Thai-Hindi 07 June 2025
- (คุณสุคิน - คุณอาช่าอยากจะทราบเรื่องเจตสิกต่างๆ เจตสิกไหนสำคัญหรือไม่สำคัญ อยากเข้าใจเรื่องเจตสิก) เพราะฉะนั้นเขาจะเข้าใจเรื่องราวของเจตสิกหรือจะเข้าใจธรรม (อยากเข้าใจเจตสิก) แล้วธรรมหล่ะ อยากเข้าใจไหม (อยากเข้าใจ) เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าเดี๋ยวนี้ธรรมอะไรจึงสามารถที่จะเข้าใจความเป็นธรรมซึ่งเป็นเจตสิกด้วย
- ถ้าไม่รู้จักธรรมเดี๋ยวนี้จะรู้จักเจตสิกไหม เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืม ทุกคำที่ได้ฟังต้องเข้าใจสิ่งที่กำลังมีจึงจะมีปัญญารู้ว่า เดี๋ยวนี้เป็นอะไรจริงๆ จึงไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นทุกคำเตือนให้เข้าใจสิ่งที่มีจึงจะเข้าใจธรรมและเจตสิกได้ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ไม่มีทางที่จะเข้าใจธรรมและเจตสิก
- ทุกชาติที่มีโอกาสได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประโยชน์สูงสุดคือรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าขณะไหนเป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา
- เดี๋ยวนี้อะไรมีจริง นี้คือศึกษาธรรมตรงนี้บ่อยๆ จนกระทั่งเข้าใจขึ้น ไม่อย่างนั้นมีแต่เรากับความคิดเรื่องเจตสิก เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่สนทนาธรรมเมื่อเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เข้าใจธรรมที่เป็นอายตนะ ที่เป็นขันธ์ ที่เป็นธาตุ ที่เป็นเจตสิกทุกอย่างเมื่อเข้าใจเดี๋ยวนี้
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้พูดถึงสิ่งที่กำลังมีเพื่อไม่คิดเรื่องอื่น เพื่อปลูกฝังความเข้าใจให้มั่นคง เดี๋ยวนี้เป็นธรรม ทุกขณะเป็นธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดเป็นธรรม เมื่อยังไม่รู้ว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรมจึงต้องพูดถึงเดี๋ยวนี้ให้เข้าใจว่าเป็นธรรมเพื่อไม่หลงเหมือนก่อนเป็นเราที่ต้องการรู้เรื่องเจตสิก
- อีกนานไหมกว่าจะมีความเข้าใจในสังสารวัฏฏ์ว่า สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เป็นธรรม (นานมาก) ถ้าไม่เข้าใจเดี๋ยวนี้จะนานกว่านี้อีกไหม (ถ้าไม่ปลูกฝังอุปนิสสัยก็ไม่มีวันถึง)
- เพราะฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจเดี๋ยวนี้จะเพิ่มความนานออกไปอีกไหม รู้จักสัจจะบารมีแล้วใช่ไหมว่า นี้คือสัจจะความจริงต่อสิ่งที่มีจริงๆ ทุกครั้งที่เข้าใจเป็นปัญญา เป็นสัจจะบารมี จากขณะนี้ไปไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีโอกาสมีคำถามให้คิดว่าเดี๋ยวนี้มีอะไรอีกไหม
