นต้นไว้ว่า ข้าพเจ้าพูดพล่อยๆ ดังนี้ ก็เพื่อแสดงเพียงเนื้อความ ด้วยบทและพยัญชนะอย่างอื่น.
สองบทว่า ปุริเม อุปาทาย ความว่า เทียบบุคคลผู้ต้องปาราชิกทั้ง ๓ ก่อนๆ.
คำที่เหลือ ชื่อว่าปรากฏชัดแล้วแล เพราะมีนัยดังกล่าวแล้วในเบื้องต้น และเพราะมีเนื้อความชัดเจน ฉะนี้แล.
[อธิบายบทภาชนีย์]
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจำแนกสิกขาบทที่ทรงอุเทศไว้ตามลำดับบทอย่างนั้นแล้ว บัดนี้ มีพระประสงค์จะทรงตั้งบทภาชนะนั้นแลในฐานเป็นมาติกาอีก แล้วแสดงอุตริมนุสธรรมโดยพิสดาร แสดงประเภทอาบัติ เพื่อถือเอาใจความโดยอาการทั้งปวง จึงตรัสคำว่า ฌานนั้น ได้แก่ ปฐมฌาน ทุติยฌาน เป็นอาทิ เพราะเหตุว่า ในบทภาชนีย์ในหนหลัง ได้ทรงแสดงอุตริมนุสธรรมไว้แต่โดยย่อ อย่างนี้ว่า ฌานวิโมกข์ สมาธิสมาบัติ ญาณทัสสนะ ฯลฯ ความ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 628
ยินดีเฉพาะในสุญญาคาร ไม่ได้ทรงยกอาบัติเป็นแบบไว้โดยพิสดาร และเมื่อแสดงเนื้อความไว้แต่โดยย่อแล้ว ผู้ศึกษาทั้งหลายไม่อาจถือเอาใจความได้โดยถี่ถ้วน.
ในคำว่า ปมชฺฌานํ เป็นต้นนั้น มีวินิจฉัยดังนี้:-
อัปปมัญญาฌาน มีเมตตาฌานเป็นต้นก็ดี อสุภฌานเป็นต้นก็ดี อานาปานัสสติสมาธิฌานก็ดี โลกิยฌานก็ดี โลกุตรฌานก็ดี สงเคราะห์เข้าด้วยปฐมฌานเป็นต้นนั่นแล; เพราะเหตุนั้น เมื่อภิกษุอวดว่า ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานแล้วก็ดี... ข้าพเจ้าเข้าจตุตถฌานแล้วก็ดี อวดว่า ข้าพเจ้าเข้าเมตตาฌานก็ดี... ข้าพเจ้าเข้าอุเบกขาฌานก็ดี ข้าพเจ้าเข้าอสุภฌานแล้วก็ดี ข้าพเจ้าเข้าอานาปานัสสติสมาธิฌานแล้วก็ดี ข้าพเจ้าเข้าโลกิยฌานแล้วก็ดี ข้าพเจ้าเข้าโลกุตรฌานแล้วก็ดี พึงทราบว่า เป็นปาราชิกทั้งนั้น.
อริยมรรค ที่พ้นด้วยดี หรือที่พ้นจากกิเลสมีอย่างต่างๆ เพราะฉะนั้น อริยมรรคนั้น จึงชื่อว่าวิโมกข์.
ก็แล วิโมกข์นี้นั้น ท่านเรียกว่า สุญญตวิโมกข์ เพราะเปล่าจากราคะ โทสะ และโมหะ, ท่านเรียกว่า อนิมิตตวิโมกข์ เพราะไม่มีนิมิตด้วยนิมิต คือ ราคะ โทสะ และโมหะ, ท่านเรียกว่า อัปปณิหิตวิโมกข์ เพราะไม่มีที่ตั้ง คือ ราคะ โทสะ และโมหะ. ธรรมชาติที่ชื่อว่า สมาธิ เพราะอรรถว่า ตั้งจิตไว้เสมอ คือ ตั้งจิตไว้ในอารมณ์. ที่ชื่อว่า สมาบัติ เพราะเป็นธรรมชาติ ที่พระอริยเจ้าทั้งหลายพึงเข้า.
บทที่เหลือในคำเหล่านี้ มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
ก็อริยมรรคเทียว พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ในติกะเหล่านี้ ด้วยหมวด ๓ แห่งวิโมกข์ และด้วยหมวด ๓ แห่งสมาธิ. ผลสมาบัติ ตรัสไว้ด้วยหมวด ๓ แห่งสมาบัติ.
ในบทเหล่านั้น ภิกษุถือเอาบทอันใดอันหนึ่งเพียงบทเดียว กล่าวว่า ข้าพเจ้า มีปกติได้ธรรมนี้ ย่อมเป็นปาราชิกแท้.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 629
ที่ชื่อว่า วิชชา ๓ ได้แก่ บุพเพนิวาสานุสติ ทิพยจักษุ อาสวักขยญาณแล.
ในวิชชา ๓ นั้น เมื่อภิกษุถือเอาชื่อแม้แห่งวิชชาอันหนึ่ง อวดว่า ข้าพเจ้า มีปกติได้วิชชานี้ ย่อมเป็นปาราชิกแท้.
แต่ในสังเขปอรรถกถา ท่านกล่าวว่า เมื่อภิกษุกล่าวว่า ข้าพเจ้า มีปกติได้วิชชาทั้งหลาย ดังนี้ก็ดี กล่าวว่า ข้าพเจ้า มีปกติได้วิชชา ๓ ดังนี้ก็ดี ย่อมเป็นปาราชิกเหมือนกัน.
มรรคภาวนา ได้กล่าวแล้วในบทภาชนะ.
โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ ที่สัมปยุตด้วยมรรค เป็นโลกุตระแท้ ท่านประสงค์เอาในบทว่า มรรคภาวนา นี้ เพราะเหตุนั้น ในมหาอรรถกถา ท่านจึงกล่าวว่า เป็นปาราชิกแก่ภิกษุ ผู้กล่าวว่า ข้าพเจ้า มีปกติได้สติปัฏฐานที่เป็นโลกุตระ ข้าพเจ้า มีปกติได้สัมมัปปธาน... อิทธิบาท... อินทรีย์... พละ... โพชฌงค์... อริยมรรคมีองค์ ๘ ที่เป็นโลกุตระ.
ส่วนในมหาปัจจรีเป็นต้น ท่านกล่าวไว้ว่า เมื่อภิกษุกล่าวด้วยอำนาจส่วนอันหนึ่งๆ อย่างนั้นว่า ข้าพเจ้า เป็นผู้มีปกติได้สติปัฏฐาน ดังนี้ก็ดี ด้วยอำนาจธรรมอย่างหนึ่งๆ ในส่วนเหล่านั้น อย่างนี้ว่า ข้าพเจ้า เป็นผู้มีปกติได้กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ดังนี้ก็ดี เป็นปาราชิกเหมือนกัน.
แม้คำที่ท่านกล่าวไว้ในมหาปัจจรี เป็นต้นนั้น ย่อมสมกัน.
เพราะเหตุไร?
เพราะเหตุที่ท่านกล่าวหมายเอาสติปัฏฐาน ที่เกิดขึ้นในขณะแห่งมรรคเหมือนกัน.
แม้ในการทำให้แจ้งซึ่งผล ก็พึงทราบว่า เป็นปาราชิก ด้วยอำนาจแห่งผลอันหนึ่งๆ.
เฉพาะความละกิเลส พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสในหมวด ๓ มีคำว่า ราคสฺส ปหานํ เป็นต้น.
ก็การละกิเลสนั้น เว้นมรรคเสียแล้ว ย่อมไม่มี, จริงอยู่ การละราคะและโทสะ ย่อมมีด้วยมรรคที่ ๓, การละโมหะ ย่อมมีด้วยมรรคที่ ๔; เพราะเหตุนั้น จึงเป็นปาราชิก แม้แก่ภิกษุผู้กล่าวคำเป็นต้นว่า ราคะ ข้าพเจ้า
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 630
ละได้แล้ว.
เฉพาะโลกุตรจิต กับสมาบัติ พระผู้มีพระภาคตรัสในหมวด ๓ มีคำว่า ราคา จิตฺตํ วินีวรณตา เป็นอาทิ. เพราะเหตุนั้น แม้เมื่อภิกษุ กล่าวคำเป็นต้นว่า จิตของข้าพเจ้า พรากออกจากราคะ ก็เป็นปาราชิกเหมือนกัน.
ส่วนในบทภาชนะแห่งบทสุญญาคาร ท่านไม่ประสงค์ปาราชิก ด้วยเพียงคำที่ไม่เนื่องด้วยฌานว่า ข้าพเจ้ายินดีเฉพาะในสุญญาคาร; เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวคำเป็นต้นไว้ว่า ข้าพเจ้า ยินดีเฉพาะในสุญญาคาร ด้วยปฐมฌาน. เพราะเหตุนั้น ภิกษุใด กล่าวเนื่องด้วยฌานว่า ข้าพเจ้า ยินดีเฉพาะในสุญญาคารด้วยฌานชื่อนี้ ภิกษุนี้แหละ พึงทราบว่า เป็นปาราชิก.
ก็ บรรดาวิชชา ๘ ที่ตรัสไว้ในพระสูตรทั้งหลาย มีอัมพัฏฐสูตรเป็นต้น วิชชา ๕ เหล่าใด ต่างโดยวิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิ อิทธิวิธี ทิพโสต และเจโตปริยญาณ ไม่ได้มาแล้วในบทภาชนะ แห่งบทว่า าณํ นี้.
บรรดาวิชชา ๕ เหล่านั้น เฉพาะวิปัสสนาอย่างเดียว ย่อมไม่เป็นวัตถุแห่งปาราชิก, วิชชาที่เหลือ พึงทราบว่า เป็นวัตถุแห่งปาราชิก. เพราะเหตุนั้น เมื่อภิกษุกล่าวว่า ข้าพเจ้า เป็นผู้มีปกติได้วิปัสสนาก็ดี ว่า ข้าพเจ้า เป็นผู้มี ปกติได้วิปัสสนาญาณก็ดี ยังไม่เป็นปาราชิก. แต่พระปุสสเทวเถระกล่าวว่า วิชชา ๔ แม้นอกจากนี้ ไม่สืบเนื่องด้วยญาณ ย่อมไม่เป็นวัตถุแห่งปาราชิก; เพราะเหตุนั้น จึงไม่เป็นปาราชิกแม้แก่ภิกษุผู้กล่าวอยู่ว่า ข้าพเจ้า เป็นผู้มีปกติได้มโนมัย, ข้าพเจ้า เป็นผู้มีปกติได้อิทธิวิธี, ข้าพเจ้า เป็นผู้มีปกติได้ทิพโสตธาตุ, ข้าพเจ้า เป็นผู้มีปกติได้เจโตปริยาย.
คำนั้น ถูกพวกอันเตวาสิกของท่านนั้นนั่นเอง ค้านแล้วว่า ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ผู้ชำนาญในอภิธรรม ย่อมไม่ทราบธรรมเป็นภูมิอื่น, ขึ้นชื่อว่าอภิญญามีจตุตถฌานเป็นบาท ทั้งเป็นมหัคคตธรรมด้วย ย่อมสำเร็จได้ด้วยฌานเท่านั้น; เพราะเหตุนั้น ภิกษุจะ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 631
กล่าวว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้มีปกติได้มโนมัย, หรือว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้มีปกติได้มโนมยญาณ หรือจะกล่าวโดยประการตามที่ตนมุ่งจะกล่าวก็ตามที, เธอย่อมต้องปาราชิกเหมือนกัน.
จริงอยู่ ในจตุตถปาราชิกนี้ พระนิพานไม่ได้มาในพระบาลี แม้โดยแท้, ถึงกระนั้น เมื่อภิกษุกล่าวว่า พระนิพพาน ข้าพเจ้าบรรลุแล้ว หรือว่า พระนิพพาน ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ย่อมเป็นปาราชิกเหมือนกัน.
เพราะเหตุไร?
เพราะเหตุว่า พระนิพพานเป็นโลกุตรธรรม ซึ่งมีวัฏฏะอันปล้อนออกแล้ว.
อนึ่ง แม้เมื่อภิกษุกล่าวว่า ข้าพเจ้าแทงตลอดสัจจะ ๔, (หรือว่า) สัจจะ ๔ อันข้าพเจ้าแทงตลอดแล้ว คงเป็นปาราชิกเหมือนกัน.
เพราะเหตุไร?
เพราะเหตุว่า คำว่า แทงตลอดสัจจะ เป็นคำยักเรียกมรรค.
