English-Hindi-Thai 30 August 2025
โดย prinwut  31 ส.ค. 2568
หัวข้อหมายเลข 50835

English-Hindi-Thai 30 August 2025


- (คุณประกาศ - อยากให้สนทนาเรื่องกรรมและผลของกรรม อะไรเป็นกรรม อะไรเป็นวิบาก)

- เรากำลังศึกษาความจริงของสิ่งที่กำลังมีขณะนี้หรือเปล่า เรากำลังสนทนาเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏหรือเปล่า มิฉะนั้นเป็นเพียงความคิดถึงเรื่องต่างๆ มากมายโดยที่ไม่มีความเข้าใจอะไรเลย ค่อยๆ ห่างออกจากสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ตรงต่อความจริงว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไรถึงสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ถูกต้องไหม พระองค์ทรงบอกเราว่า อะไรคือความจริงของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นเริ่มที่จะเข้าใจความจริงว่า ยังไม่มีความเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ตามความเป็นจริงเลย ใช่ไหม

- เพราะฉะนั้นศึกษาทีละคำ ในภาษาบาลีคำว่า ธรรม หมายถึงอะไรก็ตามที่มีจริง ในภาษาไทยใช้คำหนึ่ง ในภาษาอังกฤษใช้อีกคำหนึ่ง ในภาษาบาลี ธรรมหมายถึงสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงหรือขณะใดก็ตามที่มีจริง ตอนนี้ยังสงสัยในคำว่า ธรรม ไหม (ไม่) กรุณาบอกว่าอะไรเป็นธรรมเดี๋ยวนี้

- (คุณประกาศ - เดี๋ยวนี้มีเห็นแต่ยังไม่เข้าใจ) ทีละคำๆ เพราะว่ายังไม่มีความเข้าใจความจริงของสิ่งที่เรากำลังสนทนากัน เช่น เห็น ดังนั้นเราจะไม่ไปที่ได้ยิน คิดนึก ฯลฯ เพียงเข้าใจ ๑ ธรรม หรือ ๑ คำ เพราะฉะนั้นตอนนี้ไม่สงสัยแล้วว่า อะไรที่มีจริงๆ เป็นธรรม เพราะฉะนั้นเห็นมีจริงๆ แล้วเห็นมีจริงเมื่อไหร่ เมื่อไหร่ที่เห็นมีจริง

- (จริงเมื่อมีความเข้าใจเห็น) ไม่ใช่ๆ การไตร่ตรองด้วยความละเอียดรอบคอบสำคัญอย่างยิ่งในการศึกษาสิ่งที่จริงขณะนี้ ที่ยังไม่รู้ความจริงเพราะละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงต้องพิจารณาไตร่ตรองอย่างละเอียด เห็นมีจริงใช่ไหม (ใช่) มีจริงเมื่อไหร่ (เมื่อเห็น) เมื่อเห็นใช่ไหม

- ตอนนี้เห็นมีจริงๆ เมื่อเห็นกำลังเห็น ไม่ใช่ขณะอื่นเลย ค่อยๆ พิจารณาความจริงของเห็นเพิ่มขึ้นอีกสักนิดโดยอาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงบำเพ็ญพระบารมีอย่างยาวนานมากจนกระทั่งทรงประจักษ์แจ้งความจริงของเห็นว่า เห็นที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ต้องเกิด ใช่ไหม

- ใครทำให้เห็นเกิดได้ไหม (ไม่ได้) ด้วยเหตุนี้อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นเกิดเพราะเหตุปัจจัยใช่ไหม เพราะฉะนั้นทันทีที่มีปัจจัยให้เห็นเกิด เห็นก็เกิดทันทีใช่ไหม เมื่อมีปัจจัยทำให้เห็นเกิดขึ้นทำกิจเห็นแล้วหมดหน้าที่แล้วก็ดับทันที เห็นนั้นก็ไม่กลับมาเกิดอีกเลย

- (คุณประกาศ - แต่ความเข้าใจอย่างนั้นยังไม่มี)

- (คุณสุขิน - อย่างที่เคยกล่าวแล้วว่า เมื่อพูดถึงความเข้าใจ ความเข้าใจก็มีหลายขั้น เพราะฉะนั้นแม้จะกล่าวว่า “ยังไม่มีความเข้าใจ” แต่ก็เป็นความเข้าใจเช่นกัน นั้นเป็นขั้นพื้นฐาน ใช่ไหม เพราะฉะนั้นมีความเข้าใจในขั้นฟัง และมีความเข้าใจในสิ่งที่ท่านอาจารย์ได้กล่าว เพราะฉะนั้นเรายังไม่ได้กล่าวถึงความเข้าใจตรงลักษณะ แต่เรากำลังพูดถึงความเข้าใจในขั้นแรกซึ่งเป็นขั้นปริยัติ)

- อะไรก็ตามที่เกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ เพราะว่า เห็นต้องอาศัยปัจจัยที่สมควร เมื่อหมดปัจจัย เห็นก็ไม่เกิดอีกเพราะปัจจัยนั้นเป็นปัจจัยให้เกิดเห็นเพียง ๑ ขณะ ทันทีที่เห็นเกิดแล้วดับทันที ด้วยเหตุนี้อะไรที่เกิดดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย นั่นคือความหมายของคำว่า สังขารธรรม เราศึกษาเพื่อเข้าใจธรรม ไม่รีบด่วนที่จะไปเข้าใจเรื่องนั้นเรื่องนี้โดยที่ไม่มีเข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้ เห็นไหม จริงไหม ความเข้าใจต้องเริ่มที่จะเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นไม่สามารถที่จะมีเข้าใจอะไรเดี๋ยวนี้ๆ ๆ ได้เลย

- ด้วยเหตุนี้ธรรมจึงลึกซึ้ง ผู้ที่ศึกษาธรรมโดยที่ไม่เข้าใจความลึกซึ้งของสิ่งที่มีจริงไม่มีวันที่จะประจักษ์ความจริงได้ เพราะว่าความจริงคือ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้เกิดแล้วดับทันทีไม่กลับมาอีกเลย แน่ใจไหม (แน่ใจ) และนั่นคือความมั่นคง อธิษฐานเป็นบารมีด้วย เป็นความเข้าใจถูกที่มั่นคงขึ้นๆ เพิ่มขึ้นในแต่ละขณะที่เข้าใจ

- ความเข้าใจธรรมไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว การเข้าใจความจริงต้องใช้เวลายาวนานมากๆ เป็นแสนๆ กัปป์กว่าจะเข้าใจความจริง แม้แต่ความเข้าใจเดี๋ยวนี้ว่า เห็นแล้วแล้วดับ ไม่ใช่มีไว้แค่ฟังและจำไว้และเข้าใจว่าเป็นความจริง แต่ต้องประจักษ์แจ้งอย่างนั้นด้วย เห็นไหม สิ่งที่มีค่าที่สุดคือ เข้าใจความจริงเพื่อประจักษ์แจ้งความจริง และขณะที่ประจักษ์แจ้งความจริงจะเกิดขึ้นได้ด้วยคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงดำเนินในหนทางที่นำไปสู่การตรัสรู้ความจริง

- เพราะฉะนั้นพระองค์จึงทรงแสดงความจริงที่เป็นอริยสัจจธรรม ๓ รอบ ไม่มีใครสามารถประจักษ์แจ้งความจริงของเห็นที่กำลังเกิดดับได้เลยถ้าปราศจากความเข้าใจความจริงรอบที่ ๑ เดี๋ยวนี้อะไรมีจริง ไม่รู้เลย มีแต่คิดถึงสิ่งอื่นๆ แต่ไม่คิดถึงเห็นเดี๋ยวนี้เลยในแต่ละวัน ถูกต้องไหม

- เพราะฉะนั้นอย่างนั้นจึงไม่ใช่หนทางถูกที่จะเป็นการเริ่มต้นที่จะเข้าใจความจริง เพราะว่าความจริงกำลังมีเดี๋ยวนี้ที่นี่ เพียงฟังแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำว่า ธรรม ไม่มีใคร เป็นสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่มีปัจจัยให้เกิด ก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นทันทีที่เกิดดับทันที

- เพราะฉะนั้นเห็นที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้กี่ขณะ (นับไม่ได้) นับไม่ได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นความไม่รู้ในเห็นก็นับไม่ได้เท่านั้นเช่นกัน เพราะฉะนั้นมีเพียงคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะเป็นปัจจัยให้เริ่มที่จะเข้าใจความจริงของแต่ละคำของความจริงแต่ละหนึ่งตั้งแต่เกิดจนตายต่อๆ ไปเพื่ออบรมเจริญปัญญา ไม่มีใคร มีเพียงความเข้าใจถูก การไตร่ตรองพิจารณาความจริงของธรรมแต่ละหนึ่งทีละหนึ่งทีละเล็กทีละน้อย

- เพราะฉะนั้นเรากำลังสนทนากันถึงสิ่งที่มีจริง ๑ สิ่ง เป็น ๑ ธรรมซี่งก็คือ เห็น เพราะฉะนั้นศึกษาเพื่อมั่นคงในเห็นเพื่อเข้าใจเห็นขณะไหนก็ได้ในชีวิตประวันและตรงต่อความจริงว่า เป็นความเข้าใจระดับไหน เพราะต้องมีความมั่นคงในความจริงในขั้นต่างๆ

- เพราะฉะนั้นขณะนี้ไม่ใช่ขณะที่จะประจักษ์แจ้งการเกิดดับของเห็นเลยใช่ไหม (ใช่) เพียงศึกษาเพื่อให้ไม่ลืมทีละเล็กทีละน้อยเพื่อเข้าใจเห็น และเข้าใจสิ่งที่มีทีละน้อยๆ มีสิ่งที่มีจริงกี่อย่างในชีวิตประจำวัน ความไม่มีรู้ในสิ่งที่มีจริงในแต่ละวัน ในแต่ละชั่วโมง ในแต่ละนาที ในแต่ละวินาทีมีมากมายแค่ไหน ด้วยเหตุนี้ธรรมลึกซึ้ง นี้เป็นการเริ่มต้นที่สำคัญอย่างยิ่งเพื่อเข้าใจธรรม มิฉะนั้นแต่ละท่านไปผิดทางเพราะไม่มีความเข้าใจในสิ่งที่ควรเข้าใจคือเดี๋ยวนี้ เช่น เห็น เข้าใจทีละ ๑ ธรรม

- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้กำลังมีเห็นแล้วเห็นคืออะไร (เห็นคือสีต่างๆ รูปร่างรูปทรง) ไม่ใช่ๆ ฟังดีๆ เห็นไหม ก่อนพระองค์จะทรงแสดงธรรม พระองค์ตรัสว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย จงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว” เพราะฉะนั้นตอนนี้ เห็นคืออะไร



