
[เล่มที่ 68] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 47
ธมฺม ศัพท์ ในบทว่า ธมฺมฏฺิติาณํ นี้ ย่อมปรากฏในอรรถว่า สภาวะ, ปัญญา, บุญ, บัญญัติ, อาบัติ, ปริยัติ, นิสสัตตตา, วิการ, คุณ, ปัจจัย, ปัจจยุปบันเป็นต้น.
ก็ ธมฺม ศัพท์นี้ ย่อมปรากฏในอรรถว่า สภาวะ ได้ในติกะว่า กุสลา ธมฺมา สภาวธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศล, อกุสลา ธมฺมา สภาวธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศล, อพฺยากตา ธมฺมา สภาวธรรมทั้งหลายที่เป็นอัพยากตะ (๑) .
อ.วิชัย: กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ จากการที่ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงด้วยพระมหากรุณากว่า ๔๕ พรรษา ก็เป็นสิ่งที่ยาก และก็ละเอียด
การที่จะเข้าใจความจริงของธรรมตามที่พระองค์ได้ทรงแสดงไว้นั้น ก็เป็นสิ่งที่ไม่ง่ายเลย ดังนั้น สิ่งใดก็ตามที่เมื่อศึกษาแล้ว ยังมีความสงสัย หรือไม่เข้าใจ ก็จะเป็นปัญหาใช่ไหมครับที่จะสนทนาแล้วก็กล่าวความจริงของสิ่งที่เราได้มีโอกาสศึกษาให้ละเอียดมากขึ้น โดยได้รับความอนุเคราะห์จากท่านอาจารย์นะครับ ที่จะให้ความเข้าใจแก่พวกเรา
จากเมื่อวานนี้ เราก็ได้พูดถึงเรื่องของ อารมณ์ของบิดา ซึ่ง อารัมมณะ หรืออารมณ์ นะครับ ก็คือ เป็นสิ่งที่จิต และเจตสิกรู้ ซึ่งก็เป็นปกติธรรมดาในชีวิตประจำวัน ขณะนี้ก็มีจิต เจตสิกเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ซึ่งเป็นธาตุรู้ ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ แล้วก็สิ่งที่ถูกรู้นั้นก็เป็นอารมณ์ เป็นที่ยินดี เป็นที่ยึดหน่วงของจิต และเจตสิกที่เกิดขึ้นรู้ในสิ่งนั้น นะครับ
เมื่อวานนี้ อ.ธีรพันธ์ ก็เป็นผู้นำสนทนาในเรื่องนี้ ก็กราบ อ.ธีรพันธ์ ในช่วงแรก ก็เป็นความละเอียดอย่างยิ่งที่จะเข้าใจอารมณ์ของบิดา บิดา ก็คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้น พระองค์ทรงรู้ความเป็นจริงของอารมณ์อย่างไร ก็ต้องอาศัยการได้ศึกษาแล้วก็ต้องค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้นนะครับ กราบเรียนเชิญ อ.ธีรพันธ์
อ.ธีรพันธ์: กราบเท้าท่านอาจารย์ มีคำถามที่ว่า อุปนิสสยโคจระ อารมณ์ที่เป็นที่อาศัยอย่างยิ่ง คือพระพุทธพจน์ วาจาสัจจ์ ความจริงทั้งหมด ก็จะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า หมายถึงเฉพาะตัวอารมณ์เองใช่ไหมครับที่เป็นอุปนิสสยะที่เป็นที่อาศัยที่มีกำลัง หรือว่าความเข้าใจที่เกิดจากการที่เมื่อได้เข้าไปอาศัย คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเข้าใจ จึงเป็นกำลังที่จะมีความประพฤติเป็นไปที่จะรู้ความจริงครับ
ท่านอาจารย์: ศึกษาธรรม ไม่ใช่ศึกษา คำ ตรงนั้นตรงนี้ ได้ยินมาอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ธรรม คือสิ่งที่มีจริง
เพราะฉะนั้น แต่ละคำที่ได้ฟัง กล่าวถึงความลึกซึ้งอย่างยิ่งของสิ่งที่มีจริง
ไม่มีใครรู้เลยว่า สิ่งที่มีจริง แท้ที่จริงเป็นอะไร แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีตรัสรู้ความจริงแล้ว ทรงแสดงความจริงซึ่งไม่ได้ปรากฏอย่างนั้นเลย
เพราะถ้าปรากฏอย่างนั้น พระองค์ไม่ต้องทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะประจักษ์แจ้งสิ่งที่กำลังเป็นไป แต่ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง
ทุกคำ เราไปคิดถึงเรื่องอื่นหรือเปล่า หรือว่าคิดถึงสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้แหละ ปรากฏทั้งวัน ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทุกวันทุกขณะไม่เคยขาดเลย แต่รู้อะไร? ทำไมไม่ปรากฏตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น ต้องฟังแต่ละคำ เพื่อเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังมี ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า สิ่งนี้แหละปรากฏ แต่ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง
แค่นี้ค่ะ สงสัยอะไรไหม?