อนึ่ง ท่านกล่าวไว้ในวิภังค์ว่า ปฏิสัมภิทา ๓ ย่อมเกิดขึ้นในจิตตุปบาทที่สัมปยุตด้วยญาณ ฝ่ายกามาวจรกุศล ๔ ดวง, ย่อมเกิดขึ้นในจิตตุปบาทที่สัมปยุตด้วยญาณฝ่ายกิริยา ๔ ดวง, อัตถปฏิสัมภิทา ย่อมเกิดขึ้นในจิตตุปบาทเหล่านี้ด้วย ย่อมเกิดขึ้นในมรรค ๔ ผล ๔ ด้วย, (๑) เพราะเหตุนั้น เมื่อภิกษุกล่าวคำว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้มีปกติได้ธัมมปฏิสัมภิทา หรือว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้มีปกติได้นิรุตติปฏิสัมภิทา หรือว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้มีปกติได้ปฏิภาณปฏิสัมภิทา หรือว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้มีปกติได้โลกิยอัตถปฏิสัมภิทา ดังนี้ ยังไม่เป็นปาราชิก.
แม้เมื่อภิกษุกล่าวคำว่า ข้าพเจ้า เป็นผู้มีปกติได้ปฏิสัมภิทาทั้งหลาย อาบัติยังไม่ถึงที่สุดก่อน. แต่เมื่อเธอกล่าวว่า ข้าพเจ้า เป็นผู้มีปกติได้โลกุตรอัตถปฏิสัมภิทา ย่อมเป็นปาราชิก.
ส่วนในสังเขปอรรถกถา ท่านกล่าวไว้ว่า เมื่อภิกษุกล่าวแม้ด้วยความไม่แปลกกันว่า ข้าพเจ้า เป็นผู้ได้บรรลุอัตถปฏิสัมภิทา ก็เป็นปาราชิก.
แม้ในกุรุนที ท่านก็กล่าวว่า ย่อมไม่พ้น.
แต่ในมหาอรรถกถาท่านกล่าวไว้ว่า
(๑) อภิ. วิ. ๓๕/๔๑๔ - ๔๑๕.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 632
ปาราชิก ย่อมไม่มีด้วยเหตุเพียงเท่านี้ อาบัติยังไม่ถึงที่สุดด้วยเหตุเพียงเท่านี้, ใครๆ ไม่อาจทำอรรถกถาอื่นให้เป็นประมาณได้ เพราะท่านได้วิจารณ์ไว้แล้วว่า ภิกษุยังไม่ต้องปาราชิก ด้วยเหตุเพียงเท่านี้.
แม้เมื่อภิกษุกล่าวว่า ข้าพเจ้าเข้านิโรธสมาบัติ หรือว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้มีปกติได้นิโรธสมาบัตินั้น ก็ไม่เป็นปาราชิก.
เพราะเหตุไร?
เพราะเหตุว่า นิโรธสมาบัติไม่ใช่โลกิยะ ทั้งไม่ใช่โลกุตระ ฉะนี้แล.
ในมหาปัจจรีและสังเขปอรรถกถา ท่านกล่าวไว้ว่า ก็ถ้าบุคคลนั้นมีความรำพึงอย่างนี้ว่า พระอนาคามี หรือพระขีณาสพ ย่อมเข้านิโรธได้, จึงพยากรณ์ด้วยทำไว้ในใจว่า ชนจักรู้เราว่าเป็นผู้ใดผู้หนึ่ง แห่งบรรดาพระอนาคามีและพระขีณาสพเหล่านั้น, และเขาก็เข้าใจเธออย่างนั้น, เป็นปาราชิก. คำนั้น ควรพิจารณาเสียก่อน จึงถือเอา.
แม้เมื่อภิกษุกล่าวว่า ในภพที่ล่วงไปแล้ว คือ ในกาลแห่งพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้าพเจ้าเป็นพระโสดาบัน, ไม่เป็นปาราชิก, จริงอยู่ อาบัติยังไม่ถึงที่สุด เพราะเธออ้างถึงขันธ์ที่ล่วงไปแล้วแล.
ส่วนในสังเขปอรรถกถา ท่านกล่าวไว้ว่า บางอาจารย์กล่าวว่า เมื่อภิกษุกล่าวว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้มีปกติได้สมาบัติ ๘ ในอดีต; ไม่เป็นปาราชิก เพราะสมาบัติ ๘ ในอดีตเป็นกุปธรรม, แต่เมื่อกล่าวว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้มีปกติได้สมาบัติ ๘ ในภพนี้ ดังนี้, ย่อมเป็นปาราชิก เพราะสมาบัติ ๘ ในภพนี้เป็นอกุปธรรม.
แม้คำที่กล่าวไว้ในสังเขปอรรถกถานั้น ท่านก็ค้านไว้ในสังเขปอรรถกถานั้นนั่นเองว่า เมื่อภิกษุกล่าวหมายเอาอัตภาพในอดีต ไม่เป็นปาราชิก ต่อเมื่อกล่าวหมายเอาอัตภาพในปัจจุบันนั่นแหละ จึงเป็น.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงยังบทมาติกา ๑๐ มีฌานเป็นต้น ให้พิสดารอย่างนี้แล้ว บัดนี้ ภิกษุผู้อวดอุตริมนุสธรรม ย่อมกล่าวสัมปชาน
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 633
มุสาวาทใด, เมื่อจะทรงแสดงองค์แห่งสัมปชานมุสาวาทนั้นแล้ว ผูกจักรเปยยาล ด้วยอำนาจแห่งความพิสดารนั้นนั่นเอง และเพื่อแสดงอาการแห่งการอวด และประเภทแห่งอาบัติ จึงตรัสว่า ตีหากาเรหิ ดังนี้ เป็นอาทิ.
[กถาว่าด้วยสุทธิกมหาวาร]
ในคำนั้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้:-
มหาวาร ๓ คือ สุทธิกวาร (วารกำหนดด้วยการอวดล้วน) ๑ วัตตุกามวาร (วารกำหนดด้วยภิกษุผู้ประสงค์จะอวด) ๑ ปัจจัยปฏิสังยุตตวาร (วารกำหนดด้วยการอวดอันเกี่ยวด้วยปัจจัย) ๑ บรรดามหาวาร ๓ เหล่านั้น ในสุทธิกวาร ๖ บทเหล่านี้ คือ สมาปชฺชิํ สมาปชฺชามิ สมาปนฺโน ลาภิมฺหิ วสิมฺหิ สจฺฉิกตํ มยา ทรงประกอบบทอันหนึ่งๆ ๕ ครั้ง อย่างนี้ว่า ด้วยอาการ ๓ ด้วยอาการ ๔ ด้วยอาการ ๕ ด้วยอาการ ๖ ด้วยอาการ ๗ ในบทอันหนึ่งๆ ตั้งต้นแต่ปฐมฌาน จนถึงบทว่า เปลื้องจิตจากโมหะ ตรัสชื่อว่า สุทธิกนัย.
ลำดับนั้น เมื่อทรงต่อบทอันหนึ่งๆ กับด้วยปฐมฌาน อย่างนี้ว่า ซึ่งปฐมฌาน ซึ่งทุติยฌาน ดังนี้ ทรงต่อทุกๆ บท ตรัสชื่อว่า ขัณฑจักร โดยอรรถอันพิสดารนั้นเทียว.
อธิบายว่า ขัณฑจักรนั้น ตรัสว่าขัณฑจักร เพราะไม่ทรงนำมาประกอบกับฌานมีปฐมฌานเป็นต้นอีก.
ลำดับนั้น ทรงต่อบทอันหนึ่งๆ กับด้วยทุติยฌาน อย่างนี้ว่า ซึ่งทุติยฌาน ซึ่งตติยฌาน ดังนี้ แล้วทรงนำมาเชื่อมกับปฐมฌานอีก ตรัสชื่อว่าพัทธจักร โดยอรรถอันพิสดารนั้นเทียว.
ลำดับนั้น ทรงต่อบทอันหนึ่งๆ กับด้วยฌาน มีตติยฌานเป็นต้น อย่างเดียวกับต่อบทหนึ่งๆ กับทุติฌาน แล้วทรงนำมาเชื่อมกับฌานมีทุติยฌานเป็นต้นอีก ตรัสพัทธจักร ๒๙ แม้อื่น โดยอรรถอันพิสดารนั้นเทียว ให้สำเร็จเป็นเอกมูลกนัยแล้ว.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 634
อนึ่ง ปาฐะ พระองค์ก็ทรงแสดงไว้โดยสังเขป. ปาฐะนั้น อันนักศึกษาผู้ไม่หลงงมงาย ควรทราบโดยพิสดาร.
แม้ทุมูลกนัยเป็นต้น พระองค์ก็ตรัสเหมือนเอกมูลกนัย แล้วได้ตรัสนัย ๔๓๕ นัย ซึ่งมีมูลทุกอย่างเป็นที่สุด.
คือ อย่างไร?
คือ ตรัสทวิมูลกนัยไว้ ๒๙ ตรัสติมูลกนัยไว้ ๒๘ ตรัสจตุมูลกนัยไว้ ๒๗.
แม้ปัญจมูลกนัยเป็นต้น ผู้ศึกษาก็ควรลดลงอย่างละหนึ่งนัย แล้วทราบจนกระทั่งถึงติงสมูลกนัยอย่างนี้. แต่ในปาฐะ ท่านย่อแม้ชื่อของนัยเหล่านั้นเข้าแล้ว แสดงเฉพาะติงสมูลกนัยอันเดียวว่า นี้เป็นมูลกนัยทั้งหมด.
ก็เพราะภิกษุไม่ต่อบทสุญญาคารเข้ากับฌาน, (อาบัติ) จึงไม่ถึงที่สุด; เหตุนั้น การประกอบความในบททั้งปวง มีบทว่าเปลื้องจิตจากโมหะเป็นที่สุดนั่นแล พึงทราบว่า ท่านแสดงแล้ว เพราะไม่แตะต้องบทสุญญาคารนั้น.
ก็แล ในสุทธิกมหาวารตอนหนึ่งที่ท่านพระอุบาลีกล่าวไว้ ด้วยอำนาจการแสดงเนื้อความนี้ว่า เมื่อภิกษุต่อก็ดี ไม่ต่อก็ดี ซึ่งปฐมฌานเป็นต้น กับทุติยฌานเป็นต้น ตามลำดับก็ดี ผิดลำดับก็ดี อวดอยู่โดยนัยว่า เราเข้าแล้วเป็นต้น อย่างนี้ความพ้นย่อมไม่มี ย่อมต้องปาราชิกแท้ทีเดียว นี้เป็นการพรรณนาเนื้อความโดยสังเขป.
บทว่า ตีหากาเรหิ คือ ด้วยเหตุ ๓ อย่าง อันเป็นองค์แห่งสัมปชานมุสาวาท.
คำว่า ปุพฺเพวสฺส โหติ ความว่า ในส่วนเบื้องต้นทีเดียว บุคคลนั้นย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า เราจักกล่าวเท็จ.
คำว่า ภณนฺตสฺส โหติ ความว่า บุคคลนั้นกำลังกล่าว ย่อมมีความรู้อย่างนี้ว่า เรากำลังกล่าวเท็จ.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 635
คำว่า ภณิตสฺส โหติ ความว่า เมื่อกล่าวคำเท็จแล้ว บุคคลนั้นย่อมมีความรู้อย่างนี้ว่า เรากล่าวคำเท็จแล้ว. อธิบายว่า เมื่อเธอกล่าวคำที่พึงกล่าวนั้นแล้ว ย่อมมีความรู้อย่างนี้.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ภณิตสฺส ความว่า ความรู้อย่างนั้น ย่อมมีแก่บุคคลนั้น ผู้มีคำพูดอันพูดแล้ว คือ มีคำพูดสำเร็จแล้ว.
ในองค์แห่งสัมปชานมุสาวาทนี้ ท่านแสดงอรรถไว้ดังนี้ว่า ภิกษุใด แม้ในเบื้องต้นก็รู้อย่างนี้ แม้กำลังกล่าว ก็รู้อยู่, แม้ในภายหลัง ก็รู้อยู่ว่า เรากล่าวเท็จแล้ว ภิกษุนั้น เมื่อกล่าวว่า เราเข้าปฐมฌาน ดังนี้ ย่อมต้องปาราชิก.
แม้ท่านแสดงอรรถไว้แล้วก็จริง, ถึงอย่างนั้น ในองค์แห่งสัมปชานมุสาวาทนี้ ยังมีความแปลกกัน ดังนี้:-
มีคำถามก่อนว่า เบื้องต้นว่า เราจักพูดมุสา มีอยู่, ส่วนภายหลังว่า เราพูดมุสาแล้ว ไม่มี, จริงอยู่ คนบางคนย่อมลืมคำพูดที่พอพูดออกไปทีเดียว, ภิกษุนั้น จะเป็นปาราชิกหรือไม่เป็น?