ความคิดเห็น 1    โดย prinwut  วันที่ 31 ส.ค. 2568

- (คุณประกาศ - เห็นเห็นสิ่งที่เป็นอารมณ์ของเห็น) ดิฉันไม่ได้กล่าวว่า เห็นทำหน้าที่อะไร แต่ถามว่า เห็นคืออะไร (เห็นเป็นเห็น) ไม่มีความเข้าใจอื่นอีกหรือนอกจากเห็นเป็นเห็น นั่นเป็นความเข้าใจหรือเปล่าเมื่อเพียงพูดว่า เห็นเป็นเห็น เห็นต้องละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ลึกมากจนมีเพียงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้และทรงแสดง มิฉะนั้นไม่มีใครรู้

- เพราะฉะนั้น เห็นมีจริงไหม (มีจริง) เห็นเห็นอะไร (เห็นอารมณ์) หมายความว่าอะไร

- (คุณสุขิน - หมายถึงเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาใช่ไหม) เราเคยพูดว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วสิ่งที่ปรากฏทางตามีลักษณะอย่างไร

- (คุณประกาศ - ไม่ทราบคำตอบ)

- (คุณสุขิน - ท่านอาจารย์ไม่ได้ต้องการคำตอบจากที่อ่านในหนังสือ แต่ว่าเดี๋ยวนี้มีเห็น ลองพิจารณาสิ่งที่เห็นว่า อารมณ์ของเห็นคืออะไร)

- เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะใช้คำอะไรก็ตาม เห็นเห็นสิ่งที่ถูกเห็นเดี๋ยวนี้ โดยทั่วไปเมื่อกล่าวว่า “ปรากฏ” หมายความว่าเป็นสิ่งที่ถูกเห็น และ เมื่อไม่ใช่คำอะไร สิ่งที่ถูกเห็นก็ต่างกันโดยเป็นสีต่างๆ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นในความคิดมีเพียงสี หรือมีเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น หรือสิ่งที่กำลังมีคือสิ่งที่ถูกเห็น แต่ทั้งหมดเป็นธรรม มีจริงๆ

- เพราะฉะนั้นเห็นกับสิ่งที่ปรากฏให้เห็นต่างกันตรงไหน (ทั้ง ๒ อย่างต่างกัน) ต่างกันอย่างไร (สิ่งที่ถูกเห็นไม่รู้อะไร เห็นคือสภาพรู้ที่รู้สิ่งที่ถูกเห็น)

- (คุณสุขิน - ที่กล่าวอย่างนี้เพราะจำได้ เพราะเคยได้ฟัง หรือกล่าวเพราะเข้าใจ)

- (คุณประกาศ - มีความเข้าใจด้วย)

- ตอนนี้เราศึกษาเห็นเพิ่มอีกนิด เห็นเห็นได้เพราะเป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นเห็น เราจะใช้คำว่า เห็นรู้อารมณ์ก็ได้ ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของผู้นั้น เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ที่เป็นสภาพรู้ เพราะว่า ต้นไม้ เก้าอี้ไม่รู้อะไร เพราะฉะนั้นนอกจากที่ถูกเห็นหรือเป็นสิ่งที่ปรากฏ ยังมีสภาพธรรมที่เป็นสภาพรู้ที่เกิดขึ้นเพื่อรู้เพื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏโดยลักษณะอาการที่ต่างๆ กัน โดยอาศัยทางหรือทวารต่างๆ กัน

- เพราะฉะนั้นเราสามารถกล่าวโดยทั่วไปว่า เห็นเป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นเพื่อรู้สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้น ลึกซึ้งพอไหมที่จะเข้าใจเพิ่มขึ้นว่า สิ่งที่ปรากฏในโลกคือสิ่งที่ต้องถูกเห็นเท่านั้น คือสิ่งที่เห็นได้เท่านั้น และความคิดเรื่องสีต่างๆ แม้เราจะไม่พูดว่า สีขาว สีดำ สีน้ำตาล แต่ความจริงของสิ่งที่ถูกเห็นก็ต่างกัน ในแต่ละขณะที่เห็น สิ่งที่ถูกเห็นต่างกัน แต่ละขณะก็ย่อมต่างกันด้วยเพราะว่าเห็นเกิดขึ้นเพื่อรู้แจ้งสิ่งที่เห็นได้หรือสีหนึ่งสีแต่ละขณะ เพราะฉะนั้นจึงเป็นขณะที่เล็กน้อยสั้นมากเพราะว่าต้องเป็นเพียงสิ่งที่กระทบตาหรือจักขุปสาทได้เท่านั้น และตาก็ไม่ใช่ดวงตาทั้งตาดำตาขาว แต่เป็นรูปที่มีจริงๆ ที่มีลักษณะที่เหมาะควรแก่การรับกระทบสิ่งที่ปรากฏ

- เริ่มเข้าใจธรรมว่า ไม่มีใครเลยทั้งสิ้น แต่ละธรรมแตกต่างกัน เพื่อมั่นคงเพิ่มขึ้นในความเป็นธรรมเพิ่มขึ้น ไม่มีใคร เห็นเป็นเห็นที่รู้สิ่งที่ถูกเห็นซึ่งไม่สามารถรู้อะไร แล้วจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปได้อย่างไร เช่น แข็งจะเป็นแขน เป็นขา เป็นสุนัขได้อย่างไร แข็งมีลักษณะของตนที่เป็นแข็งโดยระดับที่ต่างๆ กัน แม้จะอ่อนมากแต่ความจริงของอ่อนหรือแข็งก็เป็นธรรม ขึ้นอยู่กับระดับหรือปัจจัยให้อ่อนมากหรือแข็งมากแต่เป็นหนึ่งธรรมซึ่งเปลี่ยนไม่ได้ แข็งไม่หวาน แข็งไม่ใช่กลิ่น แข็งไม่ร้อน ฯลฯ แข็งเกิดขึ้นเป็นแข็ง เป็นธรรมไหม

- (คุณประกาศ - มีคำถามว่า เมื่อเห็นเกิดขึ้นรู้อารมณ์ อารมณ์ไม่รู้อะไร อารมณ์ไม่ขึ้นกับเห็นใช่ไหม)

- กล่าวสั้นๆ ทีละน้อยๆ เมื่อเห็นเกิดขึ้น เห็นเห็นใช่ไหม (ใช่) และสิ่งที่ถูกเห็นไม่เห็น (ใช่) แต่สิ่งที่ถูกเห็นก็เกิด และตามความจริงสิ่งที่ถูกเห็นต้องเกิดก่อนเห็น (ใช่) ค่อยๆ ศึกษาเพื่อเข้าใจความลึกซึ้งของเห็น ๑ ขณะ และสิ่งที่ถูกเห็นต้องเกิดก่อนเห็นแล้วยังไม่ดับ

- เพราะฉะนั้นมีปัจจัยให้เห็นเกิดขึ้นรู้ไม่ใช่ตามความต้องการแต่โดยปัจจัยหลากหลายที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ด้วยเหตุนี้เราจึงคอยๆ ศึกษาสิ่งที่มีจริง ๑ ประเภททีละเล็กทีละน้อย ตอนนี้เราศึกษาเห็นว่า เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นรู้และเห็นจะรู้สิ่งอื่นไม่ได้นอกจากสิ่งที่ถูกเห็นเท่านั้น ใช่ไหม

- เพราะฉะนั้นไม่สงสัยสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นรู้แจ้งอารมณ์ ที่ไม่ใช่แข็งหรืออ่อน หรือหวานที่ไม่สามารถรู้อะไร ด้วยเหตุนี้แม้ทั้งหมดจะเป็นธรรมเพราะมีจริงแต่เป็นธรรมประเภทต่างๆ ใช่ไหม

- เราศึกษาเพื่อมั่นคงเพิ่มขึ้นในความจริงของสภาพธรรมแต่ละอย่างเพื่อรู้ขึ้นทีละเล็กทีละน้อยว่า มีธรรมตลอดเวลาทุกขณะทุกที่เพราะทั้งหมดเป็นธรรมแต่จะไม่มีความคิดเช่นนี้ได้เลยถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงความจริง ด้วยเหตุนี้จึงศึกษาพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบเพื่อเป็นความเข้าใจในความจริงของตนเอง ถ้าไม่มีความเข้าใจความจริงจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร พระพุทธเจ้าทรงเป็นใคร แค่เคารพเฉยๆ แต่ไม่มีความเข้าใจเลยว่า พระองค์เป็นใคร มีแต่คำแต่นั่นไม่ใช่การเคารพจริงๆ

- ด้วยเหตุนี้ ขณะที่เข้าใจเห็นขณะนั้นเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะที่เข้าใจสิ่งที่ถูกเห็นขณะนั้นเคารพพระองค์ จริงไหม (จริง) เพราะฉะนั้นความจริงเป็นความจริงแต่ความจริงลึกซึ้งอย่างยิ่ง ต้องใช้เวลาที่ยาวนานอย่างยิ่งที่จะได้ฟังและพิจารณาไตร่ตรองความจริงอย่างละเอียดรอบคอบเพื่อเข้าใจ ยกตัวอย่างเช่น เดี๋ยวนี้สิ่งที่ถูกเห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแต่ความเป็นจริงสิ่งที่ถูกเห็นเป็นเพียงสีสันวัณณะต่างๆ เท่านั้น ไม่ว่าชาติไหน ในสวรรค์ ในนรก หรือที่ไหนก็ตามขณะที่เห็นเห็นเพียงสี เพราะฉะนั้นสีทุกสีเป็นโลกโลกหนึ่งขณะที่เห็น

- เริ่มละความเห็นความคิดว่า เป็นเราเห็นเพื่อนของเรา เห็นบ้านของเรา เพื่อเข้าใจความเป็นปรมัติธรรม และนี้คือ สาวกผู้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะว่าเป็นความจริง ไม่ใช่แค่ตาม ไม่ใช่แค่แสดงความเคารพ แต่เพื่อเข้าใจความจริงเข้าใจความหมายแต่ละคำทีละคำและคำแรกคือคำว่า ธรรม

- เพราะฉะนั้นเป็นธรรมทั้งหมด กล่าวอย่างนี้ได้ไหม เห็นเป็นธรรม ได้ยินเป็นธรรม ธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา ธรรมจะเป็นใคร เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้ เพราะว่า ธรรมเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไปทันทีไม่กลับมาอีกเลย นี้คือ สัจจะที่ ๑ ในอริยสัจจ์ ๔ เป็นแต่เพียงความคิดว่า เราแก่ เราป่วย เราตาย แต่ไม่มีความเข้าใจธรรมเลย


ความคิดเห็น 2    โดย prinwut  วันที่ 31 ส.ค. 2568

- ตราบใดที่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นอัตตา แต่ความจริงไม่มีอะไรที่เป็นอัตตาเพราะว่าเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไปอย่างรวดเร็วไม่กลับมาเกิดอีกเลย และจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้อย่างไร เพราะฉะนั้นศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงทีละขณะ จะเป็นใครไปไม่ได้ แต่มีสิ่งที่มีจริงหลายๆ ขณะที่เกิดดับสืบต่อกันไม่ขาดสายอย่างรวดเร็วจนปรากฏเป็นเครื่องหมายของสิ่งหนึ่งสิ่งใด จริงไหม