อ.ธีรพันธ์: สงสัยคำมากกว่าครับ
ท่านอาจารย์: ทำไมไปสงสัยคำ? สิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง หมายความว่าอะไร?
อ.ธีรพันธ์: คือไม่รู้ความจริงขณะนี้ครับ
ท่านอาจารย์: หมายความว่า ความจริงไม่ใช่อย่างที่กำลังปรากฏ จึงไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง เห็นไหม? ต้องไตร่ตรอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยจะมีโลก จะมีอะไรปรากฏไหม?
ถ้าไม่มีอะไรแต่ละหนึ่งเกิด จะมีโลกอย่างนี้ไหม? แต่ว่า แต่ละหนึ่งเกิดเร็วมาก สืบต่อเร็วมาก จนปรากฏว่าไม่มีอะไรเกิดดับเลย แต่มีสิ่งที่เป็นรูปร่างสัณฐานให้คิดให้จำว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
ซึ่งความจริงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าไม่มีสิ่งนี้เกิดขึ้น อะไรก็ไม่ปรากฏ เห็นไหม กว่าจะคิด กว่าจะเข้าใจตามคลองของพระธรรม ตามความหมายของแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว จึงได้ตรัสคำที่ให้ไม่ลืมว่า ขณะนี้อยู่ในโลกของสิ่งที่ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง
ทุกคำถามต้องมาสู่ขณะนี้ทั้งหมด เพราะฉะนั้น คำถามที่ถามคำแรกว่าอย่างไร?
อ.ธีรพันธ์: คือความจริงที่เป็นที่อาศัยที่มีกำลัง เป็นเฉพาะคำไม่ว่าจะเป็นความเข้าใจที่เมื่อเข้าใจแล้วจึงเป็นที่อาศัยที่มีกำลัง
ท่านอาจารย์: เห็นไหม ที่อาศัยที่มีกำลังอะไร? ยังไม่รู้อะไรก็ตามไปเลย ที่อาศัยที่มีกำลัง เห็นไหม? แล้วจะเข้าใจความลึกซึ้งของสิ่งที่ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริงเดี๋ยวนี้ได้อย่างไร?
มีแต่อยากจะรู้คำ แต่ว่าลักษณะจริงๆ เดี๋ยวนี้ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง ยังไม่ต้องไปพูดถึงที่อาศัยอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะยังไม่รู้เลยว่า เดี๋ยวนี้ที่ปรากฏนั้นเป็นอะไร แล้วจะไปคิดเรื่องโ้นเรื่องนี้มีประโยชน์อะไร ในเมื่อพูดไปก็ไม่ได้ทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏว่า ทำไมไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง และใครเป็นคนตรัสคำนี้ ผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว ก่อนจะตรัสรู้ได้ตรัสคำนี้แล้วหรือ? แต่เมื่อตรัสรู้ตรัสคำนี้
เพราะฉะนั้น ก็ต้องฟังด้วยความเคารพจริงๆ ว่า จริงไหม? เดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่าอะไร แล้วจะไปรู้ว่าไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริงได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น ความเข้าใจต้องตามลำดับ จะไปคิดถึงอุปนิสสยปัจจัย อารมณ์ของบิดาอะไรก็ตามแต่ เดี๋ยวนี้อะไรคะ?
อ.ธีรพันธ์: สิ่งที่มีจริงครับ
ท่านอาจารย์: รู้ไหม อะไร? สิ่งที่มีจริงทางตาคืออะไร?