- เพราะฉะนั้น โอกาสนี้เป็นโอกาสที่จะทำให้สามารถเข้าถึงและเข้าใจประจักษ์แจ้งความจริงได้เมื่อเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เท่านั้น เพราะฉะนั้นถามเดี๋ยวนี้เพราะไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่กว่าจะมีคำถามอย่างนี้อีก
- เดี๋ยวนี้มีอะไร (คุณอาช่า - เสียง) เสียงมีจริงไหม (มีจริง) เสียงรู้อะไรหรือเปล่า ถ้าไม่มีธรรมที่เป็นธาตุรู้เกิดขึ้นได้ยินเสียงเสียงจะปรากฏได้ไหม เพราะฉะนั้นกำลังได้ยิน ธาตุรู้รู้อะไร (รู้เสียง) ถ้าไม่มีธาตุรู้ อะไรที่กำลังรู้เสียง (ไม่มีอะไรรู้) เพราะฉะนั้นกำลังรู้เสียง อะไรรู้เสียง (จิตรู้) เพราะฉะนั้นจิตเป็นจิตจะเป็นใครไม่ได้ เคยคิดว่าเป็นเราคิดแต่ความจริงอะไรคิด (เป็นจิต ไม่มีเรา)
- กำลังอร่อย อะไรรู้สิ่งที่อร่อย (จิตรู้) จิตเกิดตามลำพังโดยไม่มีปัจจัยได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นขณะใดที่มีจิตต้องมีธรรมที่เป็นปัจจัยให้จิตเกิด ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้จะไม่มีใครรู้เลยว่า ขณะที่จิตเกิดขึ้นรู้ต้องมีสภาพธรรมที่เป็นปัจจัยเกิดด้วย
- สภาพธรรมที่เป็นปัจจัยที่ต้องเกิดพร้อมจิต รู้สิ่งเดี๋ยวกับจิตและดับไปพร้อมจิตแยกกันไม่ได้เลยคือ เจตสิก เพราะฉะนั้นต้องเริ่มเข้าใจมั่นคงว่า ทุกขณะที่จิตเกิดต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยแต่เจตสิกจะเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่จิตรู้ไม่ได้เลย
- เมื่อเจตสิกเกิดกับจิตรู้อารมณ์เดียวกับจิตแต่ไม่ใช่จิต เจตสิกจะมีลักษณะอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้จิตอะไรเกิดขึ้น (ได้ยิน) แล้วเจตสิกเกิดร่วมด้วยหรือเปล่า (เกิดร่วมด้วย) ไม่ใช่ฟังเฉยๆ เมื่อบอกว่ามีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ต้องรู้ว่ามีเจตสิกอะไรเกิดร่วมด้วย ไม่ใช่ไปจำชื่อเจตสิกเยอะๆ แต่ขณะที่ได้ยินเกิดขึ้นมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย เป็นผู้ตรงว่า แล้วเจตสิกอะไรเกิดร่วมกับจิตได้ยิน
- (คุณสุคิน - อธิบายเป็นคำถามให้เขาพิจารณา ไม่ได้เป็นคำถามให้เขาตอบ) แต่ไม่ใช่ให้เขาไปจำ ให้เขารู้ความจริงว่า มีเจตสิกอะไรเกิดร่วมด้วยเพื่อให้เขารู้ขณะนี้เดี๋ยวนี้
- (คุณสุคิน - ทีละอันใช่ไหม) เขาไม่รู้อะไรสักอย่างได้แต่จำชื่อ เพราะฉะนั้นเป็นคนตรงถ้าพูดเจตสิกไม่ใช่เพียงจำชื่อแต่รู้ว่าเดี๋ยวนี้มีเจตสิกอะไร (เขาพูดอันแรกคือชีวิตตินทริยะ) คำเดียวพอ รู้จักแค่ไหน เดี่ยวนี้รู้ไหม (ไม่รู้) แต่เริ่มเข้าใจใช่ไหม (เข้าใจว่าต้องมีเพราะทำกิจให้มีชีวิต)