- เพราะฉะนั้นเราศึกษาเพื่อเข้าใจแต่ละคำ อะไรที่เกิดขึ้นแล้วดับไปอย่างรวดเร็วไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง เพียง ๑ ธรรมทีละหนึ่ง เพราะฉะนั้นเราศึกษาเพิ่มขึ้นทีละน้อยว่า ทำไมถึงประจักษ์ความจริง ๑ ขณะไม่ได้ เพราะว่า ๑ ขณะดับไปแล้วอย่างรวดเร็ว และสิ่งที่เกิดก่อนและเกิดต่อจากสิ่งนั้นไม่สามารถรู้ได้ สิ่งที่สามารถรู้ได้ตั้งแต่เกิดขึ้นคือ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก จริงไหม

- ทำไมมีสิ่งต่างๆ มากมายที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อเข้าใจแต่ละหนึ่งตามความเป็นจริงไม่ใช่ไปเข้าใจสิ่งอื่น ไม่ปะปนกัน แม้ว่าจะละเอียดซับซ้อนอย่างยิ่ง แต่สามารถเรียนศึกษาให้รู้ได้ทีละเล็กทีละน้อยว่า มีอะไรก่อนขณะนี้และจะมีอะไรหลังจากขณะนี้ทีละขณะ และนี้คือสภาพที่ไม่เที่ยง และที่ไม่เที่ยงเพราะเกิดดับเร็วสุดประมาณ ทันทีที่เกิดขึ้น ดับทันที ใครรู้ อาศัยการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพิจารณาไตร่ตรองอย่างละเอียดให้มั่นคงในความจริงไม่เปลี่ยนเพื่อเข้าใจสิ่งที่เกิดแล้วเดี๋ยวนี้ และนี้คือการศึกษาธรรม ไม่ใช่ศึกษาคำในหนังสือ

- (คุณสุขิน - ดูเหมือนว่า คุณประกาศยังไม่ได้รับคำตอบของคำถามแรกที่ถามตอนต้นเรื่องกรรมและวิบาก ท่านอาจารย์ช่วยให้คำตอบได้ไหม)

- ถ้าดิฉันตอบ เขาจะเข้าใจไหม การที่อยากจะเข้าใจกรรมและวิบากเป็นการศึกษาธรรมหรือเปล่า (ไม่ทราบ) เห็นไหม ไม่ทราบ เพราะฉะนั้นแม้ “ผมไม่ทราบ” ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ศึกษาธรรมคือ สามารถเข้าใจสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวันว่า ความจริงของสิ่งนั้นคืออะไร ถ้าเพียงแต่อยากได้คำตอบของกรรมและวิบาก จะเข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้ได้ไหม (ไม่ได้) เห็นไหม สิ่งที่ตอบมานั้นเป็นกรรมและวิบาก ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่มีหนทางที่จะศึกษาธรรม

- บางคนหลงไปในคำที่กล่าวถึงธรรมและคิดว่ารู้แล้วแต่ไม่ใช่เลย เพราะเมื่อถามถึงขณะนี้ไม่เข้าใจว่า เป็นกรรมไหม เป็นกรรมระดับไหน และลักษณะของกรรมคืออะไร และความจริงสูงสุดของกรรมคืออะไร ไม่มีความเข้าใจกรรมแค่กล่าวเรื่องกรรม ดูเหมือนว่า รู้จักกรรมแต่ความจริงไม่ใช่เลย จนกว่ามีการศึกษาสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ก่อนนี้มีกรรมหรือไม่มีกรรมเดี๋ยวนี้ หรือขณะไหนที่เป็นกรรม เป็นกรรมระดับไหน ทั้งหมดเป็นธรรม

- กรรมเป็นสิ่งที่มีจริงไหม เป็นสิ่งที่มีจริงประเภทไหน ถ้าไม่มีความมั่นคงในความเป็นธรรมก็ตอบไม่ได้ แค่ลองพยายามตอบแต่ความเข้าใจแค่ไหน ไม่มีเลยแม้แต่น้อย เพราะความเข้าใจแต่น้อยคือ เดี๋ยวนี้เป็นธรรม เพราะฉะนั้นสามารถที่จะเข้าใจเพิ่มขึ้นได้ว่า ธรรมอะไรเดี๋ยวนี้ ดังนั้นสนทนาถึงธรรม ๑ ทีละหนึ่ง มิฉะนั้นก็ปะปนกันเพราะธรรมละเอียดซับซ้อนมาก ทั้งหมดในหนึ่งขณะแต่ตามความเป็นจริงในแต่ละขณะมีธรรมมากมายเกิดดับเร็วมากแต่ไม่รู้เดี๋ยวนี้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะไม่เข้าใจความจริงที่ลึกซึ้ง

- เริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นใหม่ด้วยพระธรรมคำสอน เพราะฉะนั้นฟังครั้งเดียวยังไม่ชัดเจนเพราะว่าเป็นขณะที่เล็กน้อยมากที่เข้าใจแต่ยังไม่พอ ยังมีขณะที่ไม่รู้ ขณะที่ติดข้องและขณะที่เป็นอกุศลทุกอย่างอีกมากมาย ปกปิดความจริง ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีความมั่นคงในความจริง รู้จักเห็นเดี๋ยวนี้ไหม (รู้) ไม่ใช่ เป็นเพียงรู้จักคำที่กล่าวถึงเห็น แต่ยังไม่รู้จักเห็น ถูกต้องไหม ด้วยเหตุนี้ถ้าไม่มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่มีความเข้าใจอะไรเลย

- เมื่อพระองค์กล่าวว่า เห็น ไม่ใช่แค่เห็น แต่มีคำอธิบายสิ่งที่มีที่เป็นเห็นที่ละเอียดมาก เพราะว่าแม้เราจะกล่าวถึงเห็นมากมายหลายครั้งแต่เข้าใจเห็นเดี๋ยวนี้บ้างไหม เพราะว่าที่จะเข้าใจเห็นต้องเป็นความเข้าใจอีกขั้นหนึ่ง และเป็นสิ่งที่มีจริงประเภทอื่นที่เกิดขึ้นทำกิจอย่างรวดเร็วที่จะเข้าใจเห็นเดี๋ยวนี้

- ไม่มีอะไรเกิดเดี่ยวๆ เราพูดถึงเห็นแต่ต้องมีสภาพธรรมอื่นๆ ที่เกิดพร้อมเห็นเป็นปัจจัยให้เห็นเกิดขึ้นเห็น แม้เห็นจะเกิดขึ้นเห็นแต่ต้องอาศัยลักษณะหรือคุณสมบัติของสภาพธรรมอื่นๆ ที่เป็นปัจจัยให้เห็นเกิดขึ้นทำกิจเห็น ละเอียดลึกซึ้งแค่ไหน

- เพราะฉะนั้นอย่าเพียงแค่อยากจะรู้ อยากจะเข้าใจกรรม วิบาก ปฏิจสมุปบาท ธาตุ ฯลฯ แต่ให้เข้าใจว่า ธรรมละเอียดลึกซึ้งมากแค่ไหน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเวลาที่ยาวนานหลานแสนกัปป์กว่าที่จะเข้าใจความจริงคือ เห็นที่เกิดดับเดี๋ยวนี้ จริงไหม ถ้าเห็นไม่เกิดไม่มีเห็นแต่ไม่ได้เห็นตลอดเวลา หมายความว่าเห็นเกิดขึ้นเพื่อเห็นแล้วดับ และมีสภาพธรรมอื่นๆ ได้ยิน คิดนึก ฯลฯ มากมายหลายขณะในแต่ละวันนับไม่ได้ จนกว่าจะได้ฟังความจริงไตร่ตรองพิจารณารอบคอบเป็นนิสัยใหม่ เป็นปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัยที่จะเป็นผู้ที่ไตร่ตรองพิจารณา

- เดี๋ยวนี้มีเห็น มีความเข้าใจเห็นเพิ่มขึ้นบ้างไหม (น้อยมาก) ที่ว่าเข้าใจน้อยมากนั้นคือเข้าใจว่าอะไร (เห็นเห็นหรือรู้อารมณ์) เห็นมีจริงๆ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่อัตตา (นั่นคือเข้าใจเล็กน้อย) พอไหมที่จะพูดเรื่องเห็นแค่นี้แล้วจะไปประเด็นอื่นไหม พอแล้วหรือยังไม่พอ (ยังไม่พอ) จนกว่าจะมั่นคงว่า ความเข้าใจเห็นขั้นนี้ไม่ใช่ระดับที่รู้ตรงลักษณะของเห็น เป็นการเริ่มต้นเข้าใจธรรมว่า เห็นมีจริง อะไรที่มีจริงเป็นธรรม

- เห็นเป็นคุณประกาศหรือเป็นใครไหม (ไม่ใช่) และนั่นเป็นความหมายของคำว่า อนัตตา ไม่มีอัตตา ธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา จริงไหม (จริง) เพราะอะไร

- (คุณประกาศ - ไม่มีใครที่เห็นแต่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเห็นเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับทันทีจึงเป็นอนัตตา)

- มีความหงุดหงิดรำคาญไหม มีจริงไหม เกิดขึ้นเอง หรือ ใครทำให้เกิด (เกิดขึ้นเพราะปัจจัย) แน่นอนเพราะสิ่งที่เกิดต้องมีปัจจัยสมควรจึงเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นเป็นสังขารธรรม มีอะไรอีกที่เป็นสังขารธรรม อะไรที่เกิดเพราะมีสิ่งที่มีจริงอื่นๆ เป็นปัจจัยให้เกิด ไม่มีอะไรเกิดตามลำพังเองได้ ไม่มีใครทำให้ธรรมเกิดได้เลย สิ่งที่เกิดเองตามลำพังไม่ได้หรือใครทำให้เกิดขึ้นไม่ได้เป็นสังขารธรรม ต้องอาศัยปัจจัยขึ้นจึงเกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เห็นเกิดโดยไม่มีตาและสิ่งที่กระตาไม่ได้ สิ่งที่ต้องอาศัยปัจจัยจึงเกิดขึ้นเป็นสังขารธรรม เพราะอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นสิ่งนั้นเป็นสังขารธรรม เพราะฉะนั้นเราศึกษาธรรมและสังขารธรรม

- อะไรอีกที่เป็นสังขารธรรมเดี๋ยวนี้ (ได้ยิน) ใช่ เพราะอะไร (เพราะมีเสียง มีหูและมาประชุมกันจึงเกิดได้ยินขึ้น) เสียงเป็นสังขารธรรมไหม (เสียงไม่เป็นสังขารธรรม)


ความคิดเห็น 3    โดย prinwut  วันที่ 31 ส.ค. 2568

- (คุณสุขิน - ถ้าเสียงไม่เป็นสังขารธรรมแล้วเสียงเป็นอะไร)

- (คุณประกาศ - เพราะเสียงไม่รู้อะไร เสียงจึงไม่เป็นสังขารธรรม)

- (คุณสุขิน - เสียงมีจริงไหม เสียงเป็นธรรมไหม เสียงเป็นนิพพานไหม)