อ.ธีรพันธ์: สีสันวรรณะที่กำลังปรากฏขณะนี้ครับที่เป็นที่อาศัย
ท่านอาจารย์: ที่เป็นที่อาศัยหมายความว่าอย่างไร?
อ.ธีรพันธ์: ที่อาศัยที่ค่อยๆ เข้าใจ ตั้งแต่แต่ละคำจนเข้าถึง..
ท่านอาจารย์: ขอโทษๆ ๆ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้เป็นที่อาศัย หรือคำที่ทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง
อ.ธีรพันธ์: ต้องเป็นคำที่เข้าใจก่อนครับ
ท่านอาจารย์: เห็นไหม ต้องตรง ไม่ต้องรีบไปไหนเลย ความไม่รู้มหาศาลแน่นมาก เหนียวมาก ลึกมาก แล้วก็จะรีบไปเข้าใจคำ ไม่เท่ากับสามารถที่จะเห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งของสิ่งที่กำลังลึกซึ้งอย่างยิ่ง จึงไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง
ศึกษาธรรมเพื่อเห็นความลึกซึ้ง เคยคิดอย่างนี้ไหม? เพื่อเข้าใจความลึกซึ้ง เคยคิดอย่างนี้ไหม?
อ.ธีรพันธ์: ครับ ก็ค่อยๆ ได้คิด จนกว่าจะค่อยๆ เห็นความลึกซึ้งครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: ถ้าเราไม่พูดถึงจะรู้ไหมว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมลึกซึ้ง ธรรมคือทุกอย่างหมดเลย ลึกซึ้งเกินกว่าที่จะประมาณได้ ถ้าไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบ ให้ละเอียด ให้ลึกซึ้งขึ้น จะไม่รู้จักธรรมเลยในความลึกซึ้ง มีแต่นิสสยปัจจัย ปัจจัยอะไร ที่เกิดอะไร รูปเป็นที่อาศัยหรือ? เป็นที่อาศัยให้เกิดอะไร? เพียงแต่รูปจะทำให้เกิดปัญญาได้ไหม?
อ.ธีรพันธ์: มีแต่รูป ไม่ได้ครับ เกิดปัญญาไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต้องละเอียดมาก ทีละคำดีที่สุด จนกว่าจะค่อยๆ รู้ความลึกซึ้งของธรรมที่เราใช้คำกล่าวถึงธรรมนั้นทีละคำ ไม่อย่างนั้นก็เสียเวลาหมด เป็นเรื่องราวทั้งหมด
อ.ธีรพันธ์: อย่างเช่น พระพุทธองค์ตรัสถึง ธรรมที่มีจริง อย่างเช่น รูปที่ปรากฏทางตา ที่จะเป็นความเข้าใจอย่างไรครับ?
ท่านอาจารย์: อ้าว!! รูปที่ปรากฏทางตาเปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม?
อ.ธีรพันธ์: เปลี่ยนไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์: กำลังปรากฏใช่ไหม?
อ.ธีรพันธ์: กำลังปรากฏครับ
ท่านอาจารย์: ไม่ต้องใช้ชื่ออะไร ไม่ต้องเรียกอะไร ก็มีจริงใช่ไหม?
อ.ธีรพันธ์: ใช่ครับ ไม่ต้องเรียกครับ
ท่านอาจารย์: ถ้าไม่เกิดมีไหม?
อ.ธีรพันธ์: ถ้าไม่เกิด ไม่มีครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เกิดก็ไม่รู้ใช่ไหม?
อ.ธีรพันธ์: เกิดก็ไม่รู้เลยครับ
ท่านอาจารย์: เกิดแล้วดับไป ก็ไม่รู้
อ.ธีรพันธ์: ครับ
ท่านอาจารย์: มั่นคงไหมว่า เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดับไป ทุกอย่าง แต่ละหนึ่งๆ มีลักษณะเฉพาะของตนๆ แล้วก็ดับไป
อ.ธีรพันธ์: ค่อยๆ มั่นคงขึ้นครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น รูปที่กำลังปรากฏเป็นที่อาศัยอะไร?
อ.ธีรพันธ์: เป็นที่อาศัยเพื่อความเข้าใจครับ
ท่านอาจารย์: เป็นที่อาศัยให้เริ่มได้ฟังเรื่องสิ่งที่ปรากฏจนเป็นได้ความเข้าใจขึ้นว่า?
