ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “ขนฺธปญฺจก ”
โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย
ขนฺธปญฺจก อ่านตามภาษาบาลีว่า ขัน - ดะ - ปัน - จะ -กะ มาจากคำว่า ขนฺธ (สภาพธรรมที่ทรงไว้ซึ่งความว่างเปล่า) . กับคำว่า ปญฺจก (หมวด ๕) รวมกันเป็น ขนฺธปญฺจก แปลว่า หมวด ๕ แห่งสภาพธรรมที่ทรงไว้ซึ่งความว่างเปล่า, หมวด ๕ แห่งขันธ์, ขันธ์ ๕ แสดงถึงความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตนเป็นสัตว์ เป็นบุคคลอย่างแท้จริง ขณะนี้ เป็นขันธ์และมีครบทั้ง ๕ ขันธ์ด้วย ไม่พ้นจากขันธ์ ๕ เลย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้ศึกษาพระธรรม ไม่มีทางที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกตรงตามความเป็นจริงได้เลย
ข้อความในมโนรถปูรณี อรรถกถา พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ติตถสูตร แสดงความเป็นจริงของหมวด ๕ แห่งขันธ์ แต่ละขันธ์ไว้ดังนี้
“จิตนั้นได้แก่ วิญญาณขันธ์
เวทนาที่เกิดร่วมกับวิญญาณขันธ์นั้นชื่อว่า เวทนาขันธ์
สัญญาที่เกิดร่วมกับวิญญาณขันธ์นั้นชื่อว่า สัญญาขันธ์
ผัสสะและเจตนา เป็นต้น ที่เกิดร่วมกับวิญญาณขันธ์นั้นชื่อว่า สังขารขันธ์
ขันธ์ทั้ง ๔ ดังว่ามานี้ชื่อว่า อรูปขันธ์ (นามขันธ์ ๔) .
อนึ่ง มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ ชื่อว่า รูปขันธ์.
บรรดารูปขันธ์และอรูปขันธ์นั้น อรูปขันธ์ ๔ เป็นนาม รูปขันธ์เป็นรูป.
มีธรรมอยู่ ๒ อย่างเท่านั้น คือ นาม ๑ รูป ๑”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีมาตลอดระยะเวลาที่ยาวนานถึงสี่อสงไขยแสนกัปป์ ก็เพื่อที่จะทรงตรัสรู้ (รู้อย่างแจ่มแจ้ง) ซึ่งสภาพธรรมที่มีจริงด้วยพระองค์เอง เมื่อพระองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้ว ทรงมีพระมหากรุณา แสดงสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสรู้ให้สัตว์โลกได้เข้าใจถูกเห็นถูกตามพระองค์ ซึ่งมีผู้ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงมากมายนับไม่ถ้วน ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ พระองค์ทรงให้ประโยชน์กับคนอื่นจากแต่ละคำของพระองค์ ถึงแม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะอยู่แสนไกลหรือแม้กระทั่งช่วงเวลาใกล้ที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ก็ไม่ทรงละเว้นโอกาสที่จะให้คนอื่นได้รับสิ่งที่จะเป็นประโยชน์แก่เขาต่อไปในสังสารวัฏฏ์ จะเห็นได้ว่าพระธรรมที่ทรงแสดงมาจากการตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงทุกขณะ การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีจริง ต้องรู้ในสิ่งที่มีจริง ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นธรรมที่ทรงตรัสรู้นั้น ทรงตรัสรู้ความจริงที่มีอยู่ทุกกาลสมัย
ไม่ว่าจะในสมัยใดก็ตามมีสิ่งที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้และทรงแสดง แต่เป็นสิ่งที่ละเอียด ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะว่า ก่อนที่จะได้ทรงบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ทรงบำเพ็ญพระบารมีซึ่งหมายความถึงคุณความดีมากมายมหาศาลเพื่อที่จะไม่ให้จิตเศร้าหมอง ไม่ให้เป็นไปกับอกุศลที่ทำให้ไม่สามารถที่จะเห็นความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวันได้ ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เป็นสาวก จึงควรอย่างยิ่งที่จะได้ฟังพระธรรมด้วยความเคารพ คือ ฟังเพื่อที่จะเข้าใจในแต่ละคำที่ได้ยิน ให้ถูกต้อง ชัดเจนไม่ใช่ให้คิดเอง
แม้แต่ในคำว่า หมวด ๕ แห่งขันธ์หรือขันธ์ ๕ ก็ต้องฟังให้เข้าใจว่า มีในขณะนี้จริงๆ ซึ่งเป็นธรรมที่มีจริง ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย เกิดแล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลย ทุกขณะไม่พ้นไปจากขันธ์ ๕ เลย ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป เมื่อเกิดแล้วก็ดับไปไม่เที่ยง ไม่ยังยืน เป็นสภาพธรรมที่ทรงไว้ซึ่งความว่างเปล่าจากความเป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นตัวตน ที่จะเป็นประโยชน์แล้ว ความเข้าใจมาก่อน ชื่อมาทีหลัง เพราะจริงๆ แล้ว ขันธ์ ๕ มีจริงๆ และมีจริงในชีวิตประจำวันในขณะนี้ด้วย ไม่ว่าจะกล่าวถึงสภาพธรรมใด ก็ไม่พ้นจากขันธ์เลย ไม่ว่าจะเป็นเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย คิดนึก กุศล อกุศล เป็นต้น ล้วนมีจริงๆ เกิดแล้วดับไป ทั้งหมด เป็นขันธ์
หมวด ๕ แห่งขันธ์ หรือ ขันธ์ ๕ โดยประเภท ได้แก่ รูปขันธ์ (รูปทั้งหมด) ๑ เวทนาขันธ์ (ความรู้สึก) ๑ สัญญาขันธ์ (ความจำ) ๑ สังขารขันธ์ (เจตสิกซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต ๕๐ ประเภท มีผัสสะ เป็นต้น) ๑ วิญญาณขันธ์ (จิตทุกประเภท) ๑ ไม่ใช่ให้จำในจำนวน แต่ให้เริ่มเข้าใจว่า ต้องมีจริง เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย สิ่งใดก็ตามที่มีจริงที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ทั้งหมด เป็นขันธ์ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็หมดไป ไม่ได้ยั่งยืนเลย ยกตัวอย่างเช่น ในขณะนี้ สิ่งที่มีจริงๆ ทางตา สิ่งที่ปรากฏทางตาเกิดแล้วปรากฏ เมื่อมีสภาพรู้กำลังเห็นสิ่งนั้น จึงปรากฏว่าสิ่งนั้นมีจริงๆ แล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ต้องเกิดแน่นอนเพราะปรากฏว่ามีจริงๆ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป และ เห็น มีจริงๆ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป จึงประมวลได้ว่า ในขณะที่เห็น มีอะไรบ้างที่เป็นขันธ์ กล่าวคือ สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นรูปขันธ์ และเห็นก็เป็นขันธ์ คือเป็นวิญญาณขันธ์ และในขณะที่เห็นเกิดขึ้น ก็มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ได้แก่ สัญญาเจตสิกเป็นสัญญาขันธ์ เวทนาเจตสิกเป็นเวทนาขันธ์ เจตสิกอีก ๕ ที่เกิดร่วมกับจิตเห็น คือ ผัสสะ (สภาพที่กระทบอารมณ์) เจตนา (สภาพที่จงใจขวนขวายให้สภาพธรรมที่เกิดร่วมกันทำกิจหน้าที่) เอกัคคตา (สภาพที่ตั้งมั่นในอารมณ์) ชีวิตินทรีย์ (สภาพที่เกิดขึ้นทำให้จิตและเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยดำรงอยู่จนกว่าจะดับไป) และ มนสิการะ (สภาพที่ใส่ใจในอารมณ์) ก็เป็นสังขารขันธ์ ล้วนเป็นสภาพธรรมที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ ทีเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป นี้คือ การยกตัวอย่างให้เข้าใจถึงความเป็นขันธ์ ขณะนี้เป็นอย่างนี้ไม่พ้นจากขันธ์เลย ธรรมมีมากทีเดียว จึงต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษาเพื่อความเข้าใจถูกยิ่งขึ้นต่อไป ตราบใดที่ยังเห็นประโยชน์ ฟังต่อไป ศึกษาต่อไป ไม่ขาดการฟังการศึกษา ความเข้าใจถูกก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น มั่นคงขึ้น
การเดินทางในสังสารวัฏฏ์ยังอีกยาวไกล เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ก็ควรจะได้ประโยชน์จากการที่ได้เกิดมาอย่างยากแสนยากด้วยการสะสมความดีทุกประการและมีความมั่นคงที่จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาต่อไป เพราะในที่สุดแล้ว ทุกคนก็จะต้องละจากโลกนี้ไปอย่างแน่นอน ซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นเมื่อใด อาจจะเป็นวันนี้หรือพรุ่งนี้หรือขณะต่อไปก็ได้ จะเป็นผู้ประมาทไม่ได้เลยทีเดียว ความเข้าใจพระธรรมนี้เองที่จะเป็นไปเพื่อขัดเกลาละคลายความไม่รู้ความติดข้องและความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล เป็นต้นได้ในที่สุด
อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ
การเดินทางในสังสารวัฏฏ์ยังอีกยาวไกล เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ก็ควรจะได้ประโยชน์จากการที่ได้เกิดมาอย่างยากแสนยากด้วยการสะสมความดีทุกประการและมีความมั่นคงที่จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาต่อไป
ในที่สุดแล้ว ทุกคนก็จะต้องละจากโลกนี้ไปอย่างแน่นอน ซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นเมื่อใด อาจจะเป็นวันนี้หรือพรุ่งนี้หรือขณะต่อไปก็ได้ จะเป็นผู้ประมาทไม่ได้เลยทีเดียว ความเข้าใจพระธรรมนี้เองที่จะเป็นไปเพื่อขัดเกลาละคลายความไม่รู้ความติดข้องและความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล เป็นต้นได้ในที่สุด
ยินดีในกุศลจิตครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