- ง่ายมากที่จะบอกว่า เป็นธรรม ใช่ไหม แต่ความเข้าใจมั่นคงแค่ไหนเดี๋ยวนี้ ด้วยเหตุนี้เราจึงสนทนาทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วนี้เพื่อเข้าใจธรรม คุณประกาศเข้าใจว่า เสียงเป็นธรรม แต่เพราะอะไรเสียงเป็นธรรม

- (คุณประกาศ - เพราะมีจริง) มีจริงขณะไหน (ขณะที่ได้ยิน) ถูกต้อง เพราะฉะนั้นถ้าเสียงไม่เกิด จะมีจริงไหม (ไม่มี) เสียงเกิดตามต้องการได้ไหม (ไม่ได้) เพียงแค่เสียงไม่เกี่ยวกับได้ยิน พูดถึงเสียงเพิ่มขึ้นเพื่อเข้าใจเสียงเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย เพราะว่ามีเสียงให้ได้ยินทั้งวัน แต่ว่าเสียงคืออะไร มีจริงไหม ทำไมเสียงมีจริง เสียงมีจริงเวลาไหน

- (คุณประกาศ - เมื่อเสียงถูกได้ยินเสียงก็มีจริงๆ) เมื่อเสียงปรากฏเสียงมีจริง เมื่อเสียงเกิดขึ้นเสียงมีจริง อะไรเป็นปัจจัยให้เสียงเกิดขึ้น เห็นไหม ไม่มีใครเข้าใจความจริงของอะไรเลย ไม่การคิดไตร่ตรองถึงความจริง เพียงมีชีวิตอยู่ไปด้วยความติดข้อง ด้วยความไม่รู้ ด้วยกุศล อกุศล วิบาก แต่ไม่เข้าใจความจริง

- แต่ตอนนี้เราเริ่มที่จะเข้าใจความจริงที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งว่า ต้องอาศัยเวลาอย่างยาวนานที่จะอบรมความมั่นคงในความจริง ที่จะเข้าใจความจริงของแต่ละคำ แต่ละเสียงที่เกิดขึ้นที่ได้ยิน เกิดแล้วตามเหตุปัจจัยใช่ไหม ถ้าไม่มีปัจจัยจะมีอะไรเกิดขึ้นได้ไหม แต่ปัจจัยที่ให้เสียงเกิดขึ้น เรายังไม่ได้กล่าวถึง

- ด้วยเหตุนี้จึงเริ่มให้มั่นคงตั้งแต่ต้นว่า สิ่งที่มีจริงคือสิ่งที่ปรากฏ และเมื่อปรากฏเพราะมีปัจจัยให้สิ่งนั้นปรากฏทีละเล็กทีน้อยค่อยๆ มั่นคงในแต่ละคำ อะไรจะเกิดโดยไม่มีปัจจัยได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นเสียงเกิดเพราะปัจจัยไหม (ใช่) แต่เป็นปัจจัยไหน เรายังไม่พูดถึงแต่ทุกอย่างต้องมีปัจจัยจึงเกิด เพื่อมั่นคงในความจริงของสิ่งที่กำลังมีว่าเป็นสิ่งที่เล็กน้อยสั้นมากเกิดแล้วดับทันที

- เสียงเป็นได้ยินไหม (ไม่ได้) ต่างกันอย่างไร (ต่างกันที่ เสียงมีปัจจัยให้เกิดขึ้นเป็นสภาพรู้เป็นนาม เสียงเป็นรูปเป็นสภาพที่ไม่รู้ รูปรู้อะไรไม่ได้ ได้ยินอะไรไม่ได้) อะไรอีกที่เป็นรูป (เสียงเป็นรูป สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นรูป แข็ง) อะไรอีก (ความเย็น ความร้อน) โต๊ะ (โต๊ะเป็นเรื่องราว) ขณะที่กระทบสัมผัสอะไร (สัมผัสแข็ง) ไม่ใช่โต๊ะใช่ไหม เพราะฉะนั้นอะไรจริง (แข็งจริง)

- เพราะฉะนั้นศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงสูงสุดของนามและรูป ตอนนี้อยากจะสนทนาขณะอะไร (เห็น) ดีมาก เห็นเป็นขณะของสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นเห็น เห็นคิดได้ไหม (ไม่ได้) เดี๋ยวนี้เป็นเราเห็นหรือเปล่า (ไม่ใช่) จริงหรือ (ยังเป็นเราเห็น) อะไรถูกอะไรผิด เราเห็น หรือเห็นเห็น (เห็นเป็นชื่อต่างๆ) เราเห็นยังไม่มีชื่อ เพียงแค่เป็นเราเห็นก็ผิดแล้ว ใช่ไหม แล้วอะไรถูก (เห็นเป็นเห็น) เห็นเป็นเห็นตั้งแต่บัดนี้ไม่ใช่เห็นเป็นเรา ตามความเป็นจริงเห็นเป็นเห็น เพราะฉะนั้นไม่มีเราเลย

- เพราะฉะนั้นตอนนี้ไม่มีเราที่เห็นแต่เห็นเป็นเห็น เป็นความเข้าใจในระดับขั้นฟัง เพราะฉะนั้นเป็นความเข้าใจในระดับที่ต่างกันของความเข้าใจอริยสัจจ์ ๔ สามรอบ ถูกต้องไหม และสิ่งที่ถูกเห็นไม่รู้อารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น (ใช่) เป็นรอบไหนของอริยสัจจะ (รอบที่ ๑)

- เพราะฉะนั้น เห็นเดี๋ยวนี้ ได้ยินเดี๋ยวนี้มีจริงแต่ยังคงมีความเห็นว่าเป็นเราเพราะยังไม่ได้ดับความเห็นผิด เพราะฉะนั้นตอนนี้ลองพิจารณาว่า การเข้าใจความจริงว่า เห็นเป็นสิ่งที่มีจริง นี้เป็นความเข้าใจถูกใช่ไหม เป็นคุณประกาศที่เข้าใจหรือเปล่า (ไม่ใช่) แล้วเป็นอะไร (เป็นปัญญา) คุณเรียกว่าปัญญา แต่เราสนทนาถึงความเข้าใจแล้วปัญญาเข้าใจไหม (ไม่ทราบ)

- เห็นไม่ใช่ใคร (ใช่) เป็นความเข้าใจถูกใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นความเข้าใจเห็นว่าไม่ใช่เราไม่ใช่ใคร เห็นเป็นเพียงสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นเพื่อเห็น ถูกไหม (ถูก) เพราะฉะนั้นขณะนั้นเป็นคุณประกาศที่มีความเข้าใจถูกหรือเปล่า (ไม่ใช่) เพราะฉะนั้นความเข้าใจมีจริงใช่ไหม (มีจริง) เป็นกุศลไหม (เป็น) เป็นนามหรือเป็นรูป (เป็นนาม)

- เพราะฉะนั้นความเข้าใจไม่ใช่คุณประกาศ ถูกไหม (ถูก) และเมื่อกล่าวว่า เราเห็น เป็นเราที่เห็น ถูกไหม (ไม่ถูก) เพราะฉะนั้นความเห็นผิดเป็นเราหรือเปล่า (ไม่ใช่เรา) ด้วยเหตุนี้เราจึงสนทนาธรรมในแง่มุมต่างๆ เพื่อให้มีความเข้าใจที่มั่นคงในความจริง ความเข้าใจความจริงไม่ใช่เป็นแค่ความเข้าใจแต่ต้องเป็นความเห็นถูกความเข้าใจถูกหรือความเข้าใจผิด
- ความเข้าใจผิดเป็นคุณประกาศหรือเปล่า (ไม่เป็น) ความเข้าใจถูกเป็นคุณประกาศหรือเปล่า (ไม่เป็น) ถ้าไม่ใช่คุณแล้วเป็นอะไร (ไม่ทราบ) ลองพิจารณาอีกครั้ง ถ้าไม่ใช่คุณแล้วเป็นอะไร (เป็นธรรม) ความเข้าใจผิดมีจริงไหม เป็นสิ่งที่มีจริงใช่ไหม เพราะฉะนั้นความเข้าใจถูกไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นความเข้าใจถูกเข้าใจว่า ความเข้าใจถูกไม่ใช่ใคร ถูกต้องไหม

- เพราะฉะนั้นความเข้าใจถูกเป็นสิ่งที่มีจริงใช่ไหม ดังนั้นตอนนี้เราศึกษาสิ่งที่มีจริงอื่นๆ ที่ไม่ใช่แค่เห็นและสิ่งที่ถูกเห็น เราเรียนสิ่งที่มีในชีวิตประจำวัน สิ่งที่มีเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นความเข้าใจถูกไม่ใช่เราใช่ไหม แล้วเป็นอะไร (ความเข้าใจถูกเป็นความเข้าใจถูก) มีจริงไหม เป็นสภาพธรรมหนึ่งเพราะมีจริงๆ ใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นเป็นสภาพธรรมประเภทไหน เรากำลังพูดถึงธรรมและเราพูดถึงธรรม ๒ อย่าง สภาพที่รู้อารมณ์เป็นนามธรรมและสภาพที่ไม่รู้อารมณ์เป็นรูปธรรม

- เพราะฉะนั้นความเข้าใจมีจริงๆ ไหม เป็นสภาพที่มีจริงใช่ไหม เป็นธรรมไหม เป็นธรรมประเภทไหน (นามธรรม) เพราะฉะนั้นเราศึกษานามธรรมที่ไม่ใช่แค่เห็นเท่านั้น สิ่งที่มีในชีวิตประจำวันเป็นธรรม เป็นธรรมที่ต่างๆ กัน แต่ไม่ว่าจะต่างกันแค่ไหนก็เป็นเพียงนามธรรมรูปธรรม


ความคิดเห็น 4    โดย prinwut  วันที่ 31 ส.ค. 2568

- นามธรรมเป็นรูปธรรมได้ไหม รูปธรรมรู้อารมณ์ได้ไหม เพราะฉะนั้นมีจิต สภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ เช่น เห็นเกิดขึ้นเพียงเห็นหรือเพียงรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ คำว่าจิตเป็นใหญ่เป็นประธานหมายความว่า ต้องมีสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งที่รู้อารมณ์แต่ไม่เป็นใหญ่ในการรู้แจ้งอารมณ์ เพราะฉะนั้นมีนามธรรม ๒ อย่าง อย่างหนึ่งรู้แจ้งอารมณ์เราใช้คำว่า จิต ที่เกิดขึ้นรู้แจ้งอารมณ์ จิตไม่ชอบ จิตไม่ชัง จิตไม่จำ จิตไม่รู้สึก จิตมีหน้าที่เกิดขึ้นรู้แจ้งอารมณ์

- สภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งซึ่งเป็นนามธรรมที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์แต่ไม่เป็นใหญ่ในการรู้แจ้งอารมณ์ แต่มีลักษณะของตนๆ รู้อารมณ์เดียวกับจิตเพราะเกิดพร้อมจิต จิตเกิดโดยไม่มีสภาพที่มีจริงที่เกิดพร้อมกับจิตไม่ได้ เราเรียกสภาพที่เกิดพร้อมจิตแต่ไม่ได้รู้แจ้งอารมณ์อย่างจิตว่า เจตสิก คิดว่าคงได้ยินคำว่าจิต เจตสิก รูป มามากแต่เพื่อความเข้าใจจิตและเจตสิก มีเพียงสภาพธรรม ๑ เท่านั้นที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง

- และมีสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งที่รู้อารมณ์เดียวกับจิตแต่ไม่ใช่จิตเพราะมีลักษณะของตนที่รู้อารมณ์โดยการติดข้องในอารมณ์ที่ปรากฏ ทันทีที่รู้อารมณ์ก็ติดอารมณ์ทันทีเพราะมีลักษณะที่ติดข้องในอารมณ์ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์อะไรที่รู้และสภาพที่มีจริงนี้มีชื่อว่า โลภะเจตสิก ชัดเจนขึ้นไหม

- (คุณประกาศ - จิตกับเจตสิกต่างกันตรงไหน) จิตชอบไหม จิตเกลียดไหม เพราะฉะนั้นมั่นคงในสภาพที่มีจริงแต่ละหนึ่งว่า สภาพที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์มีลักษณะเฉพาะของตนๆ และมีหน้าที่ของตน สภาพธรรมที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ต้องมีกิจหน้าที่ เพราะฉะนั้นสภาพที่เกิดขึ้นมีหน้าที่เป็นใหญ่เป็นจิต เป็นสภาพที่มีจริงที่มีกิจหน้าที่ที่ไม่ใช่ชอบ ไม่ใช่เกลียดแต่มีหน้าที่รู้แจ้งอารมณ์ที่ปรากฏ ส่วนนามธรรมอื่นๆ ไม่ได้รู้แจ้งอารมณ์อย่างจิต

- ด้วยเหตุนี้จึงมีธรรม ๒ อย่าง ประเภทหนึ่งเกิดขึ้นรู้อารมณ์ อีกประเภทหนึ่งเกิดขึ้นแต่ไม่รู้อารมณ์ เพราะฉะนั้นจากคำว่า ธรรม ต้องมีนามธรรมและรูปธรรม และนามธรรมก็มี ๒ อย่างด้วย อย่างหนึ่งเกิดขึ้นทำกิจรู้แจ้งอารมณ์คือ จิต และนามธรรมอีกอย่างหนึ่งเป็นความติดข้อง ความขุ่นเคือง ความรู้สึก ความจำ ฯลฯ ทั้งหมดเป็นธรรมเพราะรู้อารมณ์และทำกิจของตนๆ ไม่ทำกิจอื่น เช่น สภาพธรรม ๑ ที่เกิดขึ้นติดข้อง ชอบ ยึดถือซึ่งไม่ใช่สภาพที่ไม่ชอบ

- เพราะฉะนั้นมีนามธรรมที่หลากหลายมากและรูปธรรมก็หลากหลายด้วย เพราะฉะนั้นเราศึกษาความจริงถึงที่สุดว่า ไม่มีใคร ทั้งหมดเป็นเพียงสภาพธรรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยและดับไปอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่ใครจะคาดคิดหรือเข้าใจได้เพราะละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ศึกษาเพื่อเข้าใจความลึกซึ้งของลักษณะของสภาพธรรมแต่ละ ๑ มิฉะนั้นก็จะเป็นเราเห็น เราได้ยิน เราชอบ เราไม่ชอบเพราะว่า สภาพธรรมที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ไม่มีใครจึงเป็นเรา เห็นเป็นเรา ได้ยินเป็นเรา แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงว่า ไม่มีเรา ไม่มีใคร ไม่มีสภาพธรรมที่เที่ยงที่เกิดขึ้นแล้วดับด้วยความรวดเร็วแสนสั้น ชัดเจนไหม

- (คุณประกาศ - นามธรรมมีจิตที่เป็นใหญ่ในการรู้ธรรมอื่นๆ และ ความจำ….) ขอโทษนะคะ สภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งก็รู้อารมณ์ มีลักษณะเฉพาะของตนๆ มีกิจหน้าที่ของตนๆ เช่น สภาพที่เกิดขึ้นติดข้องหรือเกิดขึ้นชอบ จะไม่ชอบไม่ได้ เพราะเกิดขึ้นทำกิจติดข้อง ชอบ พอใจ ด้วยเหตุนี้จึงมีจิตกับเจตสิกเป็นนามธรรม ๒ ประเภท

- เพราะฉะนั้นจาก ๑ คำๆ ว่า ธรรม เพิ่มเป็น ๒ คำ คือ นามธรรมและรูปธรรม และเพิ่มอีก ๓ คำ คือ จิต เจตสิก และรูป เพราะว่ามีนาม ๒ อย่าง จิตเป็นเจตสิกไม่ได้เพราะจิตทำกิจรู้แจ้งอารมณ์เท่านั้น ไม่ทำอย่างอื่น จิตไม่ชอบ ไม่ชัง จิตไม่รู้สึก ไม่จำ และมีสภาพรู้อีกประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ สภาพธรรม ๒ อย่างนี้เกิดพร้อมกันเป็นปัจจัยแก่กันและกันให้เกิดขึ้นทำกิจของตนๆ จิตเกิดขึ้นทำกิจของจิตและเจตสิกเป็นสภาพที่ปรุงแต่งจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์เดียวกับจิตเพราะเกิดพร้อมกัน รู้อารมณ์เดียวกัน ดับพร้อมกัน

- ด้วยเหตุนี้จิตและเจตสิกเกิดพร้อมกันเสมอ จิตเกิดโดยปราศจากเจตสิกไม่ได้และเจตสิกเกิดโดยปราศจากจิตไม่ได้ แต่ตัวจิตเองจะเป็นกุศลหรืออกุศลไม่ได้ เพราะฉะนั้นอีกชื่อหนึ่งของจิตคือ ปัณฑระ ขาวบริสุทธิ์ แต่เจตสิกที่เกิดกับจิตเป็นปัจจัยให้จิตเป็นอกุศล เพราะว่ามีความติดข้อง มีความไม่รู้ หรือขณะอื่นมีความไม่รู้กับความขุ่นข้องขัดเคือง

- ด้วยเหตุนี้เราศึกษาทีละนิดจากธรรมเป็นธรรม ๒ อย่าง นามธรรมและรูปธรรม และนามธรรมก็มี ๒​ อย่าง จิตที่เป็นใหญ่ในการรู้แจ้งและเจตสิกที่เกิดพร้อมกันรู้อารมณ์เดียวกัน แต่ทำกิจต่างกันมีลักษณะต่างกัน และไม่ว่าในพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก หรือพระอภิธรรมปิฎกทั้งหมดเป็นธรรม จิต เจตสิก รูป และอีกธรรม ๑ คือ นิพพาน ไม่ใช่จิต ไม่ใช่เจตสิก ไม่ใช่รูป แต่ไม่มีในชีวิตประจำวัน

- ด้วยเหตุนี้เพื่อเข้าใจโลกคือเข้าใจสิ่งที่มีแต่ละขณะ และทำไมจึงเป็นโลก เพราะกำลังมีจริงๆ ถ้าไม่มีอะไรปรากฏ โลกอะไรก็ไม่มี ถ้าไม่มีจิตจะมีโลกได้ไหม ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเห็นเป็นโลกของเห็น เป็นโลกของสีสันวัณณะ เท่านั้น เมื่อไม่มีความเข้าใจความจริงก็ยึดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยนิมิต โดยเป็นเครื่องหมายของแต่ละสภาพธรรม ไม่ใช่แค่ ๑ เห็น เพราะว่าเมื่อลืมตาก็เห็นเต็มไปหมด ไม่ใช่แค่เพียง ๑ ขณะ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏๆ โดยนิมิต เป็นเครื่องหมายของเห็น และเป็นเครื่องหมายของสิ่งที่ปรากฏให้เห็น โลกปรากฏโดยความเป็นนิมิตเป็นเครื่องหมายของสภาพธรรมแต่ละหนึ่งๆ

- นิมิตของเห็นเดี๋ยวนี้มีเห็นมากมาย เพียงเห็นหนึ่งขณะรู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นอยู่ในโลกของนิมิตมาหลานแสนโกฏกัปป์ฝังแน่นลึกมานานสะสมสืบต่อ จนกว่าคำที่แสดงถึงความจริงแต่ละคำเป็นปัจจัยให้ความเข้าใจถูกในความจริงสามรอบ รอบที่ ๑ คือฟัง พิจารณาไตร่ตรองความจริงของแต่ละขณะว่า ไม่เที่ยง

- เพราะฉะนั้น ตามความเป็นจริง สิ่งที่ปรากฏไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นต้องเริ่มที่จะเข้าใจมั่นคงในความจริง มิฉะนั้นไม่ใช่การศึกษาธรรม เพราะว่าธรรมมีอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า อยู่ใกล้มากแต่ไม่คิดถึง ไม่ใส่ใจในสภาพธรรมที่มีอยู่ใกล้ๆ แข็งตรงนี้ ได้ยินตรงนี้ เห็นตรงนี้ เสียงกระทบตรงนี้ สิ่งที่ปรากฏทางตากระทบตรงนี้ และคิดนึกก็มีอยู่ไม่ไกลเลย


ความคิดเห็น 5    โดย prinwut  วันที่ 31 ส.ค. 2568

- ด้วยเหตุนี้เราจึงศึกษาเพื่อเข้าใจสิ่งที่เคยยึดถือว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นบุคคล เป็นตัวตนแต่ความจริงเป็นเพียง ๑​ ขณะของสภาพที่เกิดขึ้นแต่ละขณะๆ ต่างกัน เกิดดับอย่างรวดเร้วไม่เคยรู้เลย จนกว่าจะมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นขณะที่มีค่ามากแค่ไหนในชีวิต เหมือนคนตาบอดที่มองไม่เห็น แม้แต่เดี๋ยวนี้ที่สว่างทั้งวันแต่ไม่มีความเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีเลย ธรรมไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริงแก่ปัญญาในความมืด

- เพราะเพียง ๑​ ขณะที่สว่างในขณะที่กำลังเห็น นอกนั้นอยู่ในความมืด มืดกว่าขณะที่ปิดไฟเพราะว่ายังมีความคิดว่ามืด เพราะฉะนั้นเป็นความมืดด้วยความไม่รู้ในแสนโกฏ์กัปป์มาแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงฟังด้วยความเคารพในความจริง ศึกษาเพื่อเข้าใจว่า ธรรมเป็นธรรม ใครก็เปลี่ยนไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้เพราะว่าจริงๆ แล้วไม่มีใครเลยมีแต่ธรรม

- ด้วยเหตุนี้ความเข้าใจความหมายของธรรม เข้าใจว่าเป็นคำสอน แล้วธรรมตัวจริงๆ อยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้นไม่ประมาทว่าเข้าใจแล้วเพราะละเอียดลึกซึ้งอย่างมาก ยิ่งมีความเข้าใจเท่าไหร่ก็ยิ่งลึกซึ้งเพิ่มขึ้นเท่านั้น และนี้คือหนทางละความไม่รู้ความจริงที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งของสิ่งที่มีจริงแต่ละขณะเดี๋ยวนี้ทีละหนึ่ง แม้จะเกิดพร้อมกัน แต่ความเข้าใจถูกเริ่มที่จะเข้าใจความจริงของแต่ละหนึ่งเพื่อรู้ว่า มีอะไรที่ไม่ใช่แค่จิตเท่านั้น