คำถามนั้น ท่านแก้ไว้แล้วในอรรถกถาทั้งหลาย อย่างนี้ว่า ภิกษุคิดว่า เราจักพูดเท็จ ในชั้นต้น, และเมื่อพูดอยู่ก็รู้ว่า เรากำลังพูดเท็จ การไม่รู้ว่า เราพูดเท็จแล้ว ในชั้นหลัง ไม่อาจจะไม่มี, ถึงหากจะไม่มี, ก็เป็นปาราชิกเหมือนกัน. เพราะ ๒ องค์เบื้องต้นนั่นแลเป็นสำคัญ.
แม้ภิกษุใด ในชั้นต้น ไม่มีความผูกใจว่า เราจักกล่าวเท็จ แต่เมื่อกล่าว ย่อมรู้ว่า เรากล่าวเท็จ, แม้เมื่อกล่าวแล้ว ก็รู้อยู่ว่า เรากล่าวเท็จแล้ว ภิกษุนั้น พระวินัยธรไม่พึงปรับอาบัติ. เพราะส่วนเบื้องต้นสำคัญกว่า, เมื่อเบื้องต้นนั้นไม่มี ย่อมเป็นอันพูดเล่นหรือพูดพลั้งไปก็ได้ ดังนี้แล.
ก็แล ในคำว่า มุสา ภาณิสฺสํ เป็นต้นนี้ ควรละความมีความรู้อันนั้น และความประชุมพร้อมแห่งความรู้เสีย.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 636
ข้อว่า ควรละความมีความรู้อันนั้นเสีย ได้แก่ พึงละความมีความรู้อันนั้นนี้ว่า ย่อมรู้ได้ใน ๓ ขณะ ด้วยจิตดวงเดียวเท่านั้น อย่างนี้ว่า ภิกษุรู้อยู่ว่า เราจักกล่าวเท็จ ดังนี้ ด้วยจิตดวงใด ย่อมรู้ว่า เรากำลังกล่าวเท็จ และว่า เรากล่าวเท็จแล้ว ดังนี้ ด้วยจิตดวงนั้นนั่นแล.
จริงอยู่ ใครๆ ไม่อาจจะรู้จิตด้วยจิตดวงนั้นนั่นเองได้ เหมือนบุคคลไม่อาจเอาดาบเล่มนั้นตัดดาบเล่มนั้นนั่นเองได้ ฉะนั้นแล. ก็จิตดวงที่เกิดขึ้นก่อนๆ เป็นปัจจัยแห่งความเกิดขึ้นอย่างนั้น ของจิตดวงหลังๆ แล้วย่อมดับไป.
ด้วยเหตุนั้น บัณฑิตจึงกล่าวคำนี้ไว้ว่า
ส่วนเบื้องต้นเท่านั้น เป็นประมาณ, เมื่อส่วนเบื้องต้นนั้นมีอยู่ คำว่า สองบทที่เหลือ จักไม่มี ดังนี้นั้น ย่อมไม่มี; เพราะฉะนั้น วาจา จึงชื่อว่ามีองค์ ๓.
ข้อว่า ควรละความประชุมพร้อมแห่งความรู้ ความว่า จิต ๓ ดวงเหล่านี้ ไม่ควรถือเอาว่า เกิดขึ้นในขณะเดียวกัน.
จริงอยู่ ธรรมดาจิตนี้
ย่อมปรากฏเหมือนเป็นดวงเดียว เพราะเกิดขึ้นติดต่อกัน เมื่อดวงแรกยังไม่ดับ ดวงหลังก็ยังไม่เกิดขึ้น ดังนี้แล.
ก็แล ข้าพเจ้าจักกล่าวคำ ที่ถัดจากนี้ต่อไป:-
บุคคลนี้ใดย่อมกล่าวสัมปชานมุสาวาทว่า ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌาน บุคคลนั้นย่อมเป็นผู้มีความเห็นอย่างนี้ว่า ปฐมฌานของเรา ย่อมไม่มี, จริงอยู่ ลัทธินี้ ของบุคคลนั้น มีอยู่แท้, อนึ่ง ลัทธิอย่างนี้ว่า ปฐมฌานของเรา ย่อมไม่มี ดังนี้ ย่อมพอใจ และชอบใจแก่บุคคลนั้น, และบุคคลนั้น มีจิตมีสภาพอย่างนี้นั่นเทียวว่า ปฐมฌาน
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 637
ของเรา ย่อมไม่มี, ก็แล ในกาลใด ตนเป็นผู้ใคร่จะกล่าวเท็จ, ในกาลนั้น บุคคลนั้นละ คือ ทิ้ง ปิดบังความเห็นนั้น หรือความพอใจกับความเห็น ความพอใจกับความเห็นและความพอใจ หรือความเป็นกับความเห็นความพอใจและความชอบใจ แล้วกล่าวทำให้เป็นคำเท็จ; เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำว่า จตูหิ อากาเรหิ เป็นอาทิ เพื่อแสดงความต่างแห่งองค์ ด้วยอำนาจความเห็นเป็นต้นแม้เหล่านั้น.
ก็เพราะในคัมภีร์ปริวาร ท่านกล่าวว่า มุสาวาทมีองค์ ๘ ในอธิการนี้ จึงควรประกอบนัยอันหนึ่งว่า อฏฺหากาเรหิ เป็นอีกนัยหนึ่งผสมกับสัญญาที่ท่านประสงค์ ในคัมภีร์ปริวารนั้น.
ก็แล บรรดาบทเหล่านี้ บทว่า วินิธาย ทิฏฺิํ ตรัสด้วยอำนาจการละธรรมอันมีกำลังเสีย.
บทว่า วินิธาย ขนฺติํ เป็นอาทิ ตรัสด้วยอำนาจการละธรรมทั้งหลายที่ทรามกำลัง และที่หย่อนกำลังกว่าธรรมที่มีกำลังนั้น.
ส่วนบทว่า วินิธาย สญฺํ นี้ ชื่อว่าแม้เป็นเพียงสัญญา ที่เป็นไปด้วยอำนาจการละธรรม ที่ทรามกำลังกว่าธรรมทั้งปวงในที่นี้.
ฐานะว่า ไม่ละ จักกล่าวสัมปชานมุสาวาท นี้จะไม่มี.
ก็เพราะไม่เป็นปาราชิก ด้วยคำที่บ่งอนาคต เป็นต้นว่า ข้าพเจ้าจักเข้า เหตุฉะนั้น บทที่บ่งอดีต และปัจจุบันว่า ข้าพเจ้าเข้าแล้ว เป็นต้นเท่านั้น พึงทราบว่า ตรัสไว้ในพระบาลี.
เบื้องหน้าแต่นี้ไป คำแม้ทั้งหมดในสุทธิกมหาวารนี้ มีเนื้อความตื้นทั้งนั้น.
จริงอยู่ ในสุทธิกมหาวารนี้ ไม่มีคำที่ไม่อาจรู้ได้ด้วยวินิจฉัยนี้ เว้นแต่เนื้อความแห่งบทว่า ราโค เม จตฺโต วนฺโต เป็นต้น ในบทภาชนะ แห่งบทว่า การละกิเลส.
เนื้อความนี้นั้น ข้าพเจ้าจักกล่าวต่อไป:-
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 638
ก็บรรดาบทเหล่านี้ บทว่า จตฺโต นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสด้วยอำนาจการสละภาวะแห่งตน.
บทว่า วนฺโต นี้ ตรัสด้วยอำนาจแสดงภาวะที่ราคะยึดถือไม่ได้อีก.
บทว่า มุตฺโต นี้ ตรัสด้วยอำนาจความพ้นจากสันตติ.
บทว่า ปหีโน นี้ ตรัสด้วยอำนาจแสดงความตั้งลงไม่ได้ ในที่ไหนๆ แม้แห่งราคะที่หลุดไปแล้ว.
บทว่า ปฏินิสฺสฏฺโ นี้ ตรัสด้วยอำนาจแสดงความสละคืนราคะ ที่เคยยึดถือไว้ในหนหลังเสีย.
บทว่า อุกฺเขฏิโต นี้ ตรัสไว้ด้วยอำนาจแสดงภาวะที่กลับแอบแนบไม่ได้อีก เพราะถูกอริยมรรคถอนขึ้นเสียแล้ว. เนื้อความนี้นั้น ผู้ศึกษาทั้งหลาย พึงค้นดูจากคัมภีร์ศัพทศาสตร์.
บทว่า สมุกฺเขฏิโต นี้ ตรัสไว้ด้วยอำนาจแสดงภาวะที่กลับแอบแนบไม่ได้อีก แม้แห่งราคะที่สหรคตเพียงเล็กน้อย เพราะถอนขึ้นเด็ดขาด ด้วยประการฉะนี้.
สุทธิกวารกถา จบ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 639
กถาว่าด้วยผู้มีความประสงค์จะกล่าว
เนื้อความแห่งบทว่า ตีหากาเรหิ เป็นอาทิ และประเทศแห่งวารเปยยาลทั้งปวง แม้ในวัตถุกามวาร พึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้วในสุทธิกวารนี้แล.
ก็วัตตุกามวารนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้เพื่อกันโอกาสของปาปบุคคลทั้งหลายอย่างเดียว ผู้แสวงหาช่องอย่างนี้ว่า คำนี้ใดเล่า เราประสงค์จะกล่าวคำอื่น กล่าวผิดเป็นคำอื่น; เพราะฉะนั้น อาบัติจึงไม่มีแก่เรา.
เหมือนอย่างว่า ภิกษุปรารถนาจะกล่าวว่า พุทฺธํ ปจฺจกฺขามิ เมื่อกล่าวบทใดบทหนึ่ง บรรดาบทสำหรับบอกลาสิกขามีว่า ธมฺมํ ปจฺจกฺขามิ เป็นต้น ย่อมเป็นผู้บอกลาสิกขาแล้วแท้ เพราะบทเหล่านั้นหยั่งลงในเขต ฉันใดแล, ข้อนี้ก็ฉันนั้น ภิกษุผู้ใคร่จะกล่าวบทใดบทหนึ่งบทเดียว บรรดาบทอุตริมนุสธรรมมีปฐมฌานเป็นต้น แม้เมื่อกล่าวบทใดบทหนึ่งอย่างอื่นจากบทนั้น ย่อมเป็นปาราชิกทีเดียว เพราะบทนั้นหยั่งลงในเขต. แม้ถ้าเธอกล่าวแก่ผู้ใด, ผู้นั้น ย่อมรู้ความนั้นในขณะนั้นทันที.
ก็แล ลักษณะแห่งการรู้ในการอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีจริงนี้ พึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้วในการบอกลาสิกขานั่นแล.
แต่ความแปลกกัน มีดังต่อไปนี้:-
การบอกลาสิกขา ย่อมไม่ถึงความสำเร็จด้วยหัตถมุทธา (ไม่สำเร็จได้ด้วยการกระดิกหัวแม่มือ) การอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีจริงนี้ ย่อมหยั่งลง (สู่ความสำเร็จ) แม้ด้วยหัตถมุทธา.
จริงอยู่ ภิกษุใดอวดดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีจริงด้วยความเคลื่อนไหวแห่งอวัยวะน้อยใหญ่ มีหัตถวิการ (แกว่งมือ) เป็นต้น แก่บุคคลผู้ยืนอยู่ในคลองแห่งวิญญัติ. และบุคคลนั้น รู้ใจความนั้นได้, ภิกษุนั้น เป็นปาราชิกแท้.
แต่ถ้าเธอบอกแก่ผู้ใด, ผู้นั้นไม่เข้าใจ หรือถึงความสงสัยว่า ภิกษุนี้ พูดอะไร? หรือพิจารณานานจึงรู้ใน
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 640
ภายหลัง ย่อมถึงความนับว่า ผู้ไม่เข้าใจทันทีเหมือนกัน. เมื่อภิกษุบอกแก่บุคคลผู้ไม่เข้าใจทันทีอย่างนั้น เป็นถุลลัจจัย.
ส่วนบุคคลใดไม่รู้จักอุตริมนุสธรรมมีฌานเป็นต้น ด้วยตนเองด้วยอำนาจการได้บรรลุ หรือด้วยอำนาจการเรียนและการสอบถามเป็นต้น ได้ยินแต่เพียงคำว่า ฌาน หรือว่า วิโมกข์ อย่างเดียวเท่านั้น, ถึงบุคคลนั้น เมื่อภิกษุนั้นบอกแล้ว ถ้ารู้ได้แม้เพียงเท่านี้ว่า ได้ยินว่า ภิกษุนี้กล่าวว่า เราเข้าฌานแล้ว ดังนี้ ย่อมถึงความนับว่า รู้ เหมือนกัน, เมื่อภิกษุบอกแก่บุคคลนั้น เป็นปาราชิกแท้.
ความแปลกกัน ด้วยอำนาจบุคคลผู้เดียว สองคน หรือมากคน ที่ภิกษุกำหนดไว้ หรือมิได้กำหนดไว้แม้ทั้งหมดนั้น พึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้ว ในกถาว่าด้วยการบอกลาสิกขานั้นแล ด้วยประการฉะนี้.
