กินนรี สัตว์ดิรัจฉาน ไม่พ้นจากโลภะ โทสะ ความทุกข์ ความโศก
โดย chatchai.k  24 พ.ย. 2564
หัวข้อหมายเลข 40884

ขอกล่าวถึงข้อความในชาดกที่แสดงถึงความรู้สึกของสัตว์ดิรัจฉาน ซึ่งถ้าไม่ขัดเกลากิเลสให้เบาบางจากชาติที่เป็นมนุษย์ ไปถึงความเป็นสัตว์ดิรัจฉานแล้ว กิเลสก็มากมายหนาแน่น สะสมสืบต่อไป และหมดโอกาสที่จะขัดเกลาในกำเนิดของ สัตว์ดิรัจฉานด้วย ท่านจะได้พิจารณาคติธรรม แม้ในชาดกก็ไม่ควรที่จะข้ามไป แม้เป็นเรื่องของสัตว์ดิรัจฉาน ก็ไม่พ้นไปจากความทุกข์ ความโศก และเศร้าโศกมากมายถ้าเป็นสัตว์ที่รู้ความมากจนเกือบจะเทียบเท่ามนุษย์ทีเดียว

ที่มา ...

แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 267

แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 268



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 12 พ.ย. 2566

ขุททกนิกาย ชาดก ภัลลาติยชาดก มีข้อความว่า

ได้มีพระราชาทรงพระนามว่า ภัลลาติยะ ทรงละรัฐสีมา เสด็จประพาสป่าล่ามฤค ท้าวเธอเสด็จไปถึงคันธมาทน์วรคิรี มีพันธุ์ดอกไม้บานสะพรั่ง ซึ่งกินนรเลือกเก็บอยู่เนืองๆ

กำเนิดของสัตว์ดิรัจฉานวิจิตรมาก ตั้งแต่สัตว์ที่เล็กที่สุด จนกระทั่งสัตว์ที่รู้ความที่สุด

มีกินนร ๒ สามีภรรยา ยืนกันอยู่ ณ ที่ใด ท้าวเธอประสงค์จะตรัสถาม จึงทรงห้ามหมู่สุนัข และเก็บแล่งธนูไว้ แล้วเสด็จเข้าไปใกล้ ณ ที่นั้น ตรัสถามว่า

ล่วงฤดูหนาวแล้ว เหตุใดเจ้าทั้งสองจึงมายืนกระซิบกระซาบกันอยู่เนืองๆ ที่ริมฝั่งเหมวดี ณ ที่นี้เล่า เราขอถามเจ้าทั้งสองผู้มีเพศเหมือนกายมนุษย์ ชนทั้งหลายในมนุษย์โลกนี้จะรู้จักเจ้าทั้งสองว่าเป็นอะไร

บางทีก็พบสัตว์ที่แปลกมากตามความวิจิตรของจิต

กินนรกล่าวตอบว่า

ข้าแต่ท่านพราน เราทั้งสองเป็นมฤค มีเพศพันธุ์ปรากฏเหมือนมนุษย์ เที่ยวอยู่ตามแม่น้ำเหล่านี้ คือ มาลาคิรีนที ปัณฑรกนที ติกูฏนที ซึ่งมีน้ำใสไหลเย็นสนิท ชาวโลกรู้จักเราทั้งสองว่าเป็น กินนร

พระเจ้าภัลลาติยะตรัสว่า

เจ้าทั้งสองเหมือนได้รับความทุกข์ร้อนเสียเหลือเกิน ปริเทวนาอยู่ เจ้าทั้งสองมีความรักกัน ได้สวมกอดกันสมความรักแล้ว เราขอถามเจ้าทั้งสองผู้มีเพศพันธุ์ดังกายมนุษย์ เหตุไรเจ้าทั้งสองจึงร้องไห้อยู่ในป่านี้ไม่สร่างซาเลย เจ้าทั้งสองเหมือนได้รับความทุกข์ร้อนเสียเหลือเกิน ปริเทวนาอยู่ เจ้าทั้งสองมีความรักกัน ได้สวมกอดกันสมความรักแล้ว เราขอถามเจ้าทั้งสอง ผู้มีเพศพันธุ์ดังกายมนุษย์ เหตุไรเจ้าทั้งสองจึงมาบ่นเพ้ออยู่ในป่านี้ไม่สร่างซาเลย