- แต่จิตเป็นใหญ่ในการรู้แจ้งอารมณ์แต่ยังมีสภาพที่ปรุงแต่งจิตเป็นเจตสิกประเภทต่างๆ ที่เกิดพร้อมจิต รู้อารมณ์เดียวกันกับจิต แต่ทำกิจของตนๆ จิตไม่ทำกิจของเจตสิกและเจตสิกไม่ทำกิจของจิตและไม่ทำกิจของเจตสิกอื่นๆ แต่ละหนึ่งมีปัจจัยให้เกิดขึ้นแล้วดับไปทันที นั่นคือความลึกซึ้งของชีวิต ของโลก ของธรรม

- เพราะฉะนั้นจริงไหม ลึกซึ้งไหม (ลึกซึ้งมาก) และนั่นคือความเข้าใจธรรมว่าลึกซึ้งอย่างยิ่ง เป็นจริงอย่างยิ่ง อภิธรรม ปรมัตถธรรม อริยสัจจธรรม เห็นไหม อะไรที่มีจริงเป็นธรรม ความโกรธมีจริง เป็นสภาพที่รู้อารมณ์ที่ทำให้โกรธ

- เพราะฉะนั้นจิตรู้อารมณ์ ไม่มีใครรู้ เพียงรู้อารมณ์ที่ปรากฏแต่ละขณะ จากเห็น สิ่งที่เห็น ที่ได้ยิน ที่กระทบ ที่ได้กลิ่น ที่ลิ้มรส ที่คิดนึก แต่ก็ต้องมีหัวหน้าในการรู้อารมณ์แต่ละขณะอย่างรวดเร็วเป็นปัจจัยให้มีโลกทั้งโลก ภูเขา พระอาทิตย์ พระจันทร์ ฯลฯ แต่ถ้าไม่มีจิตเลย อะไรก็ปรากฏไม่ได้ ทั้งหมดขึ้นกับจิตในนัยนี้ ไม่มีจิตก็ไม่มีอะไรเลย ไม่มีพระอาทิตย์ ไม่มีพระจันทร์ ไม่มีท้องฟ้า นี้เป็นธรรมหรือเปล่า

- เพราะฉะนั้นเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น มีความมั่นคงในธรรมเพิ่มขึ้น นี้เป็นหนทางเดียวเท่านั้น ขณะที่เข้าใจเป็นขณะที่ละคลายความไม่รู้และความติดข้องเล็กน้อยอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับความไม่รู้และความติดข้องที่สะสมมานานหลายแสนโกฏ์กัปป์

- เพราะฉะนั้นจะศึกษาต่อเพื่อเข้าใจความจริงที่สามารถเข้าใจได้ ขณะที่เห็น ขณะที่พิจารณาไตร่ตรอง นำไปสู่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้น เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าคือใคร พระคุณอันยิ่งใหญ่สูงกว่าใครในสากลจักรวาล แม้เทวดาและพรหมยังลงมาเฝ้าพระองค์เพื่อเคารพบูชาพระองค์และฟังธรรมจากพระโอษฐ์ ณ ดินแดนที่เป็นประเทศของคุณตอนนี้คือ อินเดีย กรุงราชคฤห์ กรุงสาวัตถี

- เพราะฉะนั้นเป็นโอกาสที่ดีที่ได้แบ่งปันความเข้าใจกับผู้อื่นซึ่งเป็นของขวัญที่ล้ำค่าเพราะฉะนั้นศึกษา ๑ คำเพื่อเข้าใจเพิ่มขึ้น คำว่า นามธรรม มีนามธรรม ๒ ประเภท จิตเป็นใหญ่เกิดขึ้นนานมากหลายแสนโกฏ์กัปป์ไม่หยุดเลยเกิดดับสืบต่อทีละขณะ ทันทีที่จิตดับไปเป็นปัจจัยให้จิตต่อไปเกิดต่อและนั้นคือ อนันตรปัจจัย ไม่มีใครห้ามความเป็นจิตได้เพราะว่า ทันทีที่จิตดับไปเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดทันทีเดี๋ยวนี้ จิตเกิดดับสืบต่อทันทีโดยอนันตรปัจจัย ไม่มีใครยังยั้งปัจจัยได้ ไม่ว่าอะไรที่เกิดขึ้น

- เพราะฉะนั้นสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์คือจิตและเจตสิกที่ดับไปเป็นปัจจัยให้จิตและเจตสิกเกิดต่อทันทีเพราะแต่ละ ๑ เป็นอนันตรปัจจัย เพราะฉะนั้นเราศึกษาความจริงของสิ่งที่มีตามความเป็นจริงทีละเล็กทีละน้อย

- เราไม่ควรศึกษาแค่จิตกับเจตสิกแต่มีความมั่นคงในธรรมและสังขารธรรมสภาพที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่ง เพราะฉะนั้นอะไรที่มีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้นเป็นสังขารธรรม เพราะฉะนั้นแข็งเป็นสังขารธรรมไหม (เป็น) ทำไม ด้วยเหตุนี้เราศึกษาแม้คำ เราอ่านหนังสือได้แต่ไม่เข้าใจ เราอ่านธรรม ถ้าไม่ศึกษาไม่ไตร่ตรอง เราเข้าใจผิด ไม่ชัดเจน เผินมาก แค่นามธรรมรูปธรรมเท่านั้นเอง

- แต่ความจริงคือไม่มีอะไรที่เกิดตามลำพังได้เพราะว่าต้องอาศัยปัจจัยจึงเกิดขึ้น และปัจจัยก็เกิดพร้อมกันด้วย ด้วยเหตุนี้ไม่มีอะไรที่เกิดเองตามลำพังแม้แต่แข็งต้องอาศัยรูปอื่น มหาภูตรูปที่ทุกคนเคยได้ยิน แข็งเกิดขึ้นต้องอาศัยรูปอื่นๆ เกื้อหนุนจึงเกิดได้ มหาภูตรูปมี ๔ เป็นรูปที่เป็นใหญ่ ปฐวี เตโช อาโป วาโย และคุณเคยได้ยินคำว่า ปฐวี ไม่ใช่แค่พื้นดิน แต่อะไรก็ตามที่แข็งหรืออ่อนมีจริงๆ เป็นรูปหลักที่รูปอื่นอาศัยเกิด เช่น กลิ่น สี ถ้าไม่มี ๔ รูปหลัก รูปอื่นๆ ก็เกิดไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นสังขารธรรม

- เพราะฉะนั้นเราไม่ได้เรียนแค่คำโดยไม่มีความเข้าใจ แต่เพื่อเข้าใจความหมายของสังขารธรรม อะไรที่เกิดเกิดเองตามลำพังไม่ได้ต้องมีสภาพธรรมอื่นๆ เกิดพร้อมกันด้วย และแต่ละหนึ่งเป็นปัจจัยกันและกันให้เกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ปฐวีความแข็งเป็นปัจจัยแก่ความเย็นความร้อน และความเย็นความร้อนก็เป็นปัจจัยแก่รูปอื่นๆ เป็นต้น ดังนั้นเราจึงศึกษาทีละเล็กทีละน้อยแต่มีความเข้าใจที่มั่นคงเพิ่มขึ้น ความมั่นคงในความจริงสำคัญยิ่งกว่าการอ่านแค่ฟังโดยไม่พิจารณาไตร่ตรองอย่างละเอียดรอบคอบ เพราะฉะนั้นมีคำถามอะไรไหม


ความคิดเห็น 6    โดย prinwut  วันที่ 31 ส.ค. 2568

- (คุณประกาศ - สังขารธรรมต่างกับธรรมอื่นๆ อย่างไร ตอนนี้รูปธรรมชัดเจนขึ้น แต่ธรรมอื่นๆ เช่น เวทนา สัญญา วิญญาณ)

- เป็นคำเป็นชื่อหรือเป็นสภาพที่มีจริงๆ (เป็นคำ) เพราะฉะนั้นเรามีคำเพื่อให้รู้ว่า หมายถึงสภาพธรรมอะไร ถ้าไม่อาศัยคำใครจะรู้ว่า เป็นสิ่งนี้หรือสิ่งนั้นได้อย่างไร ร้อนหรือแข็ง เห็นไหม ด้วยเหตุนี้เราจึงมีคำเพื่อให้รู้ว่าเรากำลังพูดถึงธรรมอะไร

- เพราะฉะนั้นเริ่มต้นใหม่ คำว่า ธรรม เราไม่พูดถึงสิ่งที่ไม่มีจริง เราพูดถึงความจริง สิ่งที่มีจริง ความจริงถึงที่สุด เราพูดถึงโต๊ะแต่ขณะที่กระทบแข็งปรากฏ ไม่มีโต๊ะ เพราะฉะนั้นเราศึกษาเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงที่ใครก็เปลี่ยนไม่ได้ เห็นมีจริงเป็นสังขารธรรมเพราะว่า เห็นเกิดเองหรือใครทำให้เห็นเกิดไม่ได้ แต่เห็นเกิดได้โดยอาศัยปัจจัยที่เหมาะควรที่จะให้เห็นเกิด และสังขารธรรมไม่ว่าจะเป็นเห็นหรือได้ยินต้องมีสิ่งอื่นอยู่ตรงนั้นเป็นปัจจัยให้เห็นเกิดขึ้น

- เพราะฉะนั้นไม่ลืมว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงแต่สิ่งที่มีจริงไม่สามารถเกิดได้เองตามลำพัง ต้องมีสภาพธรรมอื่นๆ เกิดขึ้นเกื้อหนุนโดยความเป็นปัจจัยแก่กันและกัน ถ้าไม่มีจิตเจตสิกเกิดไม่ได้แต่จิตไม่ใช่เจตสิก และถ้าปราศจากเจตสิกจิตก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นต้องมีปัจจัยจึงเกิดได้ มั่นคงไม่เปลี่ยน เพราะฉะนั้นขณะที่รสเกิดต้องมีแข็งหรืออ่อนด้วย มิฉะนั้นจะมีแต่รสได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้เราบอกว่า ผลไม้หวานมาก ผลไม้และความหวาน แอปเปิ้ลหวาน ต้องมีที่มาหรือต้นกำเนิดของสิ่งนั้นที่กำลังมีเป็นปัจจัยให้เกิดรสนั้นๆ จะมีแต่รสได้ไหม ถ้าไม่มีแอปเปิ้ลหรือสับปะรด

- เพราะฉะนั้นแม้แต่รสก็เกิดตามลำพังไม่ได้แต่เราไม่รู้ว่าอะไรเป็นปัจจัยให้เกิดรสจนกว่าจะศึกษาทีละเล็กทีละน้อยว่า อะไรเป็นรูปที่เป็นใหญ่เป็นประธานเป็นรูปหลัก ถ้าไม่มีแข็งจะมีรสไหม จะมีหวาน ขม หรือรสต่างๆ ไหม รสเกิดเองไม่ได้ ค่อยๆ ศึกษาไปทีละเล็กทีละน้อยให้มั่นคงในความจริง มั่นคงในความเป็นธรรมก่อน ทั้งหมดเป็นธรรมแต่ยังไม่รู้ธรรมทั้งหมด แต่อะไรที่มีจริงๆ ต้องจริง แต่ความจริงของสิ่งที่มีจริงยังไม่รู้

- เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมเพื่อค่อยๆ เข้าใจธรรมเพียง ๑ เพิ่มขึ้นๆ ว่า อะไรก็ตามที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นรู้อารมณ์หรือเกิดขึ้นไม่รู้อารมณ์ นี้คือการเริ่มต้นและสภาพที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์มีกี่อย่าง มี ๒ อย่าง เป็นใหญ่เป็นประธานในรู้แจ้งอารมณ์ ๑ และสภาพรู้อีกอย่างหนึ่งก็รู้อารมณ์เดียวกันเพราะเกิดพร้อมกันแต่ไม่ได้มีลักษณะเดียวกัน แต่ละ ๑ มีลักษณะต่างๆ กันเฉพาะของตนๆ เช่น ความจำไม่รู้สึก ถามว่ามีความจำไหม มีและปกติเป็นเราที่จำ แต่จำเป็นจำไม่ใช่ใครทั้งสิ้น

- ด้วยเหตุนี้เราจึงศึกษาความจริงของสิ่งที่มีจริงที่ถูกปิกปิดไว้ด้วยความไม่รู้และความติดข้องที่เป็นอริยสัจจะที่ ๒ ที่ยึดทันทีว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ความไม่รู้มีมากแค่ไหน เพราะฉะนั้นความไม่รู้ไม่สามารถเข้าใจความจริงได้ด้วยเหตุนี้ความเข้าใจถูกเท่านั้นที่สามารถละคลายความไม่รู้และความติดข้องได้ทีละน้อยมากโดยไม่รู้ตัว นี้เป็นการศึกษาธรรมหรือเปล่า ไม่ใช่แค่คำ จำคำได้แต่ถ้าไม่เข้าใจจะเป็นการศึกษาธรรมได้อย่างไร แค่ศึกษาคำเรียนคำจำคำแต่ไม่ได้ศึกษาธรรม ด้วยเหตุนี้บางคนจึงมีปริญญา มีเปรียญสูงๆ ในภาษาบาลีแต่ความเข้าใจความจริงอยู่ไหน และความจริงมีเมื่อไหร่ ตรงไหน และอะไรคือความจริง หาไม่เจอ เช่น เดี๋ยวนี้อะไรมีจริง อะไรคือความจริง ไม่รู้เลย ไม่มีความรู้เลยว่า เดี๋ยวนี้อะไรมีจริงขณะไหน และความจริงของขณะนี้คืออะไร ไม่รู้เลย

- ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครสามารถที่จะเข้าใจแต่ละขณะที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยว่าไม่เที่ยงเกิดแล้วดับได้ไหม สิ่งที่มีจริงต่างๆ ที่มีทั้งหมดดับหมดแล้ว ความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยจะนำไปสู่ความเข้าใจว่ากรรมหมายถึงอะไร วิบากหมายถึงอะไร ไม่ใช่แค่คำต่างๆ แต่เป็นสิ่งที่มีจริงที่เป็นเหตุคือกรรม และเป็นผลคือวิบาก แค่พูดถึงเหตุคือกรรมและผลของกรรม จะดูเหมือนว่ามีความเข้าใจกรรมและวิบากแต่ความจริงไม่ใช่เลย สิ่งที่มีจริงอะไรที่เป็นกรรมและเป็นกรรมได้อย่างไร และเป็นกรรมประเภทไหน

- (คุณสุขิน - คุณประกาศมีความเข้าใจสังขารธรรมไหม)

- (คุณประกาศ - เข้าใจ)

- (คุณสุขิน - ตั้งแต่เกิดจนตายมีขณะไหนบ้างที่ไม่มีสังขารธรรม)

- (คุณประกาศ - ไม่มี)

- (คุณสุขิน - มีธรรมอะไรที่ไม่เป็นสังขารธรรมตั้งแต่เกิดจนตายไหม)

- (คุณประกาศ - เวทนากับสัญญาไม่เป็นสังขารธรรม)

- (คุณสุขิน - ดูเหมือนว่าคุณประกาศยังไม่มั่นคงในคำว่าธรรมกับสังขารธรรม)

- ต้องใช้เวลายาวนานมาก และ เรื่องยาวๆ ที่จะเข้าใจ เวทนาเกิดไหม (เวทนาเกิด) ถ้าไม่มีอารมณ์ที่เป็นปัจจัยให้เวทนาเกิด เวทนาจะเกิดได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นเวทนาก็มีปัจจัยให้เกิด เวทนาจะเกิดเองไม่ได้ อะไรที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยต้องอาศัยปัจจัยสิ่งนั้นจึงเกิดได้เป็นสังขารธรรมเปลี่ยนไม่ได้เลย สิ่งที่เกิดถ้าไม่มีปัจจัยเกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดเป็นสังขารธรรม เพราะฉะนั้นมีอีกคำ สัพเพ สังขารา อนิจจา ใช่ไหม (หมายความว่า เวทนากับสัญญาก็เป็นสังขารธรรม) สัพเพคือทั้งหมด เพราะฉะนั้นเวทนาเป็นธรรมไหม (เป็น) ธรรมทั้งหมดรวมเวทนาด้วยเพราะเวทนาก็เป็นธรรม เวทนาเป็นธรรมไหม (เป็น)


ความคิดเห็น 7    โดย prinwut  วันที่ 31 ส.ค. 2568

- (คุณสุขิน - คงจะสับสนระหว่างสังขารธรรมกับสังขารขันธ์ เรากำลังพูดถึงสังขารธรรม มีคำถามว่า แข็งเป็นสังขารธรรมไหม)

- (คุณประกาศ - ไม่เป็น คิดว่ากำลังสับสนระหว่าง 2 คำนี้)

- เราไม่ได้พูดถึงสังขารขันธ์ เรากำลังพูดถึงสังขารธรรม เห็นไหมว่าต้องไม่ประมาทแค่ไหน ด้วยเหตุนี้ความเข้าใจในสังขารธรรมจึงไม่ชัดเจนเพราะปะปนกับคำอื่นเรื่องอื่น ด้วยเหตุนี้จึงต้องศึกษาทีละคำ ธรรม คืออะไรก็ตามที่มีจริง ทำไมจึงมีจริง เพราะกำลังมีจริงๆ กำลังเห็นเพราะฉะนั้นเห็นมีจริง เห็นเกิดถ้าไม่เห็นไม่เกิดไม่มีเห็น ค่อยศึกษาทีละน้อยเพื่อมั่นคงในความจริงเป็นสัจจบารมีที่สำคัญมาก ด้วยเหตุนี้จึงไม่รีบด่วนไปคำอื่น ไปบทอื่นๆ เร็วๆ เพราะไม่มีความเข้าใจที่มั่นคงในแต่ละคำที่มีจริง

- เพราะฉะนั้นเมื่อพูดถึงคำว่า ธรรม เราไม่พูดถึงคำอื่น เราพูดถึงธรรมเท่านั้น และเมื่อเราพูดถึงขันธ์ เราสนทนาว่าขันธ์คืออะไร เห็นไหม และสังขารธรรม วิสังขารธรรมเป็นแค่คำแต่คืออะไร ไม่มีคำตอบเพราะไม่เข้าใจ แต่สามารถตอบได้ว่า สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรม ธรรมทั้งหมดที่เกิดทั้งหมดมีจริงและเกิดเพราะปัจจัย เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหมดที่เกิดเป็นสังขารธรรม เราไม่ได้กำลังพูดถึงสังขารขันธ์ เรากำลังพูดถึงสังขารธรรม มิฉะนั้นปะปนกัน จริงไหม

- เพราะฉะนั้นเมื่อมีความเข้าใจคำว่าสังขารธรรมแล้ว เราสนทนาต่อได้ว่า สังขารธรรมอะไรที่ไม่เป็นสังขารขันธ์ เพราะฉะนั้นเราศึกษาเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยว่า ขันธ์คืออะไร เวทนาเป็นขันธ์ไหม เวทนาขันธ์เป็นสังขารธรรมไหม ต้องเข้าใจมั่นคงเพิ่มขึ้น ความเข้าใจเป็นความเข้าใจ จะเปลี่ยนเป็นไม่เข้าใจไม่ได้ ด้วยเหตุนี้มีวิธีที่จะทดสอบความเข้าใจว่ามั่นคงแค่ไหนในความจริงระหว่าง ๒ คำนี้ ก็สามารถที่จะทราบได้ว่า มั่นคงในความจริงแค่ไหน สังขารขันธ์คืออะไรและสังขารธรรมคืออะไร

- เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นต้องมั่นคงในสังขารธรรมก่อนเปลี่ยนไม่ได้ สังขารธรรมคือ สิ่งที่มีจริงอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นเป็นสังขารธรรมเพราะต้องอาศัยปัจจัยจึงเกิดและปัจจัยก็ต้องเป็นสิ่งที่มีจริงด้วยไม่ใช่สิ่งอื่น ยกตัวอย่างเช่น การเห็น ตาก็มีจริงเป็นธรรม เพราะฉะนั้นทั้งหมดเป็นธรรม อะไรที่มีจริงเป็นธรรม

- เพราะฉะนั้นตาเป็นสังขารขันธ์ไหม (ไม่) เป็นสังขารธรรมไหม (ใช่) เห็นไหม นี้คือ ความเข้าใจความต่างของสังขารธรรมและสังขารขันธ์ แต่ก่อนที่จะพูดถึงสังขารขันธ์ ควรจะมีความเข้าใจที่มั่นคงก่อนในสังขารธรรม ไม่เปลี่ยนไม่ว่าจะพูดถึงนัยของสังขารขันธ์ หรือนัยของธาตุ ฯลฯ เปลี่ยนความจริงไม่ได้ว่า สังขารธรรมคือสภาพที่เกิดแล้วดับ และบางธรรมก็เป็นสังขารขันธ์ ค่อยๆ ละเอียดขึ้นๆ ต่อๆ ไป ทีละเล็กทีละน้อย มิฉะนั้นไม่ใช่ศึกษาธรรม เป็นเพียงอ่านและจำคำเท่านั้น ต่างกันมากระหว่างการจำคำกับการเข้าใจความจริง