วัตตุกามวารกถา จบ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 641
กถาว่าด้วยปัจจัยปฏิสังยุตตวาร
แม้ในวาระการอวดเกี่ยวด้วยปัจจัย พึงทราบประเภทแห่งวารเปยยาลทั้งหมด และอรรถแห่งบทที่มาในเบื้องต้น โดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแหละ แล้วทราบลำดับพระบาลี อย่างนี้ก่อน.
ก็ในปัจจัยปฏิสังยุตตวารนี้ ท่านกล่าววารกำหนดด้วยปฐมาวิภัตติ ๕ เหล่านี้ว่า
๑. ภิกษุใด อยู่ในวิหารของท่าน
๒. ภิกษุใด บริโภคจีวรของท่าน
๓. ภิกษุใด ฉันบิณฑบาตของท่าน
๔. ภิกษุใด ใช้สอยเสนาสนะของท่าน
๕. ภิกษุใด บริโภคคิลานปัจจัยเภสัชบริขารของท่าน
ดังนี้, กล่าววารกำหนดด้วยตติยาวิภัตติ ๕ มีว่า วิหารของท่าน อันภิกษุใดใช้สอยแล้ว เป็นต้น, กล่าววารกำหนดด้วยทุติยาวิภัตติ ๕ มีว่า ท่านอาศัยภิกษุใด จึงได้ถวายวิหาร ดังนี้เป็นต้น พึงทราบประเภทแห่งวารเปยยาล ในทุกๆ บท มีปฐมฌานเป็นต้น ที่ท่านกล่าวไว้ในเบื้องต้นพร้อมกับบทสุญญาคาร ที่กล่าวแล้วในปัจจัยปฏิสังยุตตวารนี้ด้วยอำนาจแห่งวารเหล่านั้น.
ในปัจจัยปฏิสังยุตตวารนี้ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ว่า ก็เพราะภิกษุกล่าวโดยอ้อมอย่างนี้ว่า "ภิกษุใด อยู่ในวิหารของท่าน, วิหารของท่าน อันภิกษุใดอยู่แล้ว, ท่านอาศัยภิกษุใด จึงได้ถวายวิหาร" และเพราะเธอไม่ได้กล่าวว่า "เรา" ในปัจจัยปฏิสังยุตตวารนี้ แม้เมื่อกล่าวอวดอุตริมนุสธรรม แก่บุคคลผู้เข้าใจทันที จึงเป็นถุลลัจจัย กล่าวอวด แก่บุคคลผู้ไม่เข้าใจทันที จึงเป็นทุกกฏ.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 642
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงประเภทแห่งอาบัติ ด้วยอำนาจความพิสดารอย่างนี้แล้ว บัดนี้ จะทรงแสดงอนาบัติ จึงตรัสคำว่า อนาปตฺติ อธิมาเนน เป็นอาทิ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อธิมาเนน มีความว่า ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้อวด ด้วยสำคัญว่าตนได้บรรลุ.
บทว่า อนุลฺลปนาธิปฺปายสฺส มีความว่า ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้มิได้ตั้งอยู่ในอิจฉาจาร ด้วยความเป็นผู้หลอกลวง ไม่ประสงค์จะอวด พยากรณ์พระอรหัตผล ในสำนักของเพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย.
ภิกษุบ้าเป็นต้น มีนัยดังกล่าวแล้วในเบื้องต้นนั้นนั่นแล.
อนึ่ง พวกภิกษุผู้จำพรรษาใกล้ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา ผู้เป็นต้นบัญญัติในสิกขาบทนี้, ไม่เป็นอาบัติแก่เธอเหล่านั้น ฉะนี้แล.
ปทภาชนียวรรณนา จบ
(จตุตถปาราชิกสิกขาบท มีสมุฏฐาน ๓)
ในสมุฏฐานเป็นต้น มีวินิจฉัยดังนี้:-
สิกขาบทนี้ มีสมุฏฐาน ๓ คือ เกิดแต่กายกับจิตของภิกษุผู้อวดอยู่ ด้วยหัวแม่มือ ๑ เกิดแต่วาจากับจิตของภิกษุผู้อวด ด้วยการเปล่งวาจา ๑ เกิดแต่กายวาจากับจิต ของภิกษุผู้ทำอยู่ทั้ง ๒ อย่าง ๑ เป็นกิริยา เป็นสัญญาวิโมกข์ เป็นสจิตตกะ เป็นโลกวัชชะ เป็นกายกรรม วจีกรรม เป็นอกุศลจิต มีเวทนา ๓.
จริงอยู่ ภิกษุย่อมกล่าวอวดทั้งที่มีโสมนัสรื่นเริงใจก็มี กลัวอวดก็มี มีตนเป็นกลางอวดก็มี.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 643
วินีตวัตถุในจตุตถปาราชิก
[เรื่องสำคัญว่าได้บรรลุ]
เรื่องสำคัญว่าได้บรรลุ ในวินีตวัตถุทั้งหลาย มีนัยดังกล่าวแล้ว ในอนุบัญญัตินั่นแล.
ในเรื่องที่ ๒ มีวินิจฉัยดังนี้:-
บทว่า ปณิธาย ได้แก่ ทำความปรารถนาไว้.
ข้อว่า เอวํ มํ ชโน สมฺภาเวสฺสติ มีความว่า (ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง อยู่ในป่าด้วยตั้งใจว่า), ชนจักยกย่องเราผู้อยู่ในป่า ในความเป็นพระอรหันต์ หรือในภูมิแห่งพระเสขะ ด้วยวิธีอย่างนี้, แต่กาลนั้นไป เราจักเป็นผู้อันชาวโลกสักการะ เคารพ นับถือ บูชา.
สองบทว่า อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส ความว่า เมื่อเธอเดินไปด้วยตั้งใจอย่างนี้ว่า เราจักอยู่ในป่า เป็นทุกกฏ ทุกๆ ย่างเท้า.
ในกิจทั้งปวง มีการสร้างกุฎี เดินจงกรม นั่ง และนุ่งห่มเป็นต้นในป่า เป็นทุกกฏ ทุกๆ ประโยค เหมือนอย่างนั้น. เพราะเหตุนั้น ภิกษุไม่ควรอยู่ในป่า ด้วยความตั้งใจอย่างนั้น.
จริงอยู่ เมื่ออยู่ด้วยความตั้งใจอย่างนั้น จะได้รับความยกย่องหรือไม่ก็ตาม ย่อมต้องทุกกฏ.
ส่วนภิกษุใด สมาทานธุดงค์แล้ว คิดว่า เราจักรักษาธุดงค์ หรือว่า เมื่อเราพักอยู่ในแดนบ้าน จิตย่อมฟุ้งซ่าน, ป่าเป็นที่สบาย ดังนี้ จึงเป็นผู้มีความประสงค์จะอยู่ป่าอันหาโทษมิได้ ด้วยทำความปรารถนาอย่างนี้ว่า เราจักบรรลุบรรดาวิเวกทั้ง ๓ อย่างใดอย่างหนึ่งในป่าแน่แท้ ดังนี้ ก็ดี ว่า เราเข้าไปสู่ป่ายังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว จักไม่ออกมา ดังนี้ ก็ดี ว่า ชื่อว่าการอยู่ป่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสรรเสริญ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 644
และเมื่อเราพักอยู่ในป่า เพื่อนพรหมจารีมากหลาย จักละทิ้งแดนบ้านแล้วอยู่ป่าเป็นวัตร ดังนี้ก็ดี; ภิกษุนั้น ควรอยู่ในป่า.
ในเรื่องที่ ๓ มีวินิจฉัยดังนี้:-
เป็นทุกกฏ ทุกๆ ประโยค ตั้งต้นแต่กิจ คือการนุ่งห่ม ด้วยตั้งใจว่า เราจักวางอิริยาบถ มีการก้าวไปเป็นต้นเที่ยวบิณฑบาต จนกระทั่งถึงการขบฉันเป็นที่สุด, เธอจะได้รับความยกย่องหรือไม่ก็ตาม เป็นทุกกฏทั้งนั้น แต่ภิกษุผู้เข้าไปบิณฑบาต ด้วยอิริยาบถที่น่าเลื่อมใส มีการก้าวไปและถอยกลับเป็นต้น เพื่อบำเพ็ญขันธกวัตรและเสขิยวัตรให้บริบูรณ์ หรือเพื่อถึงความเป็นทิฏฐานุคติ แก่เพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย เป็นผู้อันวิญญูชนทั้งหลายไม่พึงติเตียนแล.
ในเรื่องที่ ๔ และที่ ๕ เพราะภิกษุมิได้กล่าวว่าเรา โดยนัยดังกล่าวไว้แล้วในคำนี้ว่า ภิกษุใด อยู่ในวิหารของท่าน จึงไม่เป็นปาราชิก.
จริงอยู่ เมื่อภิกษุอวดอุตริมนุสธรรม เป็นที่น้อมเข้ามาในตนเท่านั้น ท่านจึงปรับเป็นปาราชิก.
คำเป็นต้นว่า (ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง) เดินจงกรมด้วยตั้งใจว่า... ดังนี้ มีนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั้นแล.
ในเรื่องละสังโยชน์ มีวินิจฉัยดังนี้:-
เมื่อภิกษุกล่าวว่า สังโยชน์ทั้งหลาย เราละได้แล้ว ก็ดี ว่า สังโยชน์ทั้ง ๑๐ เราละได้แล้วก็ดี ว่า สังโยชน์ข้อหนึ่ง เราละได้แล้ว ก็ดี การละกิเลสนั่นแหละเป็นอันเธอบอกแล้ว; เพราะเหตุนั้น จึงเป็นปาราชิก.
ในเรื่องธรรมในที่ลับ มีวินิจฉัยดังนี้:-
ข้อว่า รโห อุลฺลปติ (๑) ความว่า ภิกษุอยู่ในที่ลับ พูดว่า เราเป็นพระอรหันต์ ดังนี้, แต่ไม่ได้ทำการคิดด้วยใจเลย; เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ ท่านจึงปรับเป็นทุกกฏ เรื่องวิหาร และเรื่องบำรุง มีนัยดังกล่าวแล้วนั้นแล.
(๑) บาลี. มหา. วิ. ๑/๒๐๔ เป็น รโหคโต... อุลฺลปติ.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 645
ในเรื่องทำได้ไม่ยาก มีวินิจฉัยดังนี้:-
ลัทธิของภิกษุนั้น มีดังนี้ว่า พระอริยบุคคลทั้งหลายแล ผู้เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า (พึงพูดอย่างนั้น). เพราะเหตุนั้น เธอจึงกล่าวว่า เฉพาะท่านที่เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้น พึงพูดอย่างนั้น.
ก็แลความประสงค์ของเธอ มีดังนี้ว่า การที่ภิกษุผู้มีศีล เจริญวิปัสสนาพยากรณ์พระอรหัตผลทำได้ไม่ยากเลย, เธอสามารถบรรลุพระอรหัตได้, เพราะเหตุนั้น ภิกษุรูปนั้น จึงกราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้า มิได้มีความประสงค์จะพูดอวด.
ในเรื่องความเพียร มีวินิจฉัยดังนี้:-
บทว่า อาราธนีโย ความว่า สามารถเพื่อยังธรรมให้สัมฤทธิผลได้ คือยังตนให้บรรลุได้, ความว่า เพื่อให้เกิดได้.
คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแหละ.
ในเรื่องความตาย มีวินิจฉัยดังนี้:-
ภิกษุ (๑) นั้น อาศัยอำนาจแห่งประโยชน์นี้ว่า ท่านผู้มีความเดือดร้อนใจเกิดขึ้น ต้องกลัวแน่, แต่ศีลของเราบริสุทธิ์ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเดือดร้อนใจเลย. เรานั้นจักต้องกลัวต่อความตายทำไม ดังนี้ จึงตอบว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย! ผมย่อมไม่กลัวต่อความตาย. เพราะเหตุนั้น จึงไม่มีอาบัติแก่ภิกษุนั้น.
แม้ในเรื่องความเดือดร้อนใจ ก็มีนัยเหมือนกันนี้.
๓ เรื่องถัดจากเรื่องความเดือดร้อนใจนั้นไป เป็นเหมือนเรื่องความเพียรนั่นเอง.
บรรดาเรื่องเวทนา (๒) ทั้งหลาย พึงทราบวินิจฉัยในเรื่องทีแรกก่อน:-
ภิกษุนั้นตั้งอยู่ในอธิวาสนขันติ ด้วยกำลังแห่งความพิจารณา จึงตอบว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย! อันคนพอดีพอร้าย ไม่สามารถจะอดกลั้นได้. เพราะเหตุนั้น
(๑) ไม่ใช่เป็นบทตั้ง เพราะในบาลีไม่มี ควรแก้ไม่ให้มี อิติ สัพท์ จึงจะถูก.
