
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พาล หมายถึงผู้ที่มากไปด้วยอกุศลไม่มีปัญญาเป็นเครื่องนำทาง ชีวิตจึงคิดชั่ว ทำชั่ว พูดชั่ว เป็นผู้ตัดประโยชน์ทั้งโลกนี้และโลกหน้า โดยสภาพธรรมะได้แก่อกุศลธรรม
พาละคือบุคคลผู้โง่เขลา เป็นบุคคลผู้มีชีวิตอยู่เพียงแค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น ไม่ได้ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ไม่ได้สะสมกุศล ไม่ได้สะสมปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกเลย
บัณฑิต หมายถึงผู้มีปัญญา บุคคลผู้ดำเนินไปด้วยปัญญาจึงคิดดี ทำดี พูดดี บัณฑิตสูงสุดคือพระพุทธเจ้า
ความไม่ดีเป็นอกุศลธรรม เมื่อเกิดขึ้นแล้วถ้าเป็นความไม่ดีของผู้อื่นเหมือนจะเห็นได้ง่าย แต่ถ้าเป็นความไม่ดีของตนเองเหมือนจะเห็นไม่ได้โดยง่าย
ทุกอย่างที่ไม่ดีทั้งหมดนั่นคือพาล คือการที่ไม่สามารถที่จะเข้าใจถูกต้องว่าสิ่งที่ดีคืออะไรและสิ่งที่ไม่ดีคืออะไร
ความดีกับความชั่วมีจริงไม่ใช่ใคร มีจิตและเจตสิกคือสภาพธรรมะที่มีจริงเป็นธาตุรู้ และรูปธรรมที่ไม่สามารถรู้อะไรได้เลย
ต้องค่อยๆ เข้าใจความจริงขณะนี้คือธรรมะสิ่งที่มีจริงที่ไม่ใช่เรา
เห็นขณะนี้เป็นกุศลหรืออกุศล?? เห็นเกิดขึ้นเป็นผลของกรรมที่ต้องเห็นซึ่งเป็นผลของกุศลหรืออกุศล เพราะฉะนั้นขณะเห็นไม่ใช่กุศลและไม่ใช่อกุศล
หลังเห็นแล้วเป็นพาลหรือเป็นบัณฑิต?? ไม่รู้และไม่ดีเป็นพาล ความจริงต้องเป็นความจริง มิเช่นนั้นจะเป็นบัณฑิตไม่ได้ถ้าไม่รู้ว่าขณะไหนเป็นพาล
สภาพธรรมะคือจิตและเจตสิก รูปไม่เป็นพาลไม่เป็นบัณฑิต เพราะฉะนั้นต้องจิตและเจตสิกที่เกิดพร้อมกันเท่านั้น

ฟังธรรมะเพื่อเข้าใจความจริงให้ถูกต้องละเอียดยิ่งขึ้นถูกต้องตรงตามความเป็นจริง
จะไม่ให้อกุศลเกิดได้ไหม?? ฟังแล้วก็จะละเลย ฟังแล้วละได้ไหม ... เร็วอะไรปานนั้น ... ไม่ได้คิดถึงอวิชชาและโลภะและกิเลสทั้งหลายที่สะสมมาในแสนโกฏกัปประมาณไม่ได้เลยว่ามากมายขนาดไหน ทั้งหมดอยู่ที่จิตและกว่าจิตจะมีสิ่งที่ค่อยๆ ชำระล้างความสกปรก ความเน่า ความเป็นโรคอย่างยิ่งของกิเลสทั้งหลาย จะเอาอะไรมาล้างชำระจิตให้ค่อยๆ สะอาดขึ้น ... ไม่มีเลยนอกจากพระธรรม
แต่ละคำที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ถ้ามีความเข้าใจถูกไม่ใช่แค่ฟังเผินๆ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น หนทางเดียวที่จะเป็นผู้ตรงและรู้ความจริงคือค่อยๆ เข้าใจว่า ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏแล้วยังไม่รู้ความจริง ค่อยๆ เข้าใจว่าเป็นอนัตตาไม่ใช่เรา ทุกอย่างเกิดและดับรวดเร็วมาก ค่อยๆ สะสมเพื่อที่จะให้สิ่งที่มีในจิตคือความไม่รู้และอกุศลทั้งหลายค่อยๆ สะอาดทีละนิดทีละหน่อยจนกว่าจะหมดสิ้น
ขณะใดที่ฟังธรรมแล้วไม่รู้ลักษณะของเห็น ขณะนั้นเป็นอกุศล
ชีวิตสั้น ได้ฟังธรรมะแล้วเข้าใจขึ้น ... ไม่หายไปไหน ... สะสมอยู่ในจิต ... แต่มากหรือน้อยแล้วแต่ว่าขณะนี้ฟังธรรมะแล้วเข้าใจแค่ไหน ... ก็สะสมต่อไป
ถ้าไม่รู้ว่าพาลแล้วจะเป็นบัณฑิตได้อย่างไร!!!

พาลธรรมคือการกระทำที่ทำให้เป็นคนโง่ และบัณฑิตธรรมคือการกระทำที่ทำให้เป็นคนฉลาด ... เมื่อเข้าใจ
ต้องฟังจนกว่าจะเข้าใจไม่ใช่ฟังจนกว่าจะไปรู้ ... ถ้าไม่เข้าใจไม่มีทางรู้เพราะทุกคนอยากรู้ อยากประจักษ์แต่ไม่อยากเข้าใจ เริ่มเข้าใจโดยเข้าใจว่าเห็นเดี๋ยวนี้มีจริงๆ เข้าใจเห็น ฟังจนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อยจนกว่าจะมั่นคงไม่หลงลืมว่าขณะนี้จิตกำลังรู้แจ้งอารมณ์
เดี๋ยวนี้โง่ไหม?? ถ้าไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏก็โง่ เห็นแล้วก็ไม่รู้ว่าเห็นเป็นอะไร ความจริงไม่รู้ก็คือพาลเพราะว่าเป็นอกุศล แล้วก็โง่ ... เตือนให้รู้ว่าโง่ก็ไม่รู้ว่าโง่ พาลก็ไม่รู้ว่าพาล จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมและก็เป็นคนตรง
ความจริงก็โง่มานาน เห็นแล้วไม่รู้ ... โง่หรือฉลาด??
ความชั่วจะดีไม่ได้ จะเป็นบัณฑิตไม่ได้ อวิชชาคือโมหะ โมหะคือไม่รู้ ไม่รู้ก็คือโง่ ... ต้องตรง!!! เพราะฉะนั้นอกุศลจะเป็นกุศลไม่ได้
คนโง่ที่รู้ว่าโง่ก็ยังจะเป็นบัณฑิตได้ ... แต่คนโง่ที่ไม่รู้ว่าโง่ไม่มีวันจะเป็นบัณฑิตได้ ... ปัญญารู้ไม่ใช่คนโง่รู้
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