English-Hindi 19 Jul 2025
โดย prinwut  19 ก.ค. 2568
หัวข้อหมายเลข 50440

English-Hindi 19 Jul 2025


- เริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ทุกขณะ ไม่มีใครรู้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงความจริงเพราะพระองค์ทรงประจักษ์แจ้งความจริง ตรัสรู้ความจริงและทรงแสดงความจริง เพราะฉะนั้นทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสหลังจากที่ทรงตรัสรู้

- (คุณสุคิน - คุณประกาศสามารถพิจารณาว่าอะไรเกิดขึ้นเมื่อกล่าวว่า คุณพยายามที่จะเข้าใจเห็นซึ่งไม่สามารถที่จะเห็นได้นั่นแสดงว่าไม่สามารถที่จะสำเร็จได้เพียงด้วยความพยายาม เพราะเห็นดับไปแล้วเมื่อคุณกำลังพยายามที่จะเข้าใจเห็นในขณะนั้นก็เป็นสิ่งอื่นไปแล้ว เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ธรรมเกิดแล้วดับตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาซึ่งเป็นควาหมายของอนัตตา ไม่ใช่เรา)

- (คุณประกาศ - เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่ด้วยการพยายาม)

- (คุณสุคิน - ความพยายามไม่ใช่หนทาง การไปทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ใช่หนทาง ต้องเป็นความเข้าใจทีละน้อยๆ เท่านั้น เริ่มที่จะค่อยๆ เข้าใจในเบื้องต้นว่า ควบคุมธรรมไม่ได้ แต่การพยายามไปเห็นเห็นที่กำลังเห็นก็เป็นคิดนึกไปแล้ว แล้วจะมีความเข้าใจในขณะนั้นได้อย่างไร เป็นเพียงตัวตนที่พยายามจะเข้าใจ ไม่ใช่ความเข้าใจจริงๆ)

- (คุณประกาศ - ใช่ ขณะที่เห็นก็คิดไปด้วยพร้อมๆ กัน)

- (คุณสุคิน - ไม่ใช่พร้อมกันแต่ทันที ความคิดที่จะไปจับธรรมอะไรก็ตามเดี๋ยวนี้ก็ผิดแล้ว คิดว่าธรรมจะตั้งอยู่นานพอให้เราจับหรือ เมื่อสติเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมตรมความเป็นจริง ธรรมนั้นก็ดับไปแล้ว)

- (คุณประกาศ - เพราะฉะนั้นอะไรคือหนทางที่ถูกต้อง)

- (คุณสุคิน - หนทางที่ถูกต้องคือ เมื่อได้ยินเดี๋ยวนี้แล้วมีความเข้าใจว่าไม่เกี่ยวกับการลงมือทำก็ฟังต่อไป จนเป็นความเข้าใจของตนเอง ฟังต่อไปไม่ไปผิดทาง เป็นทิฏฐุชุกรรม การกระทำความเห็นให้ตรง ความเข้าใจถูกจะค่อยๆ ทำให้ตรงขึ้นๆ การไปผิดทางก็คือไม่ตรงไปตลอด เพราะความเป็นเรา เพราะความอยาก เพราะความเห็นผิดไปผิดทางเสมอ เพราะฉะนั้นค่อยๆ ถูก ค่อยๆ ตรงเพิ่มขึ้นด้วยความเข้าใจ)

- (คุณประกาศ - ขณะที่กำลังได้ยินเดี๋ยวนี้ บางครั้งก็มีการคิดเรื่องอื่น พยายามที่จะเข้าใจ คิดถึงคำอธิบายที่ได้ฟัง)

- (คุณสุคิน - ที่พูดมาทั้งหมดมาจากสิ่งที่เห็นสิ่งที่ได้ยินใช่ไหม ถ้าไม่มีเห็น ไม่มีได้ยินก็ไม่มีความคิดถึงสิ่งที่เป็นเรื่องราวเหล่านั้นใช่ไหม เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นอะไร เช่น เห็นอะไรบางอย่างแล้วคิดว่า เห็นดอกไม้แล้วพยายามที่จะไปเข้าใจเห็น ขณะนั้นเห็นหมดไปแล้วและความคิดที่จะเข้าใจเห็นก็หมดไปแล้วแต่คิดว่าขณะนั้นกำลังเข้าใจเห็น เพราะฉะนั้นจึงเป็นความเข้าใจผิดและนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นในสำนักปฏิบัติ เข้าใจผิดว่าการคิดนึกเป็นความเข้าใจ)

- (คุณประกาศ - เพราะฉะนั้นกลับมาที่คำถามว่า แล้วจะทำอย่างไร)

- (คุณสุคิน - นั่นคือปัญหาเพราะถ้าไม่เข้าใจก็จะพยายามที่จะหาหนทาง ตราบใดที่ยังอยากได้ผลก็ยังต้องติดข้องต้องการที่จะได้คำตอบ เช่นไปหาคนที่บอกให้เราทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้แล้วก็ทำตามที่เขาบอก)

- (คุณประกาศ - ใช่ๆ ก็หวังว่าท่านอาจารย์ให้ช่วยบอกว่าจะต้องทำอย่างไร ขณะที่เห็นก็มีความคิดสลับไปด้วยและถ้าไม่ใช่เห็นจริงๆ ก็ยังหวังจะได้คำตอบ)