(๒) เทสนาวตฺถูสุ น่าจะผิด เพราะพูดถึงเรื่องอดกลั้นเวทนา ฉะนั้น จึงควรแก้เป็น เวทนาวตฺถูสุ ดังที่แปลไว้แล้วนั่น.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 646
จึงไม่มีอาบัติแก่เธอ. ส่วนในเรื่องที่ ๒ เป็นถุลลัจจัย เพราะภิกษุนั้นไม่ได้ทำการอวดอุตริมนุสธรรมเป็นที่น้อมเข้ามาในตน กล่าวโดยอ้อมว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย! อันปุถุชนไม่สามารถ (จะอดกลั้นได้).
ในเรื่องพราหมณ์ทั้งหลาย มีวินิจฉัยดังนี้:-
ได้ยินว่า พราหมณ์คนนั้น ได้กล่าวว่า นิมนต์พระอรหันต์ทั้งหลาย จงมาเถิดเจ้าข้า! ดังนี้อย่างเดียวก็หามิได้, (โดยที่แท้) คำพูดทั้งหมดที่เปล่งออกจากปากของพราหมณ์นั้น ประกอบด้วยวาทะว่าอรหันต์ทั้งนั้น ดังนี้ว่า ท่านทั้งหลาย จงปูลาดอาสนะ จงถวายน้ำล้างเท้าแก่พระอรหันต์ทั้งหลาย, ขอพระอรหันต์ทั้งหลาย จงล้างเท้าเถิด.
ก็คำพูดนั้นของพราหมณ์นั้น เป็นการกล่าวด้วยความเลื่อมใส คือเป็นคำกล่าวของพราหมณ์ ผู้ถูกกำลังศรัทธาของตนให้ขะมักเขม้นแล้ว เพราะความเป็นผู้มีศรัทธาจิต. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ไม่เป็นอาบัติ เพราะการกล่าวด้วยความเลื่อมใส. อันภิกษุผู้ถูกเขากล่าวอย่างนั้น ไม่ควรเป็นผู้ร่าเริงยินดีเลย บริโภคปัจจัยทั้งหลาย. ควรทำความเพียร ด้วยคิดอย่างนี้ว่า ก็เราจักบำเพ็ญข้อปฏิบัติ อันจะยังตนให้ถึงพระอรหัต ดังนี้แล.
เรื่องพยากรณ์อรหัตผล เป็นเหมือนเรื่องละสังโยชน์นั่นแล.
ในเรื่องครองเรือน มีวินิจฉัยดังนี้:-
ภิกษุนั้น ได้กล่าวว่า ดูก่อนผู้มีอายุ! คนอย่างฉัน ไม่ควรแล ดังนี้ เพราะเธอไม่มีความต้องการ ไม่มีความเยื่อใยในความเป็นคฤหัสถ์, หาได้กล่าวด้วยความประสงค์จะอวดไม่; เพราะเหตุนั้น จึงไม่เป็นอาบัติแก่เธอ.
ในเรื่องห้ามกาม มีวินิจฉัยดังนี้:-
ภิกษุนั้น เป็นผู้หมดความเยื่อใยในวัตถุกามและกิเลสกาม เพราะเล็งเห็นโทษ ที่เป็นโลกีย์นั่นเอง; เพราะ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 647
ฉะนั้น เธอจึงกล่าวว่า ดูก่อนคุณ! กามทั้งหลาย ฉันห้ามได้แล้ว ดังนี้; เพราะเหตุนั้น จึงไม่เป็นอาบัติแก่เธอ.
ก็คำว่า อาวฏา ในคำว่า อาวฏา เม นี้ มีใจความว่า ฉันป้องกันได้แล้ว คือ ห้ามเสียแล้ว ปฏิเสธแล้ว.
ในเรื่องความอภิรมย์ มีวินิจฉัยดังนี้:-
ภิกษุนั้น กล่าวว่า ดูก่อนคุณ: ฉันยังยินดียิ่ง ด้วยความยินดีอย่างเยี่ยม ดังนี้ เพราะเธอเป็นผู้ไม่กระสัน และเพราะยังมีความยินดี ในอุเทศและปุจฉาเป็นต้น ในศาสนา หาได้กล่าวด้วยความประสงค์จะอวดไม่; เพราะเหตุนั้น จึงไม่เป็นอาบัติแก่เธอ.
[เรื่องตั้งกติกาหลีกไป]
ในเรื่องหลีกไป มีวินิจฉัยดังนี้:-
ข้อว่า ภิกษุใด จักหลีกไปจากอาวาสนี้ก่อน มีอธิบายว่า เมื่อสงฆ์กำหนดอาวาส มณฑลสีมา หรือสถานที่ใดที่หนึ่ง แล้วตั้งกติกาไว้ ภิกษุใดหลีกไปจากสถานที่นั้นก่อน ด้วยคิดว่า ภิกษุทั้งหลาย จงเข้าใจเราว่า เป็นพระอรหันต์, ภิกษุนั้นเป็นปาราชิก.
ส่วนภิกษุใด เดินเลยสถานที่นั้นไป ด้วยกิจธุระของอาจารย์และอุปัชฌายะก็ดี ด้วยกรณียะเช่นนั้นอย่างอื่น เพื่อภิกขาจาร หรือเพื่อประโยชน์แก่อุเทศและปริปุจฉาก็ดี, ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุนั้น.
ถ้าแม้นเมื่อภิกษุนั้น เดินไปด้วยกิจอย่างนั้น ภายหลังอิจฉาจารเกิดขึ้นว่า บัดนี้ เราจักไม่ไปในสถานที่นั้น. เพราะว่า ชนทั้งหลายจักยกย่องเราว่า เป็นพระอรหันต์ด้วยอาการอย่างนี้ ไม่เป็นอาบัติเหมือนกัน.
ฝ่ายภิกษุใด ลุถึงสถานที่นั้น ด้วยกรณียะบางอย่างแล้ว เป็นผู้ส่งใจไปในที่อื่น ด้วยอำนาจการใฝ่ใจในการสาธยายเป็นต้น หรือถูกโจรเป็นต้นไล่ติดตาม หรือเห็นเมฆตั้งเค้าขึ้นแล้ว มีประสงค์จะเข้าไปหลบฝน จึงล่วงเลยสถานที่นั้นไป, ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุนั้น.
แม้ภิกษุผู้ไปด้วยยาน
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 648
หรือด้วยฤทธิ์ก็ไม่ต้องปาราชิก, แต่ย่อมต้องอาบัติด้วยการเดินไปด้วยเท้านั้น. ภิกษุผู้เดินไปถึงสถานที่แม้นั้น ไม่ก่อนไม่หลัง พร้อมด้วยพวกภิกษุผู้ร่วมกันตั้งข้อกติกาไว้ไม่ต้องอาบัติ. เพราะว่า ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเดินไปอย่างนั้น ยังรักษากันและกันได้แม้ทั้งหมด.
แม้ถ้าภิกษุทั้งหลาย กำหนดสถานที่บางแห่ง บรรดามณฑปและโคนต้นไม้เป็นต้น แล้วตั้งข้อกติกาไว้โดยนัยเป็นต้นว่า พวกเราจักรู้ภิกษุผู้นั่งหรือเดินจงกรมอยู่ในที่นี้ว่า เป็นพระอรหันต์ หรือเอาดอกไม้วางไว้โดยนัยเป็นต้นว่า พวกเราจักทราบภิกษุผู้ถือเอาดอกไม้เหล่านี้ แล้วทำการบูชาว่า เป็นพระอรหันต์. แม้ในข้อกติกวัตรนั้น เมื่อภิกษุทำอยู่เหมือนอย่างนั้น ด้วยอำนาจอิจฉาจาร เป็นปาราชิกเหมือนกัน.
แม้ถ้าอุบาสกสร้างวิหารไว้ในระหว่างทางก็ดี ตั้งปัจจัยมีจีวรเป็นต้นไว้ก็ดี ด้วยกล่าวว่า ขอภิกษุผู้เป็นพระอรหันต์ทั้งหลาย จงพักอยู่ในวิหารหลังนี้ และจงถือเอาปัจจัยมีจีวรเป็นต้น. แม้ในข้อกติกวัตรที่อุบาสกตั้งไว้นั้น เมื่อภิกษุพักอยู่ หรือถือเอาปัจจัยมีจีวรเป็นต้นเหล่านั้น ด้วยอำนาจอิจฉาจาร เป็นปาราชิกเหมือนกัน. แต่ว่านั่น เป็นกติกวัตรที่ไม่ชอบธรรม; เพราะเหตุนั้น จึงไม่ควรทำ.
อีกอย่างหนึ่ง วัตรอื่นเห็นปานนี้ มีอาทิอย่างนี้ว่า ในภายในไตรมาสนี้ ภิกษุทั้งหมดจงเป็นผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร หรือว่าทรงไว้ซึ่งธุดงค์ที่เหลือ มีองค์แห่งภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรเป็นต้น, หรือว่า จงเป็นผู้สิ้นอาสวะหมดทุกรูปด้วยกัน, ดังนี้ (ชื่อว่าวัตรที่ไม่ชอบธรรม) แท้จริง ภิกษุทั้งหลาย ผู้อยู่ในชนบทต่างๆ ย่อมประชุมกัน.
บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุบางพวก ทุพพลภาพมีกำลังน้อย ย่อมไม่สามารถจะตามรักษาข้อวัตรเห็นปานนั้นได้. เพราะเหตุนั้น ข้อวัตรแม้เห็นปานนั้น จึงไม่ควรทำ. และข้อวัตรมีอาทิอย่างนี้ว่า ตลอดไตรมาสนี้ ภิกษุหมดทุกรูปด้วยกัน ไม่พึงแสดงธรรม ไม่พึงเรียน
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 649
ธรรม ไม่พึงให้บรรพชา, แต่ควรเรียนเอามูควัตร ควรให้ลาภสงฆ์แม้แก่ภิกษุผู้อยู่ภายนอกสีมาด้วย ดังนี้ ก็ไม่ควรทำเหมือนกัน.
[เรื่องพระมหาโมคคัลลานะเห็นอัฏฐิสังขลิกเปรต]
พระลักขณเถระ ที่พระธรรมสังคาหกาจารย์กล่าวไว้ในลักขณสังยุตว่า อายสฺมา จ ลกฺขโณ, (๑) เป็นต้นนี้ บัณฑิตพึงทราบว่า มีอยู่ภายในแห่งภิกษุชฎิลพันองค์ อุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุดแห่งอาทิตตปริยายสูตร เป็นพระมหาสาวกองค์หนึ่ง.
ก็เพราะท่านองค์นี้ ประกอบด้วยอัตภาพเสมือนพรหม สมบูรณ์ด้วยลักษณะเต็มเปี่ยมด้วยอาการทุกอย่าง; ฉะนั้น ท่านจึงถึงความนับว่า ลักขณะ ส่วนพระมหาโมคคัลลานเถระเป็นพระอัครสาวกที่ ๒ ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ในวันที่ ๗ แต่วันที่ท่านบวชแล้ว.
สองบทว่า สิตํ ปาตฺวากาสิ ความว่า พระมหาโมคคัลลานเถระ ได้ทำการยิ้มน้อยๆ ให้ปรากฏ. มีคำอธิบายว่า ประกาศ คือแสดง.
ถามว่า ก็ พระเถระ เห็นอะไร จึงได้ทำการแย้มให้ปรากฏ?
แก้ว่า พระเถระ เห็นสัตว์ผู้เกิดอยู่ในเปตโลกตนหนึ่ง มีแต่ร่างกระดูก ซึ่งมาแล้วในบาลีข้างหน้า, ก็แล การเห็นสัตว์ตนนั้น เห็นได้ด้วยทิพยจักษุ ไม่ใช่เห็นด้วยจักษุประสาท. จริงอยู่ อัตภาพเหล่านั้น หาได้มาสู่คลองแห่งจักษุประสาทไม่.
ถามว่า ก็พระเถระ เห็นอัตภาพมีรูปอย่างนั้นแล้ว เพราะเหตุไรจึงได้ทำการแย้มให้ปรากฏ ในเมื่อควรทำความกรุณาเล่า?
(๑) สํ. นิทาน. ๑๖/๒๖๘
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 650
แก้ว่า เพราะท่านอนุสรณ์ถึงสมบัติของตน และพระญาณของพระพุทธเจ้าด้วย. แท้จริง พระเถระ เห็นเปรตตนนั้นแล้ว ได้อนุสรณ์ถึงสมบัติของตนว่า อัตภาพเห็นปานนี้ อันบุคคลผู้ชื่อว่ายังไม่เห็นสัจจะพึงได้, เราพ้นแล้ว จากอัตภาพเช่นนั้น, เป็นลาภของเราหนอ! เราได้ดีแล้วหนอ! และได้ระลึกถึงสมบัติแห่งพระพุทธญาณอย่างนี้ว่า ญาณสมบัติของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ผู้ทรงแสดงว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! กรรมวิบาก เป็นอจินไตย อันบุคคลไม่พึงคิด (๑) น่าอัศจรรย์, พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมทรงแสดงทำให้ประจักษ์หนอ! ธรรมธาตุ อันพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงแทงตลอดดีแล้วดังนี้ จึงได้ทำการแย้มพรายให้ปรากฏ.