- เจตสิกนี้จะปรากฏให้รู้ไหม (ไม่) เพราะอะไร (ปัญญาไม่พอที่จะให้รู้) แน่นอนเพราะฉะนั้นจะรู้ชีวิตินทริยเจตสิกได้ไหม (ถ้าปัญญาเจริญรู้ได้) เพราะอะไร (เพราะถ้าปัญญาถึงระดับนั้นก็สามารถรู้อะไรก็ได้ที่เกิด) เพราะอะไร (เพราะรู้ว่าธาตุอะไรเป็นธาตุที่เกิดแล้วก็รู้) แน่นอน รู้ไปทำไมเพื่ออะไร (เพื่อเข้าใจอย่างชัดเจนว่าไม่มีเรา) ต้องไม่ลืมเลย จุดประสงค์ไม่ใช่ต้องการรู้มากๆ เข้าใจมากๆ แต่รู้ความจริงว่า ไม่ใช่เรา เพราะเป็นธรรมนั้นๆ
- เพราะฉะนั้น ชีวิตินทริยะเป็นเจตสิกใช่ไหม ถามว่า ชีวิตินทริยะมีจริง มีลักษณะอย่างไร มีกิจอาการปรากฏอย่างไร (ตอนนี้รู้ว่ากิจคือเพื่อมีชีวิต กิจนี้จะปรากฏให้เห็น) เป็นสภาพธรรมที่ทำให้สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มีชีวิต เพราะฉะนั้นจิตมีชีวิตเพราะชีวิตินทริยเจตสิกเกิดร่วมด้วยแต่ชีวิตินทริยะมี ๒ อย่าง ชีวิตินทริยะที่เป็นนามธรรมและชีวิตินทริยะที่เป็นรูปธรรม
- ต้นไม้มีชีวิตินทริยรูปไหม (ไม่แน่ใจ) ตุ๊กตาเหมือนคนมีชีวิตินทริยรูปไหม (ไม่มี) คนที่มีชีวิตกับคนที่ตายขณะนั้นรูปเหมือนกันหรือต่างกัน (ต่างกัน) เพราะฉะนั้น ต้นไม้มีชีวิตรูปไหม (ยังไม่มั่นใจ) แมวมีชีวิตรูปไหม (มี) นกตายทันทีเดี๋ยวนี้กับนกที่ยังไม่ตาย นกตายมีชีวิตรูปไหม (ยังไม่ทราบยังไม่มั่นใจเรื่องความต่าง ยังไม่เห็นความต่างของนกตายกับนกไม่ต่าง รู้แค่ว่ามีจิตกับไม่มีจิต)
- เพราะฉะนั้น ไม่รีบร้อนศึกษาธรรมที่ลึกซึ้ง ต้องตรงต่อธรรม ทุกวันที่เห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพิ่มความเข้าใจธรรมในสิ่งนั้น เพราะฉะนั้น ไม่ว่าได้ยินอะไรอยู่ในพระไตรปิฎก ทำไมจะเลือกรู้อย่างนั้นอย่างนี้ในเมื่อสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้สามารถจะรู้ในความละเอียดขึ้นได้
- รูปคุณอาช่าเหมือนคุณอาช่าไหม (ไม่เหมือนต่างกันมาก) ถ้าอย่างนั้นต่างกันรูปนั้นก็ไม่ใช่รูปคุณอาช่าสิ (คิดต่อไปว่ามันไม่ใช่ รูปก็คือรูป) เห็นไหม ศึกาาธรรม คิดเอง จะสามารถรู้ความจริงได้ไหมและเลือกที่จะรู้นั่นรู้นี่ เป็นเราหรือเปล่า ไม่มีทางที่ละความเป็นเราได้
- เพราะฉะนั้นทุกคำลึกซึ้งต้องพูดสั้นๆ จะได้ลึกลงไปไม่เอาเรื่องอื่นมาปะปน ให้เขาเข้าใจว่าเรากำลังพูดถึงหนึ่งจนกว่าจะเข้าใจหนึ่งที่พูดถึงเพิ่มขึ้น ไม่อย่างนั้นเราจะพูดทำไม เสียเวลา เรากำลังพูดถึงชีวิตินทริยะ พูดแต่ชื่อ พูดแต่คำ พูดแต่ความหมายสำหรับจำหรือ ได้ยินคำว่า ชีวิตินทริยะ เข้าใจหรือไม่เข้าใจดีกว่ากัน
- เริ่มใหม่ ชีวิตินทริยะคืออะไร (เป็นสิ่งนั้นที่ทำให้มีชีวิต) ชีวิตินทริยะเป็นสิ่งที่ทำให้ปรากฏว่าสิ่งนั้นมีชีวิต รูปภาพนกกับตัวนกเหมือนกันไหม (อันนึงเป็นรูปอันนึงเป็นตัวจริง) เพราะอะไรจึงทำให้รู้ว่า นั่นเป็นรูปนี่เป็นนกต่างกัน (เพราะนกขยับตัว) รูปนกขยับตัวขยับปีมีไหม (ถ้าเป็นภาพวีดีโอก็มี) เป็นนกจริงๆ หรือเปล่า (ไม่เป็น) ทำไมรู้ว่าไม่เป็นนกจริง (เพราะรู้ว่าเป็นวีดีโอ)