- การตรงต่อความจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้คือสิ่งที่สำคัญมาก มีความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้บ้างไหม เห็นไหม เพื่อที่จะรู้ว่ามีความเข้าใจสิ่งที่กำังมีเดี๋ยวนี้บ้างไหม หรือไม่เข้าใจเลย)

- (คุณประกาศ - คิดว่ายังไม่เข้าใจ) แค่คิดหรือ ก็ยังเป็นเรา (ไม่เข้าใจแน่ๆ) เพราะฉะนั้นไม่มีใครรู้เลยก่อนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้และทรงแสดงอย่างนี้ ถูกไหม เพราะฉะนั้นฟังคำของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้แล้วถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้

- (ท่านอาจารย์หมายความว่าอย่างไรที่ให้ฟังสิ่งที่…) ฟังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประจักษ์แจ้งอะไรขณะนี้หรือขณะไหนๆ ก็ตาม ทรงประจักษ์แจ้งอะไร หรือมีความจริงเดี๋ยวนี้ไหม ไม่ใช่แค่คำแต่เดี๋ยวนี้อะไรจริง พระองค์ทรงประแจ้งความจริงของสิ่งนั้นไหม ขณะนที่เราไม่รู้ว่าคืออะไร



ความคิดเห็น 1    โดย prinwut  วันที่ 19 ก.ค. 2568

- (สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้หมายความว่าอะไร) เพราะเราได้ยินคำว่า ”พุทธ” พระองค์ทรงเป็นใคร เริ่มที่จะรู้ความลึกซึ้งที่มีค่ามหาศาลที่ไม่มีใครเปรียบได้เลย การหยั่งรู้ความจริงที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่งเดี๋ยวนี้ ถูกไหม ใครคือพระพุทธเจ้า

- (ยากมาก ตามไม่ทัน) เรากำลังพูดถึงความจริงเดี๋ยวนี้ที่ไม่มีใครรู้ ถูกไหม ด้วยเหตุนี้จึงเริ่มที่จะรู้ว่าใครเป็นใคร เราได้ยินคำว่า “พุทธ“ พระองค์ทรงเป็นใคร ก่อนที่จะเคารพพระองค์ต้องมีความเข้าใจในคุณธรรมอันล้ำค่าคือพระปัญญาคุณของพระองค์ ถ้าเราไม่รู้ว่าพระองค์ตรัสอะไร เราจะเข้าใจและรู้คุณของพระองค์ได้อย่างไร

- เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร ถ้าไม่มีความเข้าใจก็ไร้ประโยชน์ที่จะฟังสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือใคร (ตอบตามที่ได้ศึกษาคือ ผู้ที่เห็นความจริง) เดี๋ยวนี้หรือเปล่า

- เพราะฉะนั้นพระองค์ตรัสถึงเดี๋ยวนี้ว่าอย่างไรเพราะไม่มีใครรู้ ไม่ใช่เพียงคำว่า ”ไม่มีใครรู้“ แต่เดี๋ยวนี้รู้ไหม ใครรู้บ้าง

- (เมื่อท่านกล่าวว่า รู้ไหมคือ….) รู้ความจริงเดี๋ยวนี้ไหม ไม่ใช่รู้เฉยๆ แต่รู้อะไร

- (ความจริงเดี๋ยวคือเห็น ได้ยิน…)

- ทีละขณะ เพื่อเข้าใจขณะนี้ ความเข้าใจขณะนี้สามารถที่จะนำไปสู่ความเข้าใจต่อๆ ไปขณะไหนก็ได้ ถ้าไม่เข้าใจความจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้จะไปเข้าใจความจริงขณะอื่นๆ ได้อย่างไร เพียงสิ่งเดียว ขณะเดียว เราพูดถึงทีละขณะเพื่อเข้าใจว่าใครรู้และใครไม่รู้บ้าง)

- (คุณประกาศ - ได้ยิน) เดี๋ยวนี้มีได้ยินใช่ไหม (มี) ได้ยินเกิดไหม (เกิด) ขณะที่ได้ยิน เราพูดถึงขณะที่ได้ยินเท่านั้น ได้ยินคืออะไร (มีหู มีเสียง ได้ยินก็เกิด) ได้ยินคืออะไร (ไม่ทราบคำตอบ) ด้วยเหตุนี้ ไม่รู้จักได้ยิน แล้วรู้จักเห็นไหม (เห็นก็ไม่รู้จัก ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร รู้ว่ากำลังมีเห็นแต่ไม่เข้าใจ)

- ทุกคนรู้ชื่อรู้คำแต่ความจริงเราพูดถึงทีละ ๑ ขณะ ไม่ใช่หลายๆ ขณะรวมกัน เพียงทีละ ๑ ขณะ เพราะฉะนั้นตอนนี้อยากจะสนทนาถึงขณะไหน เริ่มต้นใหม่ (ได้ยิน) งั้นเราจะสนทนาถึงได้ยินกันต่อ ได้ยินมีจริงไหม

- (คุณประกาศ - ได้ยินมีจริงแต่ว่าแต่ดับไปหมดแล้ว) ไม่เป็นไรๆ ได้ยินจริงใช่ไหม ได้ยินคืออะไร (เป็นแค่เสียง) ไม่ใช่ๆ ได้ยินเป็นเสียงไม่ได้ ได้ยินไม่ใช่เสียงเลย เพราะฉะนั้นลักษณะหรือความจริงของได้ยินคืออะไร

