อังคุตตรนิกาย ปฐมปัณณาสก์ ข้อ ๒๙๓ มีข้อความว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย บริษัท ๒ จำพวกนี้ ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ บริษัทที่หนักในอามิส ไม่หนักในสัทธรรม ๑ บริษัทที่หนักในสัทธรรม ไม่หนักในอามิส ๑
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ก็บริษัทที่หนักในอามิส ไม่หนักในสัทธรรมเป็นไฉน ภิกษุในบริษัทใดในธรรมวินัยนี้ ต่างสรรเสริญคุณของกันและกันต่อหน้าคฤหัสถ์ผู้นุ่งห่มผ้าขาวว่า ภิกษุรูปโน้นเป็นอุภโตภาควิมุต รูปโน้นเป็นปัญญาวิมุต รูปโน้นเป็นกายสักขีรูปโน้นเป็นทิฏฐิปัตตะ รูปโน้นเป็นสัทธาวิมุต รูปโน้นเป็นธัมมานุสารี รูปโน้นเป็นสัทธานุสารี ( เป็นชื่อของผู้ที่บรรลุความเป็นพระอริยะด้วยอินทรีย์ต่างๆ กัน) รูปโน้นมีศีล มีกัลยาณธรรม รูปโน้นทุศีล มีธรรมเลวทราม เธอต่างได้ลาภด้วยเหตุนั้น ครั้นได้แล้วต่างก็กำหนัดยินดี หมกมุ่ม ไม่เห็นโทษ ไร้ปัญญา เป็นเหตุออกไปจากภพบริโภคอยู่
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย บริษัทนี้เรียกว่า บริษัทผู้หนักในอามิส ไม่หนักในสัทธรรม
โดยมากชอบพูดถึงเรื่องผลของการเจริญสติปัฏฐาน หรือที่ใช้คำว่าผลของการเจริญวิปัสสนา เกรงว่าถ้าไม่พูดถึงผลแล้ว ท่านผู้ฟังจะไม่เลื่อมใส แต่ว่าความจริงแล้วควรที่จะได้ทราบว่า ผู้ใดเป็นผู้ที่หนักในสัทธรรม และผู้ใดเป็นผู้ที่หนักในอามิส
ข้อความต่อไปมีว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ก็บริษัทที่หนักในสัทธรรม ไม่หนักในอามิสเป็นไฉน ภิกษุในบริษัทใดในธรรมวินัยนี้ ต่างไม่พูดสรรเสริญคุณของกันและกันต่อหน้าคฤหัสถ์ผู้นุ่งห่มขาวว่า ภิกษุรูปโน้นเป็นอุภโตภาควิมุต รูปโน้นเป็นปัญญาวิมุต รูปโน้นเป็นกายสักขี รูปโน้นเป็นทิฏฐิปัตตะ รูปโน้นเป็นสัทธาวิมุต รูปโน้นเป็นธัมมานุสารี รูปโน้นเป็นสัทธานุสารี รูปโน้นมีศีล มีกัลยาณธรรม รูปโน้นทุศีล มีธรรมเลวทราม เธอต่างได้ลาภด้วยเหตุนั้น ครั้นได้แล้วก็ไม่กำหนัด ไม่ยินดี ไม่หมกมุ่น มักเห็นโทษ มีปัญญา เป็นเหตุออกไปจากภพบริโภคอยู่
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย บริษัทนี้เรียกว่า บริษัทผู้หนักในสัทธรรม ไม่หนักในอามิส
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย บริษัท ๒ จำพวกนี้แล ดูกร ภิกษุทั้งหลาย บรรดาบริษัท ๒ จำพวกนี้ บริษัทที่หนักในสัทธรรม ไม่หนักในอามิสเป็นเลิศ
ท่านผู้ฟังมักจะถามเสมอ ใครได้ญาณไหนแล้ว สนใจที่จะทราบ พยายามที่จะถาม แต่ว่าท่านผู้ฟังไม่ควรที่จะเป็นผู้ที่เพียงเชื่อเพราะได้ฟัง ใครบอกก็เชื่อ อย่างนั้นไม่ใช่เหตุที่จะทำให้ท่านได้เป็นผู้ที่สมบูรณ์ด้วยเหตุและผล แต่จะทำให้ท่านเป็นผู้ที่เชื่อทุกอย่างที่คนอื่นบอก หรือว่าเวลาที่ท่านถาม ใครพูดอย่างไร ท่านก็คิดว่าคนนั้นเป็นผู้ที่มีสัจจะ เพราะฉะนั้น ก็ได้บรรลุคุณธรรมดังที่กล่าวแล้ว แต่ว่านั่นไม่ใช่วิธีที่จะทำให้ท่านเป็นผู้ที่สมบูรณ์พร้อมด้วยเหตุและผล
สำหรับหนทางที่จะทำให้ท่านผู้ฟังไม่ใช่เป็นบุคคลที่เพียงเชื่อเพราะได้ฟัง คือการพิจารณาเหตุผลที่ได้ยินได้ฟัง ไม่ว่าจากท่านผู้หนึ่งผู้ใดก็ตาม และประพฤติปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ธรรมที่ได้ยินได้ฟัง ท่านก็จะรู้ได้ว่า ข้อปฏิบัติเช่นใด บุคคลใดได้ปฏิบัติแล้ว ก็ได้รู้แจ้งสภาพธรรมนั้นตามความเป็นจริง ซึ่งไม่ควรที่จะมีบุคคลที่ท่านคิดว่าเป็นมิตรสหายชักชวนให้เชื่อเพียงเพราะได้ฟังเท่านั้น แต่ว่าต้องเป็นผู้ที่มีเหตุผลในการที่จะเชื่อ ด้วยปัญญาของท่านเอง ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 226