ก็ธรรมดาว่า พระขีณาสพทั้งหลาย ไม่ทำการแย้มพรายให้ปรากฏ เพราะไม่มีเหตุ; เพราะฉะนั้น พระลักขณเถระจึงถามพระมหาโมคคัลลานเถระนั้นว่า ดูก่อนอาวุโส โมคคัลลานะ! อะไรหนอเป็นเหตุ? อะไรหนอเป็นปัจจัยแห่งการทำแย้มพรายให้ปรากฏ? แต่พระเถระกล่าวตอบว่า อาวุโสลักขณะ! ยังไม่เป็นกาลสมควรแล เป็นต้น โดยสาเหตุที่ท่านมีความประสงค์จะให้พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพยานเสียก่อน จึงพยากรณ์ เพราะเหตุว่า ภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่ยังมิได้เห็นความอุบัติขึ้นนี้ด้วยตนเองแล้ว จะบังคับให้เชื่อได้โดยยาก. ภายหลังแต่นั้น พระมหาโมคคัลลานเถระ ถูกพระลักขณเถระถามในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้พยากรณ์ โดยนัยมีอาทิว่า อิธาหํ อาวุโส.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อฏฺิกสงฺขลิกํ ได้แก่ ผู้มีแต่ร่างกระดูกซึ่งมีสีขาว ไม่มีเนื้อและโลหิต.
(๑) องฺ จตุกฺก. ๒๑/๑๐๔.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 651
แร้งยักษ์ เหยี่ยวยักษ์ และนกตะกรุมยักษ์ แม้เหล่านี้ พึงทราบว่า แร้งบ้าง เหยี่ยวบ้าง นกตะกรุมบ้าง.
ก็รูปนั้น ไม่มาแม้สู่คลอง (แห่งจักษุ) ของฝูงแร้งเป็นต้นตามปกติ.
สองบทว่า อนุปติตฺวา อนุปติตฺวา ได้แก่ พากันติดตามไปแล้วๆ.
บทว่า วิตุเทนฺติ ได้แก่ จิกแล้วบินไป.
อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะว่า วิตุทนฺติ ก็มี.
อธิบายว่า ย่อมสับจิก ด้วยจะงอยปากซี่โลหะที่คมกริบ เปรียบด้วยคมดาบ.
ศัพท์ว่า สุทํ ในคำว่า สา สุทํ อฏฺฏสฺสรํ นี้ เป็นนิบาต.
อธิบายว่า อัฏฐิกสังขลิกเปรตตนนั้น ย่อมทำเสียงร้องครวญคราง คือ เสียงโอดครวญ.
ได้ยินว่า อัตภาพเช่นนั้น แม้มีประมาณตั้งโยชน์หนึ่ง ย่อมเกิดขึ้น และมีประสาทที่พองขึ้น เป็นเช่นกับหัวฝีที่งอมแล้ว เพื่อตามเสวยผลแห่งอกุศล เพราะฉะนั้น อัฏฐิกสังขลิกเปรตตนนั้น เดือดร้อนเพราะเวทนาที่มีกำลัง จึงได้ทำเสียงเช่นนั้นแล.
ก็แล ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว เมื่อจะแสดงย้ำธรรมสังเวชซึ่งเกิดขึ้น เพราะอาศัยความกรุณาในสัตว์ทั้งหลายว่า ขึ้นชื่อว่าสัตว์ทั้งหลายผู้ไปในวัฏฏะ ย่อมไม่พ้นจากอัตภาพเห็นปานนี้ไปได้ จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า ดูก่อนอาวุโส! เรานั้นได้มีความคิดเช่นนี้ว่า ท่านผู้เจริญ! น่าอัศจรรย์จริงหนอ ดังนี้.
สองบทว่า ภิกฺขู อุชฺฌายนฺติ ความว่า ความอุบติขึ้นแห่งเปรตนั้น ไม่เห็นประจักษ์แก่ภิกษุเหล่าใด, ภิกษุเหล่านั้นพากันโพนทะนา.
ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงประกาศอานุภาพของพระเถระ จึงตรัสพระดำรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! สาวกทั้งหลายเป็นผู้มีจักษุอยู่หนอ เป็นต้น.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 652
ในบทเหล่านั้น สาวกทั้งหลายชื่อว่าเป็นผู้มีจักษุ เพราะอรรถว่า สาวกเหล่านั้นมีจักษุเป็นแล้ว เกิดแล้ว อุบัติแล้ว. ความว่า เป็นผู้มีจักษุเป็นแล้ว คือ มีจักษุเกิดแล้ว ยังจักษุให้เกิดขึ้นแล้วอยู่.
แม้ในบทที่ ๒ ก็นัยนี้เหมือนกัน.
คำว่า ยตฺร ซึ่งมีอยู่ในคำว่า ยตฺร หิ นาม นี้ เป็นคำระบุถึงเหตุ.
ในคำว่า จกฺขุภูตา เป็นต้นนั้น มีการประกอบเนื้อความดังต่อไปนี้:-
เพราะเหตุว่า แม้สาวกจักรู้ หรือจักเห็นหรือจักทำอัตภาพเห็นปานนี้ ให้เป็นพยานได้; ฉะนั้น เราจึงได้กล่าวว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! สาวกทั้งหลาย เป็นผู้มีจักษุอยู่หนอ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! สาวกทั้งหลาย เป็นผู้มีญาณอยู่หนอ ดังนี้.
ข้อว่า ปุพุเพว เม โส ภิกฺขเว สตฺโต ทิฏฺโ มีความว่า (พระผู้มีพระภาคเจ้า) ตรัสว่า เราได้แทงตลอดสัพพัญญุตญาณ ณ โพธิมัณฑ์ ทำหมู่สัตว์ และภพ คติ ฐิติ และนิวาส หาประมาณมิได้ ในจักรวาลทั้งหลาย หาประมาณมิได้ ให้ประจักษ์อยู่ ได้เห็นสัตว์นั้นแล้วในกาลก่อนแล.
บทว่า โคฆาตโก ความว่า เป็นสัตว์ผู้ฆ่าโคทั้งหลายแล้ว ปล้อนเนื้อออกจากกระดูก ขายเลี้ยงชีวิต.
หลายบทว่า ตสฺเสว กมฺมสฺส วิปากาวเสเสน ความว่า แห่งอปราปรเวทนียกรรมอันเจตนาต่างๆ ประมวลมาแล้วนั้นนั่นแล.
จริงอยู่ บรรดาเจตนาเหล่านั้น ปฏิสนธิในนรกอันเจตนาใดให้เกิดขึ้น แล้วเมื่อวิบากแห่งเจตนาดวงนั้น สิ้นไปแล้ว, ปฏิสนธิในเปรตเป็นต้น ย่อมบังเกิดอีก; เพราะทำกรรมที่เหลือ หรือกรรมนิมิตให้เป็นอารมณ์ เพราะเหตุนั้น ปฏิสนธินั้น ท่านจึงเรียกว่า วิบากที่เหลือแห่งกรรมนั้นนั่นเอง เพราะมีส่วนเสมอด้วยกรรม หรือเพราะมีส่วนเสมอด้วยอารมณ์.
ก็สัตว์นี้เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 653
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ด้วยวิบากยังเหลืออยู่แห่งกรรมนั้นนั่นเอง.
ได้ยินว่า ในเวลาเคลื่อนจากนรก สัตว์นั้นได้มีนิมิต คือ กองกระดูกแห่งโคทั้งหลาย อันถูกทำไม่ให้มีเนื้อ, สัตว์นั้น เมื่อจะทำกรรมนั้น แม้ที่ปกปิดให้เป็นดุจปรากฏแก่วิญญูชนทั้งหลาย จึงเกิดเป็นอัฏฐิสังขลิกเปรต.
[เรื่องมังสเปสีเปรต]
ในเรื่องมังสเปสีเปรต มีวินิจฉัยดังนี้:-
มังสเปสีเปรตนั้นเป็นคนฆ่าโค ทำชิ้นเนื้อตากให้แห้งแล้ว เลี้ยงชีวิตด้วยการขายเนื้อแห้งหลายปี. ด้วยเหตุนั้น เวลาเคลื่อนจากนรก เขาจึงได้มีนิมิต คือ ชิ้นเนื้อนั่นเอง เขาจึงเกิดเป็นมังสเปสีเปรต.
[เรื่องมังสปิณฑเปรต]
ในเรื่องมังสปิณฑเปรต มีวินิจฉัยดังนี้:-
มังสปิณฑเปรตนั้นเป็นนายพรานนกจับนกได้แล้ว เวลาขาย ได้ทำการถอนขนปีกและหนังออกหมด ให้เป็นเพียงก้อนเนื้อแล้ว ขายเลี้ยงชีวิต. ด้วยเหตุนั้น เวลาเคลื่อนจากนรก เขาจึงได้มีนิมิต คือ ก้อนเนื้อเท่านั้น. เขาจึงเกิดเป็นมังสปิณฑเปรต.
[เรื่องนิจฉวีเปรต]
ในเรื่องนิจฉวีเปรต มีวินิจฉัยดังนี้:-
นิจฉวีเปรตนั้น เป็นคนฆ่าแพะ ฆ่าแพะแล้วถลกหนัง เลี้ยงชีวิต จึงได้มีนิมิต คือ ร่างแพะปราศจากหนัง ตามนัยก่อนนั่นแล เขาจึงได้เกิดเป็นนิจฉวีเปรต.
[เรื่องอสิโลมเปรต]
ในเรื่องอสิโลมเปรต มีวินิจฉัยดังนี้:-
อสิโลมเปรตนั้นเป็นคนฆ่าสุกร ใช้ดาบฆ่าสุกรทั้งหลายอันตนปรนปรือด้วยเหยื่อสิ้นกาลนาน แล้วเลี้ยง
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 654
ชีวิตมาตลอดราตรีนาน. เขาจึงได้มีนิมิต คือ ภาวะของคนที่เงื้อดาบขึ้น ฉะนั้น เขาจึงเกิดเป็นอสิโลมเปรต.
[เรื่องสัตติโลมเปรต]
ในเรื่องสัตติโลมเปรต พึงทราบวินิจฉัยต่อไป:-
สัตติโลมเปรตนั้น เป็นคนล่าเนื้อ พาเอาเนื้อตัวหนึ่งและถือหอกเล่มหนึ่ง ไปป่าแล้ว ใช้หอกแทงเนื้อที่พากันมาสู่ที่ใกล้เนื้อนั้นให้ตาย. เขาจึงได้มีนิมิต คือ ภาวะที่ใช้หอกแทง, ฉะนั้น เขาจึงเกิดเป็นสัตติโลมเปรต.
[เรื่องอุสุโลมเปรต]
ในเรื่องอุสุโลมเปรต พึงทราบวินิจฉัยต่อไป:-
บทว่า การณิโก ความว่า เป็นบุรุษผู้เบียดเบียนพวกคนผู้ผิดต่อพระราชา ด้วยเหตุทั้งหลายเป็นอันมาก ลงท้ายใช้ลูกศรยิงให้ตาย.
ได้ยินว่า เขาทราบก่อนว่า คนถูกยิงส่วนโน้นจึงจะตาย ดังนี้ แล้วจึงยิง. เขานั่นเองเลี้ยงชีวิตแล้วบังเกิดในนรก ในเวลาเกิดในเปรตวิสัยนี้ ได้มีนิมิตคือภาวะที่ใช้ศรยิง ด้วยวิบากที่ยังเหลือจากนรกนั้น. ฉะนั้น เขาจึงเกิดเป็นอุสุโลมเปรต.
[เรื่องสูจิโลมเปรต]
ในเรื่องสูจิโลมเปรต พึงทราบวินิจฉัยต่อไป:-
บทว่า สารถิ คือ เป็นคนฝึกม้า.
ในอรรถกถากุรุนที ท่านกล่าวว่า เป็นคนฝึกโค ดังนี้บ้าง. เขาได้มีนิมิต คือ ภาวะที่แทงด้วยเข็มปฏัก. เขาจึงเกิดเป็นสูจิโลมเปรต.
[เรื่องสูจิโลมเปรตที่ ๒]
ในเรื่องสูจิโลมเปรตเรื่องที่ ๒ พึงทราบวินิจฉัยต่อไป:-
บทว่า สูจีโก คือ เป็นคนทำการส่อเสียด.