- (ได้ยินเสียงแล้วก็ดับ)

- (คุณสุคิน - ได้ยินคือเสียง ถูกไหม)

- (คุณประกาศ - ใช่ ได้ยินคือเสียง)

- (คุณสุคิน - ก่อนหน้านี้คุณบอกว่า ได้ยินได้ยินเสียง ดังนั้น ได้ยินได้ยินเสียงกับได้ยินคือเสียง สองประโยคนี้เหมือนกันไหม)

- (คุณประกาศ - คิดว่าต่างกัน แต่ไม่ทราบว่าได้ยินคืออะไร)

- ได้ยินมีจริงไหม (คุณประกาศ - มีจริง) ได้ยินเกิดไหม (เกิด) และได้ยินดับไหม (ดับ) เพราะฉะนั้นได้ยินคือหนึ่งขณะที่รู้เสียง ถูกไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นเป็นคุณที่ได้ยินหรือเป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นได้ยิน (ได้ยินเกิดขึ้นได้ยินไม่ใช่เรา) เพราะอะไร (ตอนนี้เอาความรู้ในขั้นฟังมาตอบว่า ไม่มีเรา มีเสียง มีหูมาประชุมกันให้เกิดได้ยิน) ไม่ใช่ เพียงสนทนาถึงความจริงของได้ยินเดี๋ยวนี้ (ที่ถามว่าเพราะอะไร ตอบไม่ได้)

- เราไม่สนใจในเห็น ในได้ยิน ฯลฯ เลยแต่เดี๋ยวนี้มีทั้งเห็นตทั้งได้ยินทีละหนึ่งขณะๆ ด้วยเหตุนี้เราจึงศึกษาว่ามีอะไรทีละหนึ่งขระเพื่อเข้าใจความจริง เพราะเหตุว่าความจริงก็คือ ก่อนที่เห็นจะเกิดไม่มีเห็นใช่ไหม ก่อนได้ยินเกิดไม่มีได้ยิน เพราะฉะนั้น เมื่อได้ยินเกิดขึ้นเพราะมีปัจจัยให้เกิดขึ้น ไม่มีใครทำให้ได้ยินเกิดขึ้นได้เลย เดี๋ยวนี้เห็นเกิด ได้ยินเกิด ไม่มีใครทำให้เกิดได้


ความคิดเห็น 2    โดย prinwut  วันที่ 19 ก.ค. 2568

- เพราะฉะนั้นเห็นไม่ใช่สิ่งที่ถูกเห็นและได้ยินไม่ใช่เสียง ถูกต้องไหม (ถูก) เพราะฉะนั้นเราเริ่มศึกษาเพื่อเข้าใจแต่ละขณะว่าความจริงที่มีคืออะไร มิฉะนั้นก็เป็นเรา เป็นใคร เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเสมอ แต่ตามความเป็นจริงเป็นเพียง ๑ ขณะของสิ่งที่กำลังมี ศึกษาเพื่อค่อยๆ เข้าใจแต่ละขณะเพื่อเข้าใจความจริงถึงที่สุดว่ามีอะไร ศึกษาเพื่อเข้าใจแต่ละขณะๆ เพื่อเข้าใจความจริงถึงที่สุดว่า สิ่งที่มีขณะนี้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย และทันทีที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับทันที ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย เริ่มศึกษาความจริงในชีวิตทีละขณะๆ เพราะว่ามีเห็น มีได้ยิน และมีขณะอื่นๆ ในชึวิตประจำวันที่สามารถรู้ได้ทีละเล็กทีละน้อยเพื่อที่จะเข้าใจความจริงถึงที่สุดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงประจักษ์แจ้ง จริงไหม นี้คือคำจริงที่กล่าวถึงเห็น ถึงได้ยินและขณะอื่นๆ ด้วย

- ด้วยเหตุนี้จึงเริ่มที่จะเข้าใจอย่างถูกต้อง อย่างหนักแน่น อย่างมั่นคงในความจริงในขณะนี้ ไม่เปลี่ยนเลยเพราะว่าได้ศึกษา ได้ไตร่ตรองอย่างละเอียดแยบคายเพื่อที่จะเข้าใจสิ่งที่มีเพิ่มขึ้นตามความเป็นจริง

- ใครทำให้เห็นเกิดได้ไหม (ไม่ได้) ใครทำให้ความติดข้องเกิดได้ไหม (ไม่ได้) ทั้งสองอย่างเป็นธรรมเป็นความจริงที่ต่างกันใช่ไหม (ใช่) นั่นคือความหมายถึงที่สุดของคำว่า ธรรม ธรรมมีจริงๆ มีลักษณะที่ใครก็เปลี่ยนไม่ได้ แต่ละ ๑ มีปัจจัยที่ต่างกันที่ทำให้แต่ละธรรมเกิดขึ้นเป็นขณะที่ต่างๆ กัน จริงไหม