อ.ธีรพันธ์: ก็คือเป็นสิ่งที่มีจริงตามที่ได้ยินได้ฟังแล้วเข้าใจขึ้น
ท่านอาจารย์: เกิดดับด้วยใช่ไหม?
อ.ธีรพันธ์: เกิดดับด้วยครับ
ท่านอาจารย์: แต่ไม่ได้ปรากฏเลยสักนิดว่า เกิดแล้วดับใช่ไหม?
อ.ธีรพันธ์: ไม่ปรากฏเลยครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ลึกซึ้งไหมที่ความจริงเกิดดับ ไม่กลับมาอีกเลย แต่ปรากฏเหมือนยังอยู่
อ.ธีรพันธ์: เหมือนยังอยู่เลยครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต้องฟังจนกว่าจะมั่นคงในแต่ละหนึ่งสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรม หรือนามธรรม ถ้าไม่เกิดไม่มี เกิดแล้วดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ เพราะมีปัจจัยให้เกิด เมื่อเกิดตามปัจจัยก็ดับ
โลกปรากฏตามความเป็นจริงหรือเปล่า? สิ่งที่กำลังปรากฏที่กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้ปรากฏตามความเป็นจริงหรือเปล่า?
อ.ธีรพันธ์: ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริงครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น อาศัยรูป หรืออาศัยธรรม ที่สามารถรู้ความจริงของรูปได้
อ.ธีรพันธ์: ตรงนี้ครับ หมายถึงอาศัยธรรมที่ค่อยๆ เข้าใจความจริงครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น แม้แต่ว่า เป็นที่อาศัย ก็ยังต้องรู้ว่า อาศัยอะไร โดยสภาพที่เป็นอย่างไร
เพราะฉะนั้น รูปธรรมเป็นสภาพที่มีจริง เป็นที่อาศัยอะไร?
อ.ธีรพันธ์: ปกติก็โลภะครับ
ท่านอาจารย์: เป็นที่อาศัยให้เกิดธาตุรู้ แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้ รูปนั้นก็ไม่สามารถที่จะอาศัยให้เกิดธาตุรู้ได้
อ.ธีรพันธ์: ครับ ถ้าไม่มีธาตุรู้
ท่านอาจารย์: เห็นไหม เพราะฉะนั้น การฟังธรรมเพื่อให้เข้าใจความจริงที่ลึกซึ้ง จนกว่า แต่ละหนึ่งๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จนค่อยๆ คลายความเป็นเรา รอบที่ ๑ ของความเข้าใจธรรม มั่นคงว่า เป็นธรรม เกิดขึ้นแล้วดับไปไม่กลับมาอีกเลย จึงไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใครทั้งสิ้น เป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตาอย่างที่เคยจำไว้
นี่ค่ะ ประโยชน์อยู่ตรงเข้าใจตรงนี้ ไม่ใช่ไปเรียนชื่อเยอะๆ มีอะไรเกิดร่วมกันอะไรอย่างนั้น แต่ไม่เข้าใจความลึกซึ้งของสิ่งที่กำลังปรากฏ
อ.ธีรพันธ์: ครับ ได้ยินคำว่า อารมณ์ก็มุ่งไปที่อารมณ์เลยครับ อารัมมณูปนิสสยะ แต่ไม่ได้เข้าใจอะไรเลยครับ ก็เข้าใจคำที่ท่านอาจารย์กล่าว เป็นความเข้าใจที่เกิดขึ้นจากธรรมที่ได้ยินได้ฟัง กล่าวถึงรูป แต่ว่าไม่ใช่ไปมุ่งที่รูปโดยที่ขณะนั้นก็ไม่รู้ว่า เกิดแล้ว มีแล้ว แต่ก็เป็นเราที่พยายามไปรู้ครับ
ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่..
ธรรมคือสิ่งที่มีจริง
ธรรม ย่อมปรากฏในอรรถว่า สภาวะ [ปฏิสัมภิทามรรค]
ขอเชิญคลิกฟังได้ที่..
อารมณ์ของบิดา
พยายามไปแสวงหาธรรม
ขอเชิญคลิกวิดีโอได้ที่..
อุปนิสสยะ
อารมณ์ของบิดา
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.ธีรพันธ์ อ.วิชัย ด้วยความเคารพค่ะ