กว่าจะผู้เดียวต้องเป็นสติไม่ใช่เรา
โดย เมตตา  19 ส.ค. 2568
หัวข้อหมายเลข 50709

[เล่มที่ 26] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม 2 - หน้า 781

๑๐. เถรนามสูตร

ว่าด้วยเรื่องภิกษุรูปหนึ่งชื่อเถระ

[๗๑๙] พ. ดูก่อนเถระ การอยู่คนเดียวนี้มีอยู่ เราจะกล่าวว่าไม่มีก็หาไม่ เถระ อนึ่ง การอยู่คนเดียวของเธอย่อมเป็นอันบริบูรณ์โดยพิสดารกว่าโดยประการใด เธอจงฟังโดยประการนั้น จงทำไว้ในใจให้ดี เราจักกล่าว ท่านพระเถระทูลรับ พระผู้มีพระภาคเจ้า แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสดังต่อไปนี้.

[๗๒๐] ดูก่อนเถระ ก็การอยู่คนเดียว ย่อมเป็นอันบริบูรณ์โดยพิสดารกว่าอย่างไร ในข้อนี้ สิ่งใดที่ล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็ละได้แล้ว สิ่งใดยังไม่มาถึง สิ่งนั้นก็สละคืนได้แล้ว ฉันทราคะในการได้อัตภาพที่เป็นปัจจุบันถูกกำจัดแล้วด้วยดี การอยู่คนเดียวย่อมเป็นอันบริบูรณ์โดยพิสดารกว่าอย่างนี้แล.

[๗๒๑] พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปว่า

เราย่อมเรียกนรชนผู้ครอบงำขันธ์ อายตนะ ธาตุ และไตรภพทั้งหมดได้ ผู้รู้ทุกข์ทุกอย่าง ผู้มีปัญญาดี ผู้ไม่แปดเปื้อนในธรรมทั้งปวง ผู้ละสิ่งทั้งปวงเสียได้ ผู้หลุดพ้น ในเพราะนิพพานเป็นที่สิ้นตัณหา ว่าเป็นผู้มีปกติอยู่คนเดียว ดังนี้.

จบเถรนามสูตรที่ ๑๐


อ.ธีรพันธ์: มีปกติอยู่ผู้เดียวในความหมายที่พระองค์ตรัสถึงคนเดียวในลักษณะที่พิสดารยิ่งไปกว่าตามที่ทรงแสดงนี่ครับ

ท่านอ าจารย์: แน่นอน!! ที่พระองค์ได้ตรัสแล้วว่า พระองค์จะตรัสโดยนัยยะนั้นที่สามารถบรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์

อ.ธีรพันธ์: ครับ อยู่ผู้เดียว ฟังเผินๆ ก็ยังมีคนอยู่ครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: นั่นแหละ! พระองค์ถึงได้ตรัสว่า โดยนัยยะที่จะทำให้ถึงความเป็นพระอรหันต์ ต้องต่างกับ ที่ทุกคนเข้าใจ

อ.ธีรพันธ์: คนเดียวจริงๆ ก็คือไม่มีคน ถ้าไม่มีคนก็คือรู้ความจริงของธรรมะครับ

ท่านอาจารย์: แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ไม่มีคน?

อ.ธีรพันธ์: เป็นความเข้าใจที่ค่อยๆ เกิดขึ้นครับ

ท่านอาจารย์: นั่นเกิดขึ้นได้อย่างไร?

อ.ธีรพันธ์: ต้องอาศัยการฟังด้วยดีครับ

ท่านอาจารย์: ด้วยดีอย่างไร?

อ.ธีรพันธ์: ด้วยดี ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ไตร่ตรองแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นครับ

ท่านอาจารย์: และเข้าใจขึ้นอย่างไร?

อ.ธีรพันธ์: เข้าใจขึ้น เพราะว่าเห็นความลึกซึ้งแต่ละคำ

ท่านอาจารย์: แล้วอย่างไร เห็นแล้วอย่างไร?