- เพราะฉะนั้นก่อนเห็นไม่มีเห็นและเห็นเกิดแล้วดับ จะเป็นใครเห็นหรือเป็นเราเห็นได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นศึกษาเพื่อเข้าใจธรรมใช่ไหม (ใช่) สิ่งที่มีจริงไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไป เริ่มที่จะเข้าใจคำที่มาจากการตรัสรู้ ตอนนี้ไม่สงสัยคำว่า ธรรม แล้วใช่ไหมว่าธรรมคืออะไร หรือยังสงสัย

- เพราะฉะนั้นเพื่อมั่นคงขึ้นที่จะเข้าใจธรรม อีกครั้งหนึ่ง ​ธรรมคืออะไร (ไม่ทราบจะตอบอย่างไร) ธรรมคืออะไรก็ตามที่มีจริงๆ ใช่ไหม เห้นมีจริง เห็นไม่ได้ได้ยิน เสียงไม่ใช่เห็นไม่ใช่ได้ยิน เพราะฉะนั้นเห็นมีจริงไหม (มีจริง) เพราะฉะนั้นเห็นเป็นธรรมชนิดหนึ่งซึ่งมีจริงๆ เพราะกำลังมีกำลังเห็นเพราะเป็นลักษณะของสภาพที่เกิดขึ้นเห็นเท่านั้น เห็นเป็นธรรมเปลี่ยนสภาพที่เห็นเปลี่ยนลักษณะของเห็นไม่ได้เลย ศึกษาเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีเป็นประมัตถธรรมเป็นความจริงเป็นธรรม

- เพราะฉะนั้น ธรรมคืออะไรก็ตามที่มีจริงๆ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนในโลกนี้ บนบก ใต้น้ำหรือบนฟ้า หรือไม่ว่าที่ไหนๆ นอกโลกบนดวงจันทร์ ฯลฯ ทั้งหมดมีจริงเป็นธรรม อะไรที่จริงเป็นสภาพที่มีจริงๆ เริ่มค่อยๆ เข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

- ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เริ่มมั่นคงว่าทุกอย่างเป็นธรรมตั้งแต่ต้นเพื่อมมีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้นๆ เพื่อค่อยๆ ละความไม่รู้และความติดต้องและความเห็นผิดว่าเป็นเราซึ่งเป็นความคิดผิดความเข้าใจผิดซึ่งไม่ใช่ความจริงของสิ่งที่มีจริงแต่ละขณะเลย

- เพราะฉะนั้นตอนนี้เราต้องเข้าใจความหมายของคำว่า ธรรมให้ชัดเจนที่ไม่ใช่แค่คำ แต่อะไรก็ตามที่มีจริงเป็นธรรม มิฉะนั้นเราจะใช้คำไหนที่จะชี้ชัดหรือส่องให้เห็นถึงสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ได้ อะไรที่มีจริงมีจริงๆ ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนให้ไม่มีจริงได้เพราะกำลังมี กำลังเห็น ดังนั้นจึงมีจริงๆ

- เพราะฉะนั้นเห็นเป็นธรรมหรือเป็นสิ่งที่มีจริง เราจะใช้คำว่า สิ่งที่มีจริง หรือคำว่า ธรรมก็ได้เมื่อเข้าใจชัดเจนว่า ธรรมคืออะไร เพราะฉะนั้นในชีวิตประจำวันมีธรรมไหม (มี) มีอะไร (เห็น) ทำไมเห็นเป็นธรรม (เพราะไม่มีใครเปลี่ยนได้) ไม่ใช่ค่ะ เพราะเห็นมีจริงเพราะเป็นสิ่งที่มีจริง เข้าใคำว่า ธรรมชัดเจนเพิ่มขึ้นๆ เพื่อที่จะไม่คิดเองด้วยความคิดของตนเอง ธรรมต้องเป็นสภาพที่มีจริงๆ ไม่ว่าจะรู้หรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าจะใช้คำไหน ไม่ว่าใครจะไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร

- แต่ตามความจริงเรากำลังศึกษาความจริงสูงสุดที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ว่าขณะนี้กำลังมีเห็น แต่เห็นคืออะไรไม่มีใครรู้จนกว่าจะได้ฟังคำจริงจากผู้ที่ทรงตรัสรู้ เริ่มที่จะเข้าใจว่าอะไรเป็นธรรม เห็น ๑ ขณะเป็นธรรม ได้ยิน ๑ ขณะเป็นธรรม ทำไมใช้คำว่า ธรรม เพราะมีจริง อะไรที่มีจริงไม่ว่าจะเห็น ได้ยิน ชอบ เกลียด ฯลน ทั้งหมดเป็นธรรมเพราะมีลักษณะของตนๆ ที่ใครก็เปลี่ยนไม่ได้และนี้คือ คำสอนของท่านที่ได้ตรัสรู้

- หลังจากที่ได้ทรงตรัสรู้ พระองค์ตรัสว่า ธรรมละเอียดลึกซึ้ง เป็นความจริงไหมเดี๋ยวนี้หรือว่าธรรมง่าย หรือว่าธรรมเป็นเพียงชื่อเป็นคำไว้ให้คิดให้จำว่าความหมายว่าอะไร แปลว่าอะไร หรือว่าตามความเป็นจริงอะไรคือลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่แค่คำว่าธรรม ธรรมต้องเป็นสิ่งที่มีจริง ต้องเป็นลักษณะของแต่ละธรรม


ความคิดเห็น 3    โดย prinwut  วันที่ 19 ก.ค. 2568

- เห็นได้ยินได้ไหม (ไม่ได้) ทำไมไม่ได้ เห็น ๑ ขณะเป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นเพียงเห็นเพราะมีหูหรือโสตปสาทรูปและสิ่งที่มากระทบ ได้ยินจึงเป็นสภาพธรรมที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นรูํแจ้งอารมณืที่ีมากระทบโสตปสาทรูป จริงไหม

- เห็นมีจริงไหม (มีจริง) มีใครเปลี่ยนเห็นให้ไม่เห็นได้ไหม (ไม่ได้) ใครบังคับให้เห็นเกิดได้ไหม (ไม่ได้เพราะเห็นเกิดจากปัจจัย) ไม่มีใครสามารถทำให้เกิดขึ้นได้แม้ใครปรารถนาจะให้เห็นเกิดขึ้น เห็นก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ตามหวัง แต่เห็นต้องมีปัจจัย เห็นเกิดมีแล้วเพราะเหตุปัจจัย ถูกไหม และนี้คือความหมายของธรรม เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย มีลักษณะที่แตกต่างกันมากมายละเอียดมาก

- เพราะฉะนั้นที่ว่าอะไรคือเรียนธรรม ศึกษาธรรม เข้าใจธรรม ก็คือ ขณะนี้เดี๋ยวนี้ ใช่ไหม ถ้าไม่มีความเข้าใจเลยว่า ธรรมคืออะไร ผู้นั้นจะศึกษาธรรมได้อย่างไร จะประจักษ์แจ้งความจริงของธรรมได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ มีแค่คำ แต่สิ่งที่มีไม่ต้องกล่าวเป็นคำเป็นชื่อ จะเปลี่ยนชื่อเรียกชื่ออะไรก็ได้แต่เปลี่ยนลักษณะของธรรมที่กำลังมีเพราะเหตุปัจจัยไม่ได้เพราะเกิดแล้วดับไปทันทีก่อนที่ใครจะทันเรียกชื่อ จริงไหม

- เพื่อที่จะเริ่มเข้าใจธรรมไม่ว่าจะในพระอภิธรรมปิฎก พระสุตตันตปิฎก หรือพระวินัยปิฎก อรรถกถา ฯลฯ ถ้าท่านใดใช้คำว่าธรรม ก็ขึ้นอยู่กับว่าเข้าใจคำนั้นแค่ไหน

- ก่อนที่จะได้ฟังความจริงของสภาพธรรม เคยได้ยินคำว่า ธรรมไหม (ไม่เคย)

- (คุณสุคิน - ตอนเริ่มสนทนาท่านอาจารย์ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือใคร คุณตอบว่า พระองค์คือผู้ทรงตรัสรู้หรือผู้ที่ทรงเข้าใจสภาพที่เป็นอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าตอนนี้ถามคำถามนี้อีกจะตอบว่าอะไร)

- (คุณประกาศ - ผู้ที่เห็นสิ่งที่มีจริง)

- (คุณสุคิน - และอีกคำของคำว่าสิ่งที่มีจริงคืออะไร คือธรรม ใช่ไหม จะกล่าวว่าคือผูที่ทรงตรัสรู้วามจริงคือตรัสรู้ความจริงของธรรม และเมื่อท่านอาจารย์ถามว่าทำไม่สิ่งที่มีจริงถึงจริง ไม่ใช่ให้พูดตามที่ได้อ่านจากตำรา แต่หมายถึงความจริงของได้ยินที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เพราะว่า พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงตรัสรู้ได้ยินเมื่อวานหรือพรุ่งนี้ แต่ทรงตรัสรู้ความจริงของได้่ยินที่กำลังได้ยินในขณะนั้น เพราะฉะนั้นจะเข้าใจได้ยินได้คือเข้าใจได้ยินเดี๋ยวนี้ จะเข้าใจหรือไม่ก็คือขณะนี้ ไม่เข้าใจคือไม่เข้าใจ และนั่นคือสิ่งที่มีจริงอีกนิดหนึ่งคือ ความไม่รู้)

- จะสนใจแค่คำตอบหรือจะเข้าใจความจริง เพื่อเข้าใจความจริงต้องเริ่มที่จะตรงต่อความจริงเป็นสัจจะ ใช่ไหม ทีละเล็กทีละน้อยที่จะเป็นบารมีเพื่อไปถึงฝั่งของการตรัสรู้ความจริง ด้วยเหตุนี้จุดประสงค์ที่ฟังธรรมไม่ใช่เพื่อจำคำหรือเข้าใจคำที่ได้ยินแต่ยังไม่เข้าใจ แต่เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีเพราะะรรมคือเดี๋ยวนี้ ไม่ได้อยู่ในตำรา มีอยู่ตลอดทั่วไปทุกที่รอบๆ ตัว

- เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจว่าเรากำลังศึกษาอะไรที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ เพราะไม่เคยศึกษามาก่อนเลย แค่มีชีวิตอยุ่ไปวันๆ โดยที่จากขณะหนึ่งไปอีกขณะหนึ่งแต่ละขณะๆ ไม่ได้เข้าใจอะไรเลยและนั่นคือ อวิชชาที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ ตรงข้ามกับวิชชาที่เริ่มฟัง เริ่มไตร่ตรอง เริ่มตรงต่อความจริงไม่เปลี่ยนไปตามความคิดของตนอีกต่อไป แต่ค่อยๆ เข้าใจตามความจริงต่อไปๆ ตามลำดับขั้นทีละเล็กทีละน้อย ด้วยเหตุนี้ อริยสัจจ์ ๔ ทั้งสามรามไม่ใช่เพียงความเข้าใจอริยสัจจ์ ๔ รอบแรกรอบเดียว

- เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมจึงละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่คำที่กล่าวว่า “เห็นเป็นธรรม” “ได้ยินเป็นธรรม” ฯลฯ แต่เป็นความเข้าใจธรรมที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งซึ่งมีลักษณะของตนๆ ให้ประจักษ์แจ้งเพื่อค่อยๆ ละ ค่อยๆ ขัดเกลาความเห็นผิดว่าเป็นเรา เพราะความจริงคือดับหมดแล้วไม่เหลือและไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ เกิดขึ้นแล้วดับเพียงขณะเดียวในสังสารวัฏฏ์ เห็นไหม


ความคิดเห็น 4    โดย prinwut  วันที่ 19 ก.ค. 2568

- ด้วยเหตุนี้จึงศึกษาความจริงด้วยความเคารพสูงสุดในคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงถึงความจริงขณะนี้ที่ไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจด้วยตนเองได้แต่เข้าใจได้ด้วยการได้ยินได้ฟัง ได้พิจารณาไตร่ตรอง ประโยชน์คือเข้าใจแต่ละขณะที่เป็นไปในชีวิตประจำวัน เพราะว่าเป็นขณะที่กุศลเพิ่มขึ้นเพื่อละคลายอกุศลจนกว่าประจักษ์แจ้งความจริงไปตามลำดับซึ่งหมายถึงการละความไม่รู้ ความติดข้องและความเห็นผิดในขณะนี้ว่า เป็นเราเห็น เป็นเขาเห็น เป็นแมวเห็นแต่ความเป็นจริงเห็นจะเป็นแมวหรือเป็นคนเป็นอะไรไปไม่ได้ เห็นเป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดตามเหตุตามปัจจัยเพื่อเห็นเพียง ๑ ขณะเป็นธรรม เห็นไหม

- เพราะฉะนั้นตอนนี้เมื่อได้ยินใครพูดถึงธรรมก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของผู้นั้นว่าเข้าใจแค่ไหน ด้วยเหตุนี้ความเข้าใจสิ่งที่มีจริงเข้ามจบักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงจึงสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องเริ่มตั้งแต่ตอนนี้เข้าใจทีละน้อยๆ นี้คือหนทางที่จะเข้าว่า ใครคือผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริงแต่ละหนึ่ง

- และธรรมละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ถ้าธรรมไม่ละเอียดไม่ลึกซึ้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมียาวนานมากๆ เพื่ออบรมความเข้าใจถูกและบารมีอื่นๆ เพียงเพื่อประจักษ์แจ้งความจริงขณะนี้ว่า เป็นไปตามปัจจัยเกิดแล้วดับ

- (คุณประกาศ - เริ่มเข้าใจแต่มีคำถามว่า อะไรเป็นสิ่งนึงที่คนจะต้องให้ความสนใจเพื่อที่จะเข้าใจความจริงตามความเป็นจริง) คนหมายถึงอะไร คนๆ นึ่ง หมายถึงอะไร (ตัวเองอยากจะเข้าใจ อยากจะเห็นลักษณะของธรรม)

- เพราะฉะนั้นเท่าที่รู้ว่า ธรรมคืออะไร คำถามคือ มีคนไหม (ไม่มี) เห็นไหม เริ่มเป็นผู้ตรงและจริงใจต่อความจริงตั้งแต่เดี๋ยวนี้ว่า ไม่มีใครด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

- ตามความจริงขณะที่เห็นจะเป็นใครได้ไหม (คุณประกาศ - เป็นผมที่กำลังเห็ นคิดว่า เรากำลังเห็นใช่ไหมแต่ความจริงอเราอยู่ไหนขณะที่กำลังเห็น (มีตาของเรา ….) ไม่ใช่ๆ เพียง ๑ ขณะที่เห็น เราอยู่ไหน เราคืออะไร มีเราไหม หรือว่ากำลังมีเห็น เราอยู่ที่ไหน อะไรเป็นเรา (เกิดแล้ว) ถ้าไม่มีคิดจะมีเราไหม (ไม่มี)

- เห็นไหม คิดเป็นคิดใช่ไหม แล้วคิดจะเป็นเราหรือเป็นใครไปได้อย่างไร เป็นความเห็นผิดที่สะสมมานานมากหลายแสนโกฏกัปป์เหนียวแน่นลึกอย่างยิ่ง ทันทีที่ตื่นลืมตาก็เป็นเราที่ตื่นแล้ว เห็นไหม ความติดข้อง ความไม่รู้ไม่ปรากฏเลย เป็นเราไปทั้งวันจากแต่ละขณะไปสู่แต่ละฃณะตั้งแต่เกิดจนตายโดยที่ไม่รู้ไม่เข้าใจว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร ใครคือผู้ที่ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ไม่เข้าใจหรือมีความเข้าใจบ้าง หรือเข้าใจอย่างยิ่ง ซาบซึ้งอย่างยิ่งในพระปัญญา

- เพราะฉะนั้นตอนนี้มีเราหรือมีเห็น (มีเราเห็น) มีเราหรือมีได้ยิน (มีทั้ง ๒ อย่างพร้อมกัน) ไม่มีทาง ต้องเป็นความจริงทีละหนึ่ง

- (คุณสุคิน - เขาหมายถึง ตาเป็นเรา) บอกเขาเลยว่าเราไม่ใช่จักขุ หมายความว่าความเข้าใจเห็นยังไม่พอจึงยังเป็นเราที่เห็น มิฉะนั้นก็ไร้ประโยชน์ก็ที่ศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นในระดับที่สูงขึ้นถ้าไม่มีความเข้าใจตั้งแต่ต้นว่าะรรมคืออะไร

- ความจริงละเอียดไหม ลึกซึ้งไหม เห็นจะเป็นเราหรือเป็นใครได้อย่างไรในเมื่อมีปัจจัยให้เห็นเพียงเกิดขึ้นขึ้นแล้วดับไม่กลับมาอีกเลย เห็นจะเป็นเราหรือเป็นใครได้ไหม หรือว่าเห็นเป็นเพียงเห็น เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเห็นเกิดขึ้นเพื่อรู้แจ้งอารมณ์ ถ้าไม่มีสภาพที่มีจริงที่เกิดขึ้นรู้แจ้งอารมณ์ โลนี้ก็ไม่มี ไม่มีพระอาทิตย์ พระจันทร์ ไม่มีประเทศ ฯลฯ จริงไหม

- เพราะฉะนั้น ศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจความจริงถึงที่สุด ศึกษาความจริงว่าย่อมเป็นความจริงเพื่อพิจารณาว่า เป็นเราเห็นได้อย่างไร ถูกหรือผิด เพราะว่าเห็นมีปัจจัยให้เกิดเพื่อเห็นแล้วดับ เห็นจะเป็นเราหรือเป็นใครไม่ได้เลยเพราะว่า ดับหมดไม่เหลือ ไม่กลับมาอีกเลย จริงไหม


ความคิดเห็น 5    โดย prinwut  วันที่ 19 ก.ค. 2568

- นี้คือการเริ่มต้นที่จะมั่นคงอย่างยิ่งที่จะศึกษาพระธรรมด้วยความเข้าใจถูกต้องว่า ธรรมคืออะไร ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ถ้ายังมีความคิดว่า มีเราที่ฟัง มีเราที่เข้าใจ ฯลฯ นั่นไม่ใช่ความเข้าใจธรรมเลย จริงไหม

- เพราะฉะนั้นตอนนี้ ธรรมคืออะไร (ท่านอาจารย์ถามความเข้าใจในขั้นฟังหรือเปล่า) ไม่ได้สนใจเลย แต่ขึ้นอยู่กับระดับความเข้าใจของผู้ฟัง

- (คุณสุคิน - ความเข้าใจในระดับที่ต่างกันที่ท่านอาจารย์กล่าวบ่อยๆ ถึงอริยสัจจ์ ๔ สามรอบ สัจจญาณ กิจจญาณ กติญาณ หรือ ปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ เมื่อต้องกล่าวด้วยว่าจาก็เหมือนกันเป็นความจริงเหมือนกัน เป็นคำตอบเหมือนกันแต่ต่างกันที่ระดับของปัญญาที่ต่างกัน เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องพูดว่าระดับไหน คำตอบที่มาจากการเข้าใจในขั้นฟังก็เหมือนกับคำตอบขอบคนที่มีความเข้าจตรงลักษณะของสภาพธรรมแต่แต่ระดับของความความเข้าใจมีเพียงผู้นั้นเองเท่านั้นที่จะทราบว่า ระดับไหน)

- เพราะฉะนั้นถ้าถูกถามว่า ธรรมคืออะไร จะตอบว่าอย่างไร (คุณประกาศ - ธรรมมีจริง) สิ่งที่มีจริงเป็นธรรมใช่ไหม (ใช่) รู้ได้อย่างไรว่ามีจริง (เพราะเป็นสิ่งที่มีจริง) แค่คำตอบหรือ รู้ได้อย่างไรว่ามีจริง เป็นแค่คำตอบหรือเป็นความเข้าใจ ทำไมถึงจริง (เพราะเกิดขึ้นแล้วดับไป) นั่นคือความคิดถึงเรื่องของสิ่งที่มีจริง แต่เริ่มต้นใหม่อย่างละเอียดรอบคอบมากขึ้น ค่อยๆ ลึกซึ้งเพิ่มขึ้น ลึกซึ้งทีละน้อยๆ เห็นไหม ตอบตรงคำถามว่า เดี๋ยวนี้อะไรจริง เปลี่ยนคำถามแล้ว ก่อนหน้านี้ถามว่า ธรรมคืออะไร ตอนนี้ถามว่า เดี๋ยวนี้อะไรมีจริง

- (คุณประกาศ - เห็นมีจริง ได้ยินมีจริง) ทำไมถึงมีจริง (ตอบไม่ได้) เห็นไหม ความเข้าใจยากมาก ไม่ใช่แค่จำคำเลยแต่ค่อยๆ อบรมความเข้าใจถูกเพิ่มขึ้นทีละน้อยมาก ทำไมถึงจริง เพราะว่ากำลังมีเดี๋ยวนี้ เห็นไหม ถูกไหม กำลังเห็นเพราะฉะนั้นเห็นมีจริง เห็นเป็นสภาพที่มีจริง ไม่มีใครทั้งสิ้น ไม่ใช่แมว ไม่ใช่สุนัข ไม่ใช่งู ไม่ใช่มนุษย์ หรือเป็นใครเห็น แต่เห็นเป็นเห็น ถ้าไม่มีรูปทรงสัณฐาน ไม่มีรูปปรากฏเลย

- เห็นที่ไหนก็ได้ในสวรรค์ ในนรก เห็นมีจริงชั่วขณะที่กำลังมี เราศึกษาเพื่อค่อยๆ ชัดเจนขึ้นๆ เพื่อเข้าใจความจริงถึงที่สุดว่า เห็นจะเป็นใครหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้เลยเพราะว่า เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัยเพื่อเห็น เมื่อเห็นเกิดขึ้นแล้วก็ดับเท่านั้น ใช่ไหม และนี่คือธรรม ไม่ใช่ชื่อไม่ใช่คำที่แค่กล่าวถึงความหมายธรรมคืออะไรแต่เป็นความจริงขณะนี้ที่ไม่มีใครรู้เลยว่า กำลังเกิดขึ้นแล้วดับไป ด้วยเหตุนี้เราจึงศึกษาที่ละเล็กทีะน้อยถึงสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏ ไม่ใช่จินตนาการของเราแต่ความจริงกำลังมีสิ่งนั้นจริงๆ

- เพราะฉะนั้นเราศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงตามความเป็นจริงว่าไม่เหลือแล้ว ความสามารถเข้าใจได้ สามารถประจักษ์แจ้งความจริงได้ตามลำดับขั้น อริยสัจจ์สามรอบคือเดี๋ยวนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดับไปเป็นทุกขื ฯลฯ ทีละเล็กทีละน้อยค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มี นี้เป็นหนทางเดียวทีจะเข้าใจธรรมเพราะว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรมแต่ละขณะๆ ไม่ใช่เรา

- ถ้าไม่เข้าใจความจริงอย่างนี้ ไม่มีรู้จักพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ พระรัตนตรัย ไตรสรณะ ถูกไหม เพราะฉะนั้นนี้คือการเริ่มต้นของสัจจบารมี ตรงต่อความจริงทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งสิ่งที่มีปรากฏกับปัญญาความเข้าใจถูกจนถึงระดับที่สิ่งที่ปรากฏๆ กับความเข้าใจถูกเดี๋ยวนี้โดยการอบรมของปัญญา ไม่ใช่โดยการไปทำอะไรทั้งสิ้น นั่นผิดเพระาไม่มีความเข้าใจความจริงของเห็นเลย เพราะฉะนั้นผู้ที่ต้องการที่จะประจักษ์แจ้งความจริงโดยพยายามที่จะไปทำอะไร เพื่อเข้าใจอะไรในขณะที่ไม่มีความเข้าใจอะไรเลยสักขณะเดียว


ความคิดเห็น 6    โดย prinwut  วันที่ 19 ก.ค. 2568

- เพราะฉะนั้นคำสอนของผู้ที่ตรัสรู้แล้วจะค่อยๆ ละคลายความคิดว่าเป็นเราและความไม่รู้และอกุศลทุกประการไปทีละน้อย เพราะมีความเข้าใจถูกที่เจริญขึ้นๆ ไม่ว่าใครจะพยายามมากแค่ไหนที่จะเข้าใจความจริงด้วยความเป็นตัวตนก็เป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่อริยสัจจะ ๓ รอบ ไม่มีความเข้าใจในรอบที่ ๑ ไม่เข้าใจความจริงของเห็นเดี๋ยวนี้ จะมีการอบรมความเข้าใจที่จะละความไม่รู้ ความมืดบอด ความติดข้องในสิ่งที่ดับหมดแล้วไม่กลับมาอีกเลยได้อย่างไร ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง นี้เป็นหนทางที่จะประแจ้งความจริง ไม่มีหนทางอื่น จริงไหม

- (คุณประกาศ - ไม่เข้าใจ) ไม่เข้าใจอะไร (ไม่เข้าใจสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้) มีสิ่งที้่มีจริงเดี๋ยวนี้ไหม เดี๋ยวนี้มีเห็นไหม (เดี๋ยวนี้มีเห็น) สามารถรู้ได้ไหม (รู้ได้) ถ้ารู้ไม่ได้จะมีการตรัสรู้ความจริงถึงที่สุดในขณะนี้ว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใครเป็นอนัตตาได้ไหม อีกไกลมาก

- (คุณสุคิน - คำถามนี้สำคัญมาก ถ้าไม่เข้าใจเห็นเดี๋ยวนี้ ไม่เข้าใจได้ยินเดี๋ยวนี้ จะตรัสรู้ความจริงได้ไหม)

- (คุณประกาศ - เข้าใจหมายความว่าอะไร) (คุณสุคิน - หมายถึงเริ่มจากเดี๋ยวนี้ว่ามีจริงๆ และเข้าใจลึกขึ