ได้ยินว่า เขาทำลายมนุษย์ทั้งหลายและพวกเดียวกัน และยุยงในราชตระกูลว่า คนนี้มีความผิดชื่อนี้ คนนี้ทำผิดชื่อนี้
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 655
ดังนี้, ครั้นยุยงแล้ว ทำให้ถึงความพินาศวอดวาย. ฉะนั้น เขาจึงเกิดเป็นสูจิโลมเปรต เพราะทำนิมิต คือ กรรม เพื่อการเสวยทุกข์จากการทำลายด้วยเข็มทั้งหลาย เหมือนอย่างที่เขาทิ่มแทงทำลายพวกมนุษย์ ฉะนั้น.
[เรื่องอัณฑภารเปรต]
ในเรื่องเปรตแบกลูกอัณฑะ พึงทราบต่อไป:-
บทว่า คามกูโฏ คือ เป็นอำมาตย์ผู้ตัดสินความ.
สัตว์นั้นได้มีอัณฑะเท่าหม้อ คือ มีขนาดเท่าหม้อใหญ่ เพราะมีส่วนเสมอด้วยกรรม. ด้วยว่า สัตว์นั้น เพราะเหตุที่รับสินบนในสถานที่ลับปกปิด เมื่อจะทำโทษให้ปรากฏ ด้วยการตัดสินความโกง ได้กระทำพวกเจ้าของไม่ให้เป็นเจ้าของ; เพราะฉะนั้น อวัยวะลับของสัตว์นั้น จึงบังเกิดปรากฏ. เพราะเหตุที่สัตว์นั้น เมื่อเริ่มตั้งอาญา ได้ยกของหนักอันไม่ควรจะทนได้ ให้แก่ชนเหล่าอื่น; เพราะฉะนั้น อวัยวะลับของสัตว์นั้น จึงบังเกิดเป็นของหนักอันไม่ควรจะทน. เพราะเหตุที่สัตว์นั้นดำรงอยู่ในตำแหน่งใด ควรจะเป็นผู้สม่ำเสมอ, แต่ดำรงอยู่ในตำแหน่งนั้นแล้ว หาได้เป็นผู้สม่ำเสมอไม่; ฉะนั้น สัตว์นั้น จึงได้มีการนั่งไม่สม่ำเสมอบนอวัยวะลับ.
[เรื่องปรทาริกเปรต]
ในเรื่องเปรตผิดเมียท่าน พึงทราบวินิจฉัยดังนี้:-
สัตว์นั้น เมื่อสัมผัสผัสสะที่มีเจ้าของที่เขาคุ้มครองรักษาแล้วของคนอื่น ยังจิตให้รื่นรมย์ด้วยความสุขในกามอันเป็นความสุขในอุจจาระ จึงบังเกิดในเปรตวิสัยนั้น เพื่อจะสัมผัสผัสสะ เป็นคูถ เสวยทุกข์ เพราะมีส่วนเสมอด้วยกรรม.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 656
[เรื่องเปรตพราหมณ์ชั่ว]
ในเรื่องพราหมณ์ชั่ว พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ (๑) :-
เพราะชื่อว่า มาตุคาม ไม่เป็นอิสระในผัสสะของตน, แต่หญิงนั้น ขโมยผัสสะของสามีนั้น ยังความอภิรมย์ให้เกิดแก่คนเหล่าอื่น: ฉะนั้น จึงได้บังเกิดเป็นหญิงเปรตปราศจากผิว เพื่อกำจัดสัมผัสเป็นสุขนั้นเสียแล้ว เสวยสัมผัสเป็นทุกข์ เพราะมีส่วนเสมอด้วยกรรม.
[เรื่องมังคุลีหญิงเปรต]
ในเรื่องมังคุลีหญิงเปรต พึงทราบวินิจฉัยดังนี้:-
บทว่า มงฺคุฬี ได้แก่ มีรูปผิดไป คือ มองดูน่าชัง น่าเกลียด.
ได้ยินว่า หญิงนั้นทำหน้าที่เป็นแม่มด คือ หน้าที่เป็นทาสีของยักษ์ กล่าวว่า เมื่อทำพลีกรรมอย่างนี้ ด้วยสิ่งนี้และสิ่งนี้ ความเจริญของพวกท่าน ชื่อนี้จักมี ดังนี้ แล้วถือเอาของหอมและดอกไม้เป็นต้นของมหาชน ด้วยการล่อลวงยังมหาชนให้ยึดถือมิจฉาทิฏฐิอันเป็นทิฏฐิชั่ว. เพราะฉะนั้น หล่อนจึงเกิดเป็นนางเปรตมีกลิ่นเหม็น เพราะขโมยของหอมและดอกไม้เป็นต้น เป็นนางเปรตมองดูน่าชัง ผิดรูป น่าเกลียด เหตุให้มหาชนยึดถือความเห็นชั่ว เพราะมีส่วนเสมอด้วยกรรมนั้น.
[เรื่องโอกิลินีหญิงเปรต]
เรื่องโอกิลินีหญิงเปรต พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้:-
ข้อว่า อุปกฺกํ โอกิลินิํ โอกีรณิํ มีความว่า ได้ยินว่า นางเปรตนั้น นอนอยู่บนเชิงตะกอนถ่านเพลิง ดิ้นพลิกไปมาถูกไฟไหม้; เพราะฉะนั้น นางจึงเป็นผู้ถูกไฟครอก มีสรีระสุกด้วยไฟกรด มีน้ำเหงื่อหยด มีสรีระเปียก คือหยาดน้ำเหงื่อทั้งหลาย ย่อมหลั่งออกจากสรีระของนางเปรตนั้น และมีถ่านเพลิงเกลื่อนกล่น คือ
(๑) ในเรื่องนี้ ไม่มีอธิบาย อาจจะตกไปก็เป็นได้, เลยไปอธิบายเรื่องหญิงเปรตถัดไป.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 657
เกลื่อนกล่นด้วยถ่านเพลิง.
ด้วยว่าถ่านเพลิงทั้งหลาย มีสีดังดอกทองกวาว ย่อมตกแม้จากเบื้องล่างของนางเปรตนั้น ถ่านเพลิงทั้งหลาย ย่อมตกแม้ในข้างทั้ง ๒ แม้จากอากาศในเบื้องบนของนางเปรตนั้น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ถูกไฟครอก น้ำเหงื่อหยด มีถ่านเพลิงเกลื่อนกล่น.
นางนั้นเป็นคนขี้หึง เอากระทะถ่านเพลิงราดหญิงร่วมผัว. ได้ยินว่า นางระบำคนหนึ่งของพระราชาพระองค์นั้น วางกระทะถ่านเพลิงไว้ในที่ใกล้ เช็ดน้ำจากตัวและอบด้วยฝ่ามือ. พระราชาทรงสนทนากับนางระบำนั้น และทรงแสดงอาการโปรดปรานมากไป. พระอัครมเหสีทรงทนดูเหตุการณ์นั้นไม่ไหว ทรงหึง เมื่อพระราชาเสด็จออกไปไม่ทันนาน ก็ทรงหยิบกระทะถ่านเพลิงนั้น ราดถ่านเพลิงลงเบื้องบนนางระบำนั้น. พระนางทำกรรมนั้นแล้ว บังเกิดในเปตโลก เพื่อเสวยวิบากเช่นนั้นนั่นแล.
[เรื่องโจรฆาตเปรต]
ในเรื่องโจรฆาตเปรต พึงทราบวินิจฉัยดังนี้:-
เพชฌฆาตโจรนั้น ตัดศีรษะพวกโจรมาช้านาน ตามคำสั่งของพระราชา เมื่อบังเกิดในเปตโลก จึงได้บังเกิดเป็นตัวกพันธ์ไม่มีศีรษะ.
[เรื่องพระภิกษุเปรตเป็นต้น]
ในเรื่องภิกษุ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้:-
บทว่า ปาปภิกฺขุ คือ เป็น ภิกษุลามก.
ได้ยินว่า ภิกษุนั้น บริโภคปัจจัย ๔ ที่เขาถวายด้วยศรัทธาของชาวโลก เป็นผู้ไม่สำรวมทางกายทวารและวจีทวาร มีอาชีพอันทำลายแล้ว เที่ยวเล่นสนุกสนานตามชอบใจ. ภายหลังถูกไฟไหม้อยู่ในนรก ตลอดพุทธันดรหนึ่ง เมื่อเกิดในเปตโลก ก็บังเกิดด้วยอัตภาพเช่นกับภิกษุนั่นแหละ.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 658
แม้ในเรื่องภิกษุณี เรื่องสิกขมานา เรื่องสามเณร เรื่องสามเณรีเปรต ก็วินิจฉัยนี้เหมือนกัน.
[เรื่องแม่น้ำตโปทา]
ในเรื่องแม่น้ำตโปทา พึงทราบวินิจฉัยดังนี้:-
บทว่า อจฺโฉทโก แปลว่า มีน้ำใส.
บทว่า สีโตทโก แปลว่า มีน้ำเย็น.
บทว่า สาโตทโก แปลว่า มีน้ำรสอร่อย.
บทว่า เสโตทโก แปลว่า มีน้ำบริสุทธิ์ คือ ไม่มีสาหร่าย แหน และเปือกตม.
บทว่า สุติฏฺโ คือ เข้าถึงแล้วด้วยท่าทั้งหลายที่ดี.
บทว่า รมณีโย แปลว่า น่าให้เกิดความยินดี.
บทว่า จกฺกมตฺตานิ แปลว่า มีประมาณเท่าล้อรถ.
ข้อว่า กุฏฺิตา สนฺทติ ความว่า เป็นแม่น้ำร้อนจัด เดือดพล่าน ไหลไปอยู่.
บทว่า ยตายํ ภิกฺขเว ตัดบทเป็น ยโต อยํ ภิกฺขเว แปลว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! แม่น้ำตโปทานี้ ไหลมาแต่ที่ใด... ?
บทว่า โส ทโห แปลว่า ห้วงน้ำนั้น.
ถามว่า ก็แม่น้ำตโปทานี้ ไหลมาแต่ที่ไหน?
แก้ว่า ได้ยินว่า ภายใต้ภูเขาเวภารบรรพต มีภพนาคประมาณ ๕๐๐ โยชน์ ของพวกนาคผู้อยู่บนภาคพื้นเช่นกับเทวโลก ประกอบด้วยพื้นอันสำเร็จด้วยแก้วมณี และด้วยอาราม และอุทยาน. ห้วงน้ำนั้น อยู่ในที่เล่นของพวกนาคในภพนาคนั้น. แม่น้ำตโปทานี้ ไหลมาแต่ห้วงน้ำนั้น.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 659
ข้อว่า ทฺวินฺนํ มหานิรยานํ อนฺตริกาย อาคจฺฉติ ความว่า ได้ยินว่า มหาเปตโลกผ่านเมืองราชคฤห์มา, แม่น้ำตโปทานี้มาจากระหว่างมหาโลหกุมภีนรก ๒ ขุมในมหาเปตโลกนั้น; ฉะนั้น จึงเดือดพล่านไหลไปอยู่.
[เรื่องการรบ]
ในเรื่องการรบ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้:-
ข้อว่า นนฺทิ จรติ ได้แก่ ตีกลองพิชัยเภรีเที่ยวประกาศไป.
ข้อว่า ราชา อาวุโส ลิจฺฉวีหิ ความว่า ได้ยินว่า พระเถระนั่งในที่พักกลางวันและที่พักกลางคืนของตน เห็นพวกเจ้าลิจฉวีผู้มีผีมือชำนาญยิงได้แม่นยำ เมื่อคำนึงว่า ก็พระราชาทรงก่อสงครามกับพวกเจ้าลิจฉวีเหล่านั้น ได้เห็นพระราซาทรงปราชัย หนีไปอยู่ ด้วยทิพยจักษุ.
ลำดับนั้น พระเถระจึงเรียกภิกษุทั้งหลายมากล่าวว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย! พระราชาผู้เป็นอุปัฏฐากของพวกท่าน ทรงปราชัยพวกเจ้าลิจฉวีแล้ว.
คำว่า สจฺจํ ภิกฺขเว โมคฺคลฺลาโน อาห ความว่า โมคคัลลานะ เมื่อคำนึงในเวลาพระราชาทรงปราชัย กล่าวสิ่งที่ตนเห็น ชื่อว่ากล่าวจริง.
[เรื่องช้างลงน้ำ]
ในเรื่องช้างลงน้ำ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้:-
บทว่า สปฺปินิกาย คือ แม่น้ำที่มีชื่ออย่างนี้.
บทว่า อเนญฺชํ สมาธิํ ได้แก่ จตุตถฌานสมาธิ อันเป็นอเนญชะ คือ ไม่หวั่นไหว เว้นจากความดิ้นรนทางกายและวาจา.
บทว่า นาคานํ แปลว่า แห่งช้างทั้งหลาย.
ข้อว่า โอคาหํ อุตฺตรนฺตานํ ความว่า ลงน้ำแล้ว ขึ้นอีก.