- ทำไมรู้ว่า ไม่ใช่นกจริงเป็นวีดิโอ (เป็นความรู้ทั่วไป) เพราะอะไรจึงมีความคิดอย่างนี้ (รู้ทันทีว่า ไม่ได้เป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน) อยู่ดีๆ ก็คิดออกมาเองโดยไม่มีความต่างของรูปนั้นหรือ รูปอาช่าแต่งตัวให้เหมือนรูปทุกอย่าง ยืนนิ่งๆ เหมือนกันจะรู้ไหมว่า รูปไหนเป็นอาช่า รูปไหนเป็นรูปของอาช่า (รู้จากการขยับตัว) ไม่ขยับเลยรู้ไหม (ไม่มีทางรู้เลย ต้องเอานิ้วไปใกล้จมูกให้รู้ว่าหายใจหรือไม่หายใจ)
- ไม่ต้องทำอย่างนั้นก็รู้ใช่ไหม (ยกตัวอย่าง แต่งตัวแต่งหน้าหุ่นให้เหมือนคน แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าไม่ใช่คน) รู้สิรู้แน่ๆ (รู้ได้อย่างไร) เพราะว่ารู้ที่ไม่ได้เกิดจากกรรมไม่มีชิวิตินทริยรูป ไม่มีรูปที่ดำรงให้รูปนั่นเป็นรูปที่มีชีวิต ไม่ใช่ว่าคุณอาช่าจะต้องเอานิ้วไปรอที่จมูกของทุกรูปถึงจะรู้ว่าอันไหนมีชีวิตอันไหนไม่มีชีวิต แม้แต่ความต่างของรูปไปกระทบสิ่งที่เราเรียกว่าแขนกับแขนจริงๆ ก็ต่างกัน นี้เป็นความต่างของคนเป็นกับคนตายทุกสิ่งทุกอย่าง
- มีตา มีหู มีจมูกเป็นคนเป็น พอตายมีตา มีหู มีจมูกแต่ไม่มีชีวิตินทริยรูป เพราะฉะนั้นชีวิตินทริยรูปมีจริงไหม เพราะฉะนั้นจึงมีชีวิต ๒ อย่าง ที่เป็นรูปที่ทำให้รู้ว่ารูปนั้นมีชีวิตที่เกิดจากกรรมจึงมีชีวิตเป็นชีวิตินทริยรูปและชีวิตินทริยนาม สภาพทั้งหลายที่สามารถรู้สิ่งนั้นสิ่งนี้ได้เป้นสิ่งที่มีชีวิตจึงสามารถจะทำหน้าที่การวานนั้นได้
- สามารถจะรู้ชีวิตินทริยเจตสิกได้ไหม (รู้ได้) ใครรู้ (ใครที่มีปัญญาพอ) เดี๋ยวนี้รู้ได้ไหม (ไม่ได้) เพราะอะไร (เพราะปัญญาไม่พอ) เพราะอะไร (เพราะเวลานี้ความเข้าใจแทบจะไม่มีเลย) เพราะอะไร (เพราะอวิชชาเยอะมาก) เพราะอะไร (เพราะปัญญายังน้อยมาก) เพราะอะไร (รู้แค่นี้เพราะความเข้าใจ อวิชชาเยอะ) แต่ที่ไม่รู้แน่ๆ เพราะอะไร (เพราะความเข้าใจน้อย) รู้ไม่ได้เดี๋ยวนี้รู้ไม่ได้เพราะอะไร ถึงแม้มีปัญญามากจะรู้ไม่ได้เพราะอะไร (เพราะไม่ปรากฏ ที่จะรู้ได้เฉพาะสิ่งที่ปรากฏ)
- เห็นไหมต้องตรง อะไรที่ไม่ปรากฏจะรู้ได้ไหมแม้มี เดี๋ยวนี้จะรู้อะไรได้ (รู้สีได้) รู้หรือยัง (ยังไม่รู้) นี่คือความตรงที่ทำให้รู้ว่า ไม่รู้อะไร ถ้าไม่ได้ฟังธรรมไม่มีความเข้าใจเลย แม้สิ่งที่ปรากฏก็ไม่สามารถจะรู้ความจริงได้ เพราะฉะนั้นต้องรู้จุดประสงค์จริงๆ ของการฟัง ไม่ใช่เพื่ออะไรเลยทั้งสิ้นนอกจากเพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมี ถ้าไม่สนใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏจะไม่สามารถรู้อะไรได้เลย เพราะฉะนั้นได้ยินคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่าสิ่งนั้นคืออะไร