อ.ธีรพันธ์: จนกว่าจะเป็นธรรมะที่ปรากฏจริงๆ คือไม่ใช่ใครเลย

ท่านอาจารย์: โดยอย่างไร?

อ.ธีรพันธ์: โดยค่อยๆ อบรมครับ

ท่านอาจารย์: อบรมอะไร อบรมอย่างไร?

อ.ธีรพันธ์: อบรมความรู้ความเข้าใจที่ยังไม่มีก็ค่อยๆ มีขึ้นจากความเข้าใจ

ท่านอาจารย์: จากไม่มีแล้วค่อยๆ มีอย่างไร?

อ.ธีรพันธ์: ก็รู้ตามความเป็นจริงว่ายังไม่เข้าใจครับ

ท่านอาจารย์: นั่นซิ แล้วจะรู้ได้อย่างไร เวลานี้จะรู้ตามความเป็นจริงได้อย่างไร?

อ.ธีรพันธ์: ไม่สามารถที่จะไปรู้ได้โดยความเป็นเราครับ

ท่านอาจารย์: นั่นซิ แล้วจะรู้ได้โดยไม่ใช่เราอย่างไร?

อ.ธีรพันธ์: เข้าใจขึ้นในแต่ละคำที่ทรงแสดง อย่างเช่น คำว่าขันธ์

ท่านอาจารย์: ว่าอย่างไร ขันธ์?

อ.ธีรพันธ์: ก็แล้วแต่ว่า ขันธ์ใดที่ปรากฏครับ

ท่านอาจารย์: แล้วอย่างไร ปรากฏแล้วเดี๋ยวนี้ขันธ์ ขันธ์ปรากฏ

อ.ธีรพันธ์: ก็ยังเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ครับ

ท่านอาจารย์: เห็นไหม ความลึกซึ้งจริงๆ ต้องสามารถจะรู้ได้โดยสติปัฏฐานใช่ไหม?

อ.ธีรพันธ์: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: อริยสัจจะรอบที่ ๒

อ.ธีรพันธ์: ครับ หนทาง

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น กว่าจะผู้เดียวต้องเป็นสติไม่ใช่เรา ถ้าตรบใดที่ยังไม่ใช่สติปัฏฐานก็ยังเป็นเรา

อ.ธีรพันธ์: อรรถะที่ลึกซึ้งจริงๆ ครับ ถ้าเป็นเราก็ไม่ใช่สติ แต่ก็ทรงใช้คำว่า คนเดียว

เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เข้าใจว่าคนเดียว ก็เข้าใจผิดว่า มีคน แต่ว่าต้องเป็นสติ สติก็ไม่ใช่คนครับ นี่ครับต้องสนทนา เพราะว่าถ้าผ่านไปด้วยความอยากความต้องการก็เหมือนเข้าใจแล้ว ขันธ์ในอดีตหก็เหมือนจะรู้ ดับไปแล้ว ขันธ์ในอนาคตยังมาไม่ถึงก็เหมือนกับจะรู้ และขณะนี้ยังไม่รู้สิ่งที่มีด้วย จะไม่พิสดารไม่ได้ถ้าไม่เข้าใจคำที่ทรงแสดงทีละนิดกับที่เข้าใจทีละคำครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น การสนทนาธรรมที่มีความเข้าใจขึ้น ก็เป็นการบูชาพระรัตนตรัย

เมื่อบูชาแล้ว ทำอะไร? ทำทุกอย่างที่จะเป็นประโยชน์ต่อพระศาสนา ที่จะให้พระศาสนาดำรงอยู่ต่อไป

เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจธรรมะจริงๆ ละเอียดขึ้นๆ ไม่ใช่ว่าเข้าใจแล้ว ผ่านไปได้แล้ว แต่ต้องรู้อย่างละเอียดตรงกันทั้งหมดสอดคล้องกันทั้งหมด

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.ธีรพันธ์ ด้วยความเคารพค่ะ