ได้ยินว่า ช้างเหล่านั้นลงน้ำลึกแล้ว อาบและดื่มในน้ำนั้น เอางวงดูดน้ำแล้วพ่นใส่กันและกันจึงขึ้นไป. มีคำอธิบายว่า แห่งช้างเหล่านั้น ตัวลงน้ำแล้วขึ้นอยู่อย่างนี้.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 660
ข้อว่า โกญฺจํ กโรนฺตานํ ความว่า ยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ สอดงวงเข้าในปากแล้ว ทำเสียงดังนกกระเรียน.
คำว่า สทฺทํ อสฺโสสิํ ความว่า เราได้ยินเสียงโกญจนาทนั้น.
ข้อว่า อตฺเถโส ภิกฺขเว สมาธิ โส จ โข อปริสุทฺโธ ความว่า สมาธินั่นของโมคคัลลานะ มีอยู่, แต่สมาธินั้นแล เป็นของไม่บริสุทธิ์.
ได้ยินว่า พระเถระ ในวันที่ ๗ แต่เวลาบวช ได้บรรลุพระอรหัตผลในวันนั้น ยังไม่มีวสี (ความชำนาญ) อันประพฤติแล้ว ด้วยอาการ ๕ อย่าง ในสมาบัติ ๘ ยังมิได้ยังธรรมอันเป็นข้าศึกต่อสมาธิให้บริสุทธิ์ด้วยดี นั่งเข้าจตุตถฌานแน่วแน่ กระทำให้มีเพียงแต่สัญญาแห่งการนึก การเข้า การตั้งใจ การออก และการพิจารณาเท่านั้น ออกจากองค์ฌานแล้ว ได้ยินเสียงแห่งช้างทั้งหลาย ได้มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เราได้ยินเสียงภายในสมาบัติ ดังนี้.
ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! สมาธินั่น มีอยู่, แต่สมาธินั้นแล ไม่บริสุทธิ์.
[เรื่องพระโสภิตะ]
ในเรื่องพระโสภิตะ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้:-
ข้อว่า อหํ อาวุโส ปญฺจกปฺปสตานิ อนุสฺสรามิ ความว่า พระเถระกล่าวว่า เราระลึกชาติได้ ด้วยอาวัชชนจิตเดียว.
ก็เมื่อถือเอาความอีกอย่างหนึ่ง การระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในอดีตนั้นๆ ด้วยอาวัชชนจิตต่างๆ กัน โดยลำดับ ของพระสาวกทั้งหลาย ไม่น่าอัศจรรย์; เพราะฉะนั้น ภิกษุทั้งหลายจึงไม่ยกโทษ. แต่เพราะพระโสภิตะนั้นกล่าวว่า เราระลึกชาติได้ด้วยอาวัชชนจิตเดียว ดังนี้; เพราะฉะนั้น ภิกษุทั้งหลาย จึงยกโทษ.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 661
ข้อว่า อตฺเถสา ภิกฺขเว โสภิตสฺส สา จ โข เอกาเยว ชาติ ความว่า ชาติที่โสภิตะกล่าวว่า เราระลึกชาติได้ ดังนี้ ของโสภิตะ มีอยู่, ก็แลชาตินั้นมีเพียงชาติเดียวเท่านั้น อธิบายว่า โสภิตะ มิได้ระลึกโดยผิดลำดับ ไม่ติดต่อกัน.
ถามว่า พระโสภิตะนี้ระลึกชาติได้อย่างไร?
แก้ว่า ได้ยินว่า พระโสภิตะนี้ บวชในลัทธิเดียรถีย์ ยังสัญญีสมาบัติให้บังเกิดแล้ว เป็นผู้มีฌานไม่เสื่อมทำกาละแล้ว บังเกิดในอสัญญีภพกว่า ๕๐๐ กัป. ท่านอยู่ในอสัญญีภพนั้นตราบเท่าชนมายุในที่สุด อุบัติในมนุษยโลก แล้วบวชในพระศาสนา ได้ทำวิชา ๓ ให้แจ้ง ท่านเมื่อระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อน เห็นปฏิสนธิในอัตภาพนี้ ต่อจากนั้น ได้เห็นเฉพาะจุติในอัตภาพที่ ๓.
ลำดับนั้น ท่านไม่อาจระลึกถึงอัตภาพอันไม่มีจิตในระหว่างจุติและปฏิสนธิทั้ง ๒ ได้ จึงได้กำหนดโดยนัยว่า เราบังเกิดในอสัญญีภพแน่นอน.
พระโสภิตเถระนั้น กำหนดได้อยู่อย่างนี้ ได้กระทำสิ่งที่ทำได้ยาก เหมือนกับแยงปลายแห่งขนทรายที่ผ่าเป็น ๗ ส่วนเข้ากับปลาย เหมือนกับการแสดงรอยเท้าในอากาศ; เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ ในเพราะเรื่องนี้นั่นแหละว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! บรรดาภิกษุทั้งหลายผู้สาวกของเรา ผู้ระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยในกาลก่อน โสภิตะนี้ เป็นเลิศ (๑) ดังนี้.
[บทสรุปปาราซิก]
คำว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ธรรม คือ ปาราชิก ๔ ข้าพเจ้ายกขึ้นสวดแล้วแล นี้ เป็นคำแสดงถึงปาราชิกที่ยกขึ้นแสดงใน
(๑) องฺ เอก. ๒๐/๓๒
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 662
ปาราชิกุทเทสนี้นั่นแล. แต่ประมวลกันเข้าแล้ว พึงทราบปาราชิกทั้งหมดทีเดียว ว่ามี ๒๔ อย่าง.
๒๔ อย่าง คืออะไรบ้าง? คือ ที่มาในพระบาลี ๘ อย่างก่อน คือของพวกภิกษุ ๔ เฉพาะของพวกนางภิกษุณี ๔. อภัพบุคคล ๑๑ จำพวก.
บรรดาอภัพบุคคล ๑๑ จำพวกเหล่านั้น บัณเฑาะก์ สัตว์ดิรัจฉาน และอุภโตพยัญชนก ๓ จำพวก เป็นพวกอเหตุกปฏิสนธิ จัดเป็นพวกวัตถุวิบัติ. พวกวัตถุวิบัติเหล่านั้น ไม่ถูกห้ามสวรรค์ แต่ถูกห้ามมรรค.
จริงอยู่ บัณเฑาะก์เป็นต้นเหล่านั้น จัดเป็นอภัพบุคคลสำหรับการได้มรรค เพราะเป็นพวกวัตถุวิบัติ. ถึงการบรรพชาสำหรับพวกเขา ก็ทรงห้ามไว้. เพราะฉะนั้น บัณเฑาะก์เป็นต้นแม้เหล่านั้น จึงจัดเป็นผู้พ่ายแพ้ (เป็นปาราชิก).
บุคคล ๘ จำพวกเหล่านี้ คือ คนลักเพศ ภิกษุเข้ารีตเดียรถีย์ คนฆ่ามารดา คนฆ่าบิดา คนฆ่าพระอรหันต์ สามเณรผู้ประทุษร้ายนางภิกษุณี คนทำโลหิตุปบาท ภิกษุผู้ทำสังฆเภท ชื่อว่าถึงฐานะเป็นอภัพบุคคล เพราะเป็นผู้วิบัติ ด้วยการกระทำของตน เพราะฉะนั้น จึงจัดเป็นผู้พ่ายแพ้ด้วย.
บรรดาบุคคล ๘ จำพวกนั้น สำหรับบุคคล ๓ จำพวกเหล่านี้ คือ คนลักเพศ ภิกษุเข้ารีตเดียรถีย์ สามเณรผู้ประทุษร้ายนางภิกษุณี ไม่ถูกห้ามสวรรค์ แต่ถูกห้ามมรรคแท้. อีก ๕ จำพวก ถูกห้ามแม้ทั้ง ๒ อย่าง. เพราะว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นจำพวกสัตว์ที่จะต้องเกิดในนรก ไม่มีระหว่าง.
อภัพบุคคล ๑๑ จำพวกเหล่านี้ และบุคคลผู้เป็นปาราชิก ๘ ข้างต้น จึงรวมเป็น ๑๙ ด้วยประการฉะนี้.
แม้บุคคลเหล่านั้น รวมกับนางภิกษุณีผู้ยังความพอใจให้เกิดในเพศคฤหัสถ์ แล้วนุ่งห่มอย่างคฤหัสถ์ จึงรวมเป็น ๒๐.
จริงอยู่ นางภิกษุณีนั้น ถึงจะไม่ได้กระทำการล่วงละเมิดด้วยอัชฌาจาร ก็จัดว่า ไม่เป็นสมณีได้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้; เพราะเหตุนั้น ปาราชิกเหล่านี้ จึงมี ๒๐ ก่อน.
อาจารย์บางพวกกล่าวว่า อนุโลมปาราชิก
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 663
แม้อย่างอื่น ยังมีอีก ๔ ด้วยอำนาจภิกษุ ๔ จำพวกเหล่านี้ คือ ภิกษุมีองค์กำเนิดยาว (ปรารถนาจะเสพเมถุนธรรม จึงสอดองค์กำเนิดเข้าไปทางวัจจมรรคของตน) ๑ ภิกษุมีหลังอ่อน (ปรารถนาจะเสพเมถุนธรรม ก้มลงอมองค์กำเนิดของตน) ๑ ภิกษุเอาปากอมองค์กำเนิดของผู้อื่น ๑ ภิกษุนั่งสวมองค์กำเนิดของผู้อื่น ๑.
ก็เพราะเหตุที่ธรรมของคน ๒ คน ผู้เข้าถึงความเป็นเช่นเดียวกัน ด้วยอำนาจราคะ ตรัสเรียกว่า เมถุนธรรม; ฉะนั้น ปาราชิก ๔ เหล่านี้ ชื่อว่า ย่อมอนุโลมแก่เมถุนธรรมปาราชิก โดยปริยายนี้ เพราะภิกษุ ๔ จำพวกนั้น ถึงจะไม่ได้เสพเมถุนธรรมเลย ก็พึงต้องอาบัติได้ ด้วยอำนาจการยังมรรคให้เข้าไปทางมรรคอย่างเดียว; เพราะเหตุนั้น จึงเรียกว่าอนุโลมปาราชิก ฉะนี้แล.
พึงประมวลอนุโลมปาราชิก ๔ เหล่านี้ และปาราชิก ๒๐ ประการข้างต้นเข้าด้วยกันแล้ว ทราบปาราชิกทั้งหมดทีเดียว ว่ามี ๒๔ อย่าง ด้วยประการฉะนี้.
ข้อว่า น ลภติ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ สํวาสํ มีความว่า ย่อมไม่ได้สังวาสต่างโดยประเภท มีอุโบสถ ปวารณา ปาฏิโมกขุทเทส และสังฆกรรมกับด้วยภิกษุทั้งหลาย.
ข้อว่า ยถา ปุเร ตถา ปจฺฉา มีความว่า ในกาลก่อน คือ ในเวลาเป็นคฤหัสถ์และเวลาที่ยังมิได้อุปสมบท (ย่อมเป็นผู้ไม่มีสังวาส) ฉันใด, ภายหลังแม้ต้องปาราชิกแล้ว ก็เป็นผู้ไม่มีสังวาส ฉันนั้นเหมือนกัน.
สังวาสต่างโดยประเภทมี อุโบสถ ปวารณา ปาฏิโมกขุทเทส และสังฆกรรม กับด้วยภิกษุทั้งหลาย ของภิกษุนั้น ไม่มี; เพราะเหตุนั้น ภิกษุนั้น ชื่อว่า ย่อมไม่ได้สังวาสกับด้วยภิกษุทั้งหลาย.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 664
ข้อว่า ตตฺถายสฺมนฺเต ปุจฺฉามิ มีความว่า ข้าพเจ้าขอถามท่านทั้งหลาย ในปาราชิก ๔ เหล่านั้นว่า ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์แลหรือ?
บทว่า กจฺจิตฺถ ตัดบทว่า กจฺจิ เอตฺถ มีความว่า ในปาราชิก ๔ เหล่านี้ ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์แลหรือ?
อีกประการหนึ่ง สองบทว่า กจฺจิตฺถ ปริสุทฺธา มีความว่า ท่านทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์แลหรือ?
บทที่เหลือทุกๆ แห่งมีเนื้อความตื้นทั้งนั้น ฉะนี้แล.
จตุตถปาราชิกวรรณนา ในอรรถกถาพระวินัย
ชื่อสมันตปาสาทิกา จบ
[อธิษฐานคาถาของท่านผู้รจนา]
ขอพระสัทธรรม จงดำรงอยู่สิ้นกาลนาน ขอฝนจงตกต้องตามฤดูกาล ยังหมู่สัตว์ให้เอิบอิ่ม สิ้นกาลนาน ขอพระราชา จงปกครองแผ่นดิน โดยธรรมเทอญ.