- กว่าจะรู้จุดประสงค์จริงๆ คือ นี้คือประโยชน์ที่จะค่อยๆ สะสมเป็นเหตุให้เข้าใจถูกต้องในสิ่งที่กำลังปรากฏได้ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้แต่ยังไม่ปรากฏ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงสิ่งที่มีแต่ละหนึ่งเพื่อจะได้ไม่คิดถึงสิ่งอื่น คุณอาช่าเริ่มคิดถึงสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ว่ามีอะไรบ้าง แม้ยังไม่ปรากฏให้รู้แต่มีและเริ่มเข้าใจว่าสิ่งนั้นมี มีอะไรบ้างที่มีเดี๋ยวนี้
- ไม่ได้ถามคุณสุคิณ ถามคุณอาช่าว่า เดี๋ยวนี้มีอะไรบ้างที่มีแต่ไม่ได้ปรากฏที่เขารู้ (ชีวิตินทริยะไม่ปรากฏ เอกัคคตาไม่ปรากฏ มนสิการไม่ปรากฏ) อะไรปรากฏ (สีปรากฏ) เพราะฉะนั้นจะรู้ได้ มีมากมายหลายอย่างแต่สิ่งที่ปรากฏๆ ได้เมื่อเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ๖ ทางเท่านั้น
- รู้ว่าหุ่นไม่ใช่คน รู้ได้ทางไหน รู้ว่าตุ๊กตาหมาไม่ใช่หมา รู้ได้ทางไหน (ต้องให้ท่านอาจารย์ช่วยเพราะยังไม่มั่นใจระหว่างทางปัญจทวารและทางมโนทวาร) ก่อนจะเห็นเป็นแมวต้องมีเห็นก่อนใช่ไหม สีของตุ๊กตาหมากับสีของหมาเป็นสีเดียวกันหรือเปล่า (เห็นสีไม่มีความต่างกัน) เห็นทีละสีใช่ไหม (ไม่สามารถรู้สี ๒ สีพร้อมกันได้)
- เพราะฉะนั้นเห็นสีทางตา จำสีทางตา รู้แจ้งสีทางตา ๑ ขณะ ใครจะรู้ว่าจบทางตา ทางใจรู้ต่อทันที ทางใจรู้โดยไม่ต้องอาศัยสัมปฏิฉันนะ สันตีรณะอะไรเลยทั้งสิ้น ทันทีที่ทางตาดับไปมีภวังค์คั่น ทางใจรับรู้ต่อเหมือนถ่ายเอกสารทันที ก่อนที่จะเห็นสีหมาจริงๆ นี่เป็นสีหมาตุ๊กตาหมา เพราะฉะนั้นตุ๊กตาหมาเห็นแล้วและขณะต่อไปเห็นสีของหมาจริงๆ เพราะฉะนั้นจึงสามารถรู้ความต่างว่าเป็นสีตุ๊กตาหมาและเป็นสีหมา
- (คุณอาช่า - เห็นเฉพาะสี รู้ได้อย่างไรว่า อันหนึ่งเป็นสีและอันหนึ่งเป็นของจริง) เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจความละเอียดอย่างยิ่งของจิต ๑ ขณะ ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างมั่นคงในความเป็นธรรม ไม่มีทางที่จะละความเป็นเรา ไม่ลืมนี้เป็นขั้นฟังปริยัติ ถ้าไม่รอบรู้จริงๆ ว่า เพื่อละความไม่รู้ซึ่งเข้าใจว่าเป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด การศึกษาโดยไม่เข้าใจในความไม่ใช่เรา ในพระไตรปิฎกมีข้อความว่า เปรียบเหมือนงูพิษจับงูพิษข้างหางงูพิษนั้นต้องกัดแน่
- ในพระไตรปิฎกมีข้อความแสดงบุคคลที่แม้เดินตามหลังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เห็น ได้เฝ้า ได้ฟังด้วยตนเองก็ยังมีความเห็นผิด มีไหม นี้เป็นการเตือนว่าการศึกษาคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องเคารพในความลึกซึ้งอย่างยิ่ง กว่าจะมีความมั่นคงในการเข้าใจว่า ไม่ใช่เรา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมในชีวิตประจำวันทั้งหมดทุกประการ