- (คุณสุขิน - คุณน่าจะยินดีว่ามีคนมากมายที่อ่านพระอภิธรรม อ่านพระสูตรได้ จำได้ทุกคำที่อ่าน แต่เมื่อคนเหล่านั้นถูกถามว่า เดี๋ยวนี้อะไรมีจริง เขาตอบไม่ได้ เพราะฉะนั้นเริ่มเห็นความต่างในการศึกษา เช่น คุณถามเรื่องกรรมและวิบากแต่คำตอบที่ได้รับคือ ความจริงของกรรมคืออะไร ความจริงของวิบากคืออะไรในชีวิตประจำวันขณะนี้ แล้วจำคำตอบไว้ว่า อันนี้เป็นวิบาก อันนี้เป็นกรรม อันนี้เป็นกุศลกรรม อันนั้นเป็นอกุศลกรรม แต่ว่าไม่มีความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เลย ก็เปล่าประโยชน์ใช่ไหม เพราะฉะนั้นต้องเริ่มต้นด้วยคำว่า ธรรม อะไรมีจริง อะไรไม่มีจริง และคำว่า สังขารธรรม และคำอื่นๆ ต่อๆ ไปเพื่อเข้าใจว่าอะไรที่มีจริง อะไรเป็นขันธ์ซึ่งไกลและยากที่จะเข้าใจ เพราะฉะนั้นเราจึงกลับมาที่ว่า เดี๋ยวนี้อะไรมีจริง และเห็นมีตลอดเวลาเป็นสิ่งที่มีจริงทุกคนเห็น เริ่มต้นนี้ ที่นี่ เริ่มต้นแล้วเริ่มอีกๆ)

- เพราะฉะนั้นเรามาทบทวนไหมว่า ธรรมคืออะไร (สิ่งที่มีจริง) อะไรก็ตามที่มีจริง รู้ได้อย่างไรว่ามีจริง (เป็นสิ่งที่กำลังปรากฏ) กำลังมีจริงๆ และต่อไปก็จะทราบว่า สิ่งที่ไม่ปรากฏก็เป็นธรรม ทีละเล็กทีละน้อยแต่เข้าใจมั่นคงในความจริงว่า สิ่งที่มีต้องเกิดไม่ว่าจะรู้หรือไม่ ต้องมีปัจจัยให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นสภาพรู้หรือไม่ใช่สภาพรู้ แต่สิ่งที่เกิดต้องมีปัจจัยปรุงแต่งจึงเกิดขึ้นและเกิดพร้อมกันด้วย ไม่มีอะไรเกิดลอยๆ ตามลำพัง มั่นคงในความจริง

- เรากำลังสนทนาถึงสภาพธรรม ๑ ขณะที่มีสภาพธรรมอื่นเกิดพร้อมกันแต่เราไม่สามารถพูดถึงธรรมทุกอย่างพร้อมกันได้ สนทนา ๑ ธรรมเพื่อเข้าใจชัดเจนขึ้นๆ ในความจริงว่า ไม่มีอะไรที่เป็นใครหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้เลยเพราะสั้นมากทันทีที่เกิดดับแล้วทันที และนี้คือโลก นี้คือความจริงของชีวิต นี้คือปรมัตถธรรม นานแสนนานมาแล้วและต่อๆ ไปในสังสารวัฏฏ์ ไม่มีใครเปลี่ยนธรรมอะไรได้ ธรรมเป็นธรรม ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา จะเป็นใครไปไม่ได้เพราะเกิดเพราะเหตุปัจจัย ทันทีที่เกิดแล้วดับทันทีไม่มีปัจจัยที่จะให้ตั้งอยู่ต่อไปอีกนานๆ ได้

- ด้วยเหตุนี้ศึกษาเพื่อเข้าใจว่า ยังมีความไม่รู้มากมายมหาศาลที่ขวางกั้นความจริงที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยงยั่งยืน เดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรเกิดดับเลยเพราะความไม่รู้ไม่สามารถเข้าใจความจริงแต่ละหนึ่งที่เกิดดับ ด้วยเหตุนี้มีบุคคลที่อบรมบารมีจนถึงการตรัสรู้ความจริงและเผยแพร่ความจริงเกื้อกูลแบ่งปันแก่ผู้อื่นทั่วทั้งโลก ไม่ใช่เฉพาะโลกนี้แต่โลกอื่นด้วยในสมัยพุทธกาลของพระองค์ทั้งในเทวโลก ในพรหมโลก

- เพราะฉะนั้น ตรงต่อความจริง เคารพความจริงเพราะว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเคารพความจริง ไม่มีใครเปลี่ยนความจริงได้ ดังนั้นศึกษาเพื่อเข้าใจเพราะฉะนั้นความจริงที่ถูกปกปิดไว้อย่างยาวนาน เดี๋ยวนี้ได้ยินคำที่ส่องให้เห็นถึงความจริงแต่ละเอียดลึกซึ้งและใช้เวลายาวนานพิจารณาแล้วพิจารณาอีก ไตร่ตรองแล้วไตร่ตรองอีก

- เราสนทนาธรรมมามาก เราสนทนาเรื่องเห็น และสนทนาธรรมอื่นๆ กรรม วิบาก ฯลฯ แต่ไม่พอเลย ตราบใดที่ยังไม่รู้ตรงลักษณะของธรรม กรรมก็เป็นเพียงคำ แต่สภาพที่มีจริงคืออะไรที่เราจะใช้ชื่อนั้น และวิบากเป็นคำแต่สภาพธรรมอะไรที่เป็นวิบาก ไม่ใช่แค่คำแปลแต่ความเข้าใจขณะนี้ที่ลึกซึ้งมากแม้แต่สิ่งที่เราได้ยินว่า เป็นกรรม กำลังมีเดี๋ยวนี้ แต่ว่าคืออะไรไม่รู้จนกว่าจะรู้ทีละเล็กทีละน้อยเพื่อเข้าใจว่าสิ่งที่มีจริง จนกว่าจะเข้าใจว่า สิ่งที่มีจริงแตกต่างหลากหลายจากขณะหนึ่งไปอีกขณะหนึ่งและเกิดขึ้นครั้งเดียวในสังสารวัฏฏ์ เกิดขึ้นแล้วดับไปอย่างรวดเร็วทันที


ความคิดเห็น 8    โดย prinwut  วันที่ 31 ส.ค. 2568

- เพราะฉะนั้นตรงต่อความจริงเป็นสัจจบารมี ด้วยวิริยะบารมี ความเพียร ขันติบารมี ความอดทนที่จะละความไม่รู้และความติดข้องซึ่งปกปิดความจริงตลอดเวลาที่กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้ สามารถที่จะรู้อย่างนี้ได้ไหม (ได้) แต่ไม่ใช่เดี๋ยวนี้แต่ด้วยความเข้าใจถูก

- เพราะฉะนั้นความเข้าใจเป็นสภาพธรรมไหม มีจริงๆ ไหม เป็นธรรมประเภทไหน (เป็นนาม) นามธรรมใช่ไหม เป็นจิตไหม (เป็น) ไม่ใช่ จิตไม่เข้าใจความจริง เพียงรู้อารมณ์เปลี่ยนไม่ได้ (แล้วความเข้าใจเรียกว่าอะไร) ความเข้าใจมีไหม (ไม่เข้าใจคำถาม) เพราะฉะนั้นต้องมีความเข้าใจใช่ไหม ด้วยเหตุนี้ไม่ลืมว่า เรากำลังศึกษาความจริง ความเข้าใจความเข้าใจ มี ๒ อย่าง เข้าใจกับไม่เข้าใจ อะไรจริง (จริงทั้ง ๒​ อย่าง) ทั้งสองอย่างใช่ไหม ขณะที่ไม่เข้าใจเป็นสิ่งที่มีจริงที่ไม่เข้าใจ เป็นสิ่งที่เข้าใจไม่ได้ เดป็นสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจ เป็นสิ่งที่มีจริงไหม (เป็น)

- สิ่งที่มีในชีวิตเป็นสิ่งที่มีจริงละเอียดซับซ้อนไม่เคยรู้ว่าสิ่งที่มีคือความไม่เข้าใจ เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นความไม่รู้ คือ อวิชชา วิชชา คือ ความเข้าใจถูก และ อ คือไม่ ไม่เข้าใจ อวิชชา ถูกไหม เพราะฉะนั้นเป็นธรรมประเภทไหน

- (คุณสุขิน - วิชชาและอวิชชาเป็นธรรมประเภทไหน)

- (คุณประกาศ - เป็นนามธรรมทั้งคู่) ​ แน่ใจหรือ (แน่ใจ) แน่ใจหรือ (แน่ใจ) แน่ใจหรือ (แน่ใจ) มั่นคงแล้วว่าจริง ความไม่เข้าใจ การไม่สามารถเข้าใจเป็นสภาพที่มีจริงๆ คือ อวิชชา เป็นธรรมที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์โดยไม่รู้ไม่เข้าใจ

- เพราะฉะนั้นอวิชชาไม่ใช่จิตเป็นเจตสิกและเป็นอกุศลเจตสิก เพราะฉะนั้นเราศึกษาเพื่อเข้าใจเจตสิก เพราะว่ามีเจตสิกหลากหลาย แต่ละเจตสิกมีลักษณะมีกิจหน้าที่ของตนๆ เพราะฉะนั้นเจตสิกทุกประเภทจะเป็นจิตไม่ได้ จิตเพียงเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้อารมณ์ จิตไม่ชอบ จิตไม่ชัง จิตไม่เข้าใจถูก แต่รู้แจ้งอารมณ์เท่านั้นทุกขณะในแสนโกฏ์กัปป์มาแล้ว และจิตเกิดขึ้นพร้อมกับเจตสิกประเภทต่างๆ บางครั้งเกิดกับความไม่รู้อวิชชา บางครั้งเกิดกับความเข้าใจถูก ปัญญาหรือวิชชา ไม่มีใคร

- ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่ได้พูดถึงเฉพาะกรรมและวิบากที่เป็นชื่อ แต่ความเข้าใจว่ากรรมคืออะไร วิบากคืออะไร เดี๋ยวนี้เห็นไหมก็มีวิบากด้วย ใครรู้ ศึกษาเพื่อเข้าใจว่า อะไรเป็นเหตุคือกรรมและอะไรเป็นผลคือวิบาก และยังมีสภาพธรรมอื่นๆ อีกมากมายด้วย ตรงและชัดเจนในแต่ละลักษณะของธรรมเพิ่มขึ้นโดยไม่ปะปนกัน และนี้คือพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเมตตาอันยิ่งของพระองค์ทรงรู้ว่าไม่มีใครสามารถเข้าใจความจริงได้ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงความจริงเป็นพระมหากรุณา พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณและพระมหากรุณาคุณ

- เพราะฉะนั้น ตอนนี้รู้แล้วว่า ใครคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ที่เราเคารพกราบไหว้บูชาเฉยๆ แต่เข้าใจพระคุณของพระองค์สำหรับใครก็ตามที่เข้าใจ และความเข้าใจถูกคือ ปัญญาเจตสิก

- (คุณสุขิน - เคารพบูชาโดยไม่มีความเข้าใจได้ไหมคุณประกาศ)

- (คุณประกาศ - ไม่ได้ นั่นไม่ใช่การเคารพจริงๆ)

- เพราะฉะนั้นตอนนี้คุณเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม (เคารพด้วยความเข้าใจ) เคารพขณะที่เข้าใจ

- ยินดีในกุศลบารมีของคุณประกาศ ขอบคุณคุณสุขิน ยินดีในกุศลของทุกคนนะคะ สวัสดีค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย chatchai.k  วันที่ 1 ก.ย. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ


ความคิดเห็น 10    โดย namarupa  วันที่ 29 ต.ค. 2568

ยินดียิ่งในกุศลจิตค่ะ