เป็นสัตว์ดิรัจฉาน ไม่พ้นจากเรื่องของโลภะ โทสะความทุกข์ ความโศกก็มีประการต่างๆ ซึ่งถ้าท่านผู้ฟังยังสะสมโลภะ โทสะไว้มากๆ ถึงจะไปเกิดในกำเนิดไหน ก็ไม่พ้นจากโลภะ โทสะซึ่งแสดงออกมาตามควรแก่กำเนิดนั้นๆ

กินนรกล่าวว่า

ข้าแต่ท่านพราน เราทั้งสองไม่อยากจากกัน ก็ต้องจากกัน แยกกัน อยู่สิ้นราตรีหนึ่ง เมื่อมาระลึกถึงกันและกันก็เดือดร้อน เศร้าโศกถึงกันตลอดราตรีหนึ่งว่า ราตรีนั้นจะไม่มีอีก

พระเจ้าภัลลาติยะตรัสว่า

เจ้าทั้งสองคิดถึงทรัพย์ที่หายไปหรือ หรือว่าคิดถึงบิดามารดาผู้ล่วงลับไปแล้ว จึงได้เดือดร้อนอยู่สิ้นราตรีหนึ่ง เราขอถามเจ้าทั้งสองผู้มีเพศพันธุ์ดังกายมนุษย์ เหตุไรเจ้าทั้งสองจึงต้องจากกันไป

นางกินนรีกล่าวว่า

ท่านเห็นนทีนี้แห่งใด มีกระแสอันเชี่ยว ไหลมาในระหว่างหุบหิน ปกคลุมไปด้วยหมู่ไม้ต่างๆ พันธุ์ ในฤดูฝน กินนรสามีผู้เป็นที่รักของดิฉันได้ข้ามแม่น้ำนั้นไป ด้วยสำคัญว่าดิฉันคงจะติดตามมาข้างหลัง ส่วนดิฉันมัวเลือกเก็บดอกปรู ดอกลำดวน ดอกมะลิซ้อน และดอกคัดเค้าที่บานๆ ด้วยคิดว่าสามีที่รักของเราจะได้ทัดทรงดอกไม้ ส่วนเราก็จะได้สอดแซมดอกไม้ เข้าไปนอนแนบสามีที่รักนั้น

อนึ่ง ดิฉันมัวเลือกเก็บดอกบานไม่รู้โรย ดอกราชพฤกษ์ ดอกแคฝอย ดอกย่านทราย ด้วยคิดว่าสามีที่รักของเราจะทัดทรงดอกไม้ ส่วนเราก็จะได้สอดแซมดอกไม้ เข้าไปนอนแนบสามีที่รักนั้น

อนึ่ง ดิฉันมัวเลือกเก็บดอกสาละพฤกษ์ซึ่งกำลังบานดี ร้อยเป็นพวงมาลัย ด้วยคิดว่าสามีที่รักของเราจะได้สวมใส่พวงมาลัย ส่วนเราก็จะได้สวมใส่พวงมาลัย เข้าไปนอนแนบสามีที่รักนั้น

อนึ่ง ดิฉันมัวเลือกเก็บดอกสาละพฤกษ์ซึ่งกำลังบานดีแล้ว ร้อยกรองให้เป็น พวงๆ ด้วยคิดว่าคืนวันนี้เราทั้งสองจะอยู่ ณ ที่แห่งใด พวงดอกรังนี้จะเป็นเครื่องปูลาด ณ ที่นั้น

อนึ่ง ดิฉันมัวเลินเล่อ บดกฤษณาดำและจันทร์แดงด้วยศิลาด้วยคิดว่า สามีที่รักของเราจะได้ประพรมร่างกาย ส่วนเราประพรมร่างกายแล้ว จักเข้าไปนอนแนบสามีที่รักนั้น