- เดี๋ยวนี้มีชีวิตินทริยเจตสิกไหม (มี) เดี๋ยวนี้มีชิวิตินทริยรูปไหม อย่างน้อยที่สุดวันนี้คุณอาช่าก็ได้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น กว่าจะสะสมทีละเล็กทีะน้อยจนค่อยๆ เห็นความไม่ใช่เราทีละเล็กทีละน้อยได้ นี้เป็นจุดประสงค์ของการศึกษาธรรมฟังคำของผู้ที่ตรัสรู้แล้วใช่ไหม
- เพราะฉะนั้นขอเชิญคุณอาช่ากล่าวถึงคำแรกที่ได้สนทนา เราจะได้สนทนาถึงคำนั้น (เจตสิก) เราพูดถึงเจตสิกแล้วใช่ไหม ยังมีอะไรสงสัยเรื่องเจตสิกหรือธรรมอื่นไหม ชีวิตรูปเป็นเจตสิกหรือเปล่า (อยากฟังเพิ่มเติมยังไม่ชัดเจน)
- ถามว่า ชีวิตินทริยรูปเป็นชีวิตินทริยเจตสิกหรือเปล่า (ไม่) ต้นไม้มีชีวิตินทริยรูปไหม (ไม่) ตาจักขุปสาทมีชีวิตินทริยรูปไหม (มี) รูปตามีชีวิตินทริยรูปไหม ผไม่มี) เพราะฉะนั้นแมวมีชีวิตินทริยรูปไหม (มี) คุณอาช่าชอบสุนัขหรือชอบรูปสุนัข (ชอบตัวจริง รูปก็ชอบ) ชอบตุ๊กตาสุนัขหรือชอบสุนัข (ชอบตัวสุนัข) แน่หรือไม่ชอบตุ๊กตาสุนัขเลยหรือสักตัวหนึ่ง (อุปนิสสัยไม่ใชอบตุ๊กตา)
- เพราะฉะนั้นชีวิตประจำวันทั้งหมดเป็นธรรมหรือเปล่า จนกว่าจะรู้ว่าทุกขณะที่ปรากฏเป็นธรรมอะไร มีธรรมอะไรที่คุณอาช่าอยากจะรู้วันนี้อีกไหม (อยากจะรู้เจตสิกอื่นด้วย) เพราะฉะนั้นเข้าใจเรื่องชีวิตินทริยเจตสิกกับชีวิตินทริยรูป ไม่สงสัยอะไรแล้วใช่ไหม (ไม่มีคำถาม)
- ถ้าอย่างนั้นถามว่า เดี๋ยวนี้มีเจตสิกอะไรบ้าง (ชีวิตินทริยะมีแน่นอน เอกัคคตาและมนสิการ) มีผัสสะเจตสิกไหม (มีผัสสะและถ้าไม่มีผัสสะอย่างอื่นก็เกิดไม่ได้) เพราะฉะนั้นผัสสะเป็นอาหารปัจจัย นำมาซึ่งอาหารแก่จิต เพราะฉะนั้นจิตจะเกิดขึ้นรู้อะไรกินอะไรเพราะผัสสะนำสิ่งนั้นมาให้
- เพราะฉะนั้นเราจะเรียนเรื่องปัจจัยเวลาที่ถึงเวลาเพราะเวลาพูดถึงผัสสะเป็นปัจจัยแน่นอน เป็นปัจจัยอะไร เป็นอาหารปัจจัย ฟังไว้ๆ เพื่อเข้าใจไตร่ตรองเข้าใจขึ้นละเอียดขึ้น ก็ยินดีด้วยในกุศลของคุณสุคินและคุณอาช่า สวัสดีค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ
ทุกชาติที่มีโอกาสได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประโยชน์สูงสุดคือรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าขณะไหนเป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านที่ร่วมสนทนา
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะ (บารมีทุกประการ) ของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ อย่างยิ่งที่ถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ครับ