เรียนถามเรื่องของกรรมและวิบากกรรมครับ
โดย นกอ้วน  19 ธ.ค. 2559
หัวข้อหมายเลข 28442

สวัสดีครับผมขอความอนุเคราะห์ไขข้อสงสัยเรื่องกรรมครับ

ผมเกิดความสงสัยครับว่ากรรมที่ได้รับผลไปแล้วนั้นหมายถึงหายศูนย์ไปเพราะหักลบกับผลจากวิบากไปแล้วเลยหรือไม่ครับ หรือว่ากรรมที่กระทำไปก็สะสมไปเรื่อยๆ ครับ

สุดท้ายนี้ขอกราบขอบพระคุณท่านผู้มีจิตเมตตาตอบข้อสงสัยทุกๆ ท่านครับ

ขอบคุณครับ



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 19 ธ.ค. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กรรมที่ได้ทำแล้ว บางประเภทให้ผล แต่มีระยะเวลา กรรมบางอย่างไม่ให้ผล เพราะกรรมอื่นตัดรอน กรรมใดที่ให้ผลแล้ว ก็ยังมีเศษของกรรมได้อีก และแม้ผลของกรรมให้ผลหมดแล้ว ก็สะสมเป็นอุปนิสัย ฝ่ายดี และ ไม่ดีได้ครับ

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 2    โดย khampan.a  วันที่ 19 ธ.ค. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ที่พอจะเข้าใจได้ คือ ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงทุกอย่างเป็นธรรม ถ้าไม่มีธรรม ก็ไม่มีอะไรทั้งสิ้น สิ่งที่มีจริงเป็นธรรมแต่ละอย่างแต่ละลักษณะ แม้แต่กรรมก็เช่นเดียวกัน เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นนามธรรมประการหนึ่ง คือ เป็นเจตนา ความจงใจ ความตั้งใจ อย่างเช่น

- เจตนา ความจงใจ ความตั้งใจที่เป็นกุศล เช่น ในขณะที่ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ย่อมมีเจตนาอย่างแน่นอน ที่จงใจ ตั้งใจที่จะฟังในสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง เพื่อจะได้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกเพิ่มขึ้น อย่างนี้ เป็นกุศลกรรม (กุสลเจตนา) โดยไม่ต้องไปถามใครเลยว่าเป็นกุศลกรรมหรือไม่ อย่างไร เพราะเหตุว่า ขณะใดก็ตามที่ความจงใจ ความตั้งใจ เป็นไปในฝ่ายที่ดีงาม ขณะนั้น ความจงใจ ตั้งใจ ไม่ได้เบียดเบียนใครเลย จึงเป็นกุศลกรรม สำหรับเจตนาในกุศลประการอื่นๆ ก็โดยนัยเดียวกัน

-เจตนา ความจงใจ ความตั้งใจ ที่เป็นกุศล เป็นความจงใจ ตั้งใจที่เกิดขึ้นบ่อยมากในชีวิตประจำวัน เพราะเหตุว่า กุศลจิตเกิดมากกว่ากุศลจิต ทุกครั้งที่กุศลจิตเกิด เจตนาก็ต้องเป็นกุศลด้วย (กุศลเจตนา) ยิ่งถ้าสะสมกุศลจนกระทั่งมีกำลังมากขึ้น ก็ล่วงเป็นทุจริตกรรมทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ทางใจบ้าง เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน เป็นกุศลกรรมบถ ซึ่งโดยปกติของปุถุชนก็มีกุศลเป็นพื้นอยู่แล้วนี้คือ ความจริง แต่ถ้าถึงขั้นล่วงเป็นทุจริตกรรม ก็แสดงให้เห็นถึงกำลังของกุศล ว่ามีกำลังมากทีเดียว

ข้อที่ควรพิจารณาอีกประการหนึ่ง คือ กรรมที่ได้กระทำแล้ว ทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม เป็นสภาพที่ปกปิด เพราะเหตุว่าไม่มีใครรู้เลยว่ากรรมที่ได้กระทำแล้วนั้น จะให้ผลเมื่อใด ให้ผลในชาตินี้ ในชาติหน้า หรือ ในชาติต่อๆ ไป ก็ไม่สามารถรู้ได้ แต่จะต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงทั้งหมดทุกประการ แล้วทรงแสดงพระธรรมให้สัตว์โลกได้เข้าใจความจริงตามพระองค์ ด้วย บุคคลผู้ที่ได้สะสมเหตุที่ดีมา มีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษา ความรู้ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ แม้แต่ในเรื่องกรรม ก็เช่นเดียวกัน เมื่อได้ฟัง ได้ศึกษา ก็จะทำให้เข้าใจละเอียดยิ่งขึ้น มีความมั่นคงในเรื่องกรรมเพิ่มขึ้น คือ มีความจริงใจที่จะสะสมเหตุที่ดี คือ กุศลทุกประการต่อไป พร้อมกันนั้นก็ละเว้นในสิ่งที่ไม่ดี ที่ไม่ควรซึ่งเป็นกุศลกรรม และมีความมั่นคงในเรื่องผลของกรรม ด้วย กล่าวคือ เมื่อได้รับผลของกุศลกรรม ก็จะไม่โทษคนอื่น แต่เข้าใจความจริงเพิ่มขึ้นว่าในเมื่อเป็นกุศลกรรมที่ตนได้กระทำไว้ ผลที่ไม่น่าปรารถนา จึงเกิดขึ้น ไม่ใช่คนอื่นกระทำให้เลย หรือ ถ้าได้รับผลของกรรมที่ดี ก็จะเป็นผู้ไม่หลงระเริง ไม่มัวเมาด้วยอำนาจของกุศลธรรม ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงนั้น ต้องเป็นผู้ที่มีปัญญา อันเริ่มจากการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวันนั่นเอง ครับ

...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 3    โดย ํํญาณินทร์  วันที่ 20 ธ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 4    โดย Lertchai  วันที่ 20 ธ.ค. 2559

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย นกอ้วน  วันที่ 21 ธ.ค. 2559

ขอบคุณครับ ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 6    โดย kukeart  วันที่ 22 ธ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 7    โดย chatchai.k  วันที่ 24 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