นี่เป็นความประมาทของชีวิต สำหรับสัตว์ซึ่งมีแต่ความสุข และก็เพลิดเพลินไปในชีวิต ในสิ่งที่สวยๆ งามๆ ทั้งหลาย แต่ว่าอกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว ก็ต้องให้ผลแม้แต่สัตว์ดิรัจฉาน

ข้อความต่อไปมีว่า

ครั้งนั้น น้ำมีกระแสอันเชี่ยวไหลมา พัดเอาดอกสาละพฤกษ์ ดอกสน ดอกกรรณิการ์ทั้งหลายไป โดยครู่เดียวนั้น น้ำก็ขึ้นเต็มฝั่ง ถึงเวลาเย็น ดิฉันข้ามแม่น้ำไปไม่ได้ คราวนั้นเราทั้งสองยืนกันอยู่คนละฝั่งแม่น้ำ มองเห็นหน้ากันและกัน ก็หัวเราะครั้งหนึ่ง มองไม่เห็นหน้ากัน ก็ร้องไห้เสียครั้งหนึ่ง คืนวันนั้น ได้ผ่านเราทั้งสองไปโดยยาก

ข้าแต่ท่านพราน เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นเวลาเช้า เราทั้งสองท่องข้ามแม่น้ำอันยุบแห้ง มาสวมกอดกันและกัน ร้องไห้อยู่คราวหนึ่ง หัวเราะอยู่คราวหนึ่ง

ข้าแต่ท่านพรานผู้ภูมิบาล เมื่อครั้งก่อนเราทั้งสองได้พรากกันอยู่นานถึง ๖๙๗ ปี ชีวิตของท่านนี้มีกำหนดเพียง ๑๐๐ ปีเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ใครหนอจะพึงอยู่ปราศจากภรรยาสุดที่รักเสียเล่า

พระเจ้าภัลลาติยะตรัสว่า

ดูกร สหาย อายุของพวกท่านมีประมาณเท่าไร ถ้าท่านทั้งสองรู้ ก็ขอท่านจงบอกอายุของพวกท่านแก่เรา ขอท่านทั้งหลายอย่าได้บิดพริ้ว จงบอกอายุของพวกท่านแก่เรา ตามที่ได้ยินได้ฟังมาจากวุฒบุคคล หรือจากตำหรับตำรา

กินนรกล่าวว่า

ข้าแต่ท่านพราน อายุของเราทั้งสองประมาณ ๑,๐๐๐ ปี อนึ่งในระหว่างอายุนั้น โรคร้ายย่อมไม่มี มีความทุกข์น้อย มีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป เราทั้งสองยังไม่คลายความรักกันและกัน ก็ต้องละทิ้งชีวิตไป

พระเจ้าภัลลาติยะได้ทรงสดับถ้อยคำของกินนรทั้งสองนี้แล้ว ทรงพระดำริว่าชีวิตเป็นของน้อย จึงเสด็จกลับ ไม่เสด็จล่าเนื้อ ได้ทรงบำเพ็ญทาน เสวยราชสมบัติสืบมา


ความคิดเห็น 2    โดย chatchai.k  วันที่ 12 พ.ย. 2566

ไม่ว่าเป็นสัตว์ หรือเป็นมนุษย์ เยื่อใย ความรักชีวิต หรือความต้องการในรูปเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะต่างๆ ไม่หมด ไม่สิ้นสุด แต่ว่าปรากฏออกมาตามสภาพตามลักษณะของกำเนิดนั้นๆ ถ้าเป็นสัตว์ที่รู้ความมาก ความเศร้าโศก โลภะ โทสะ ไม่ผิดกับมนุษย์มาก ถ้าเป็นสัตว์ที่มีกำเนิดต่ำ หรือว่ารู้ความน้อย โลภะ โทสะ โมหะนั้นก็ไม่ปรากฏให้เห็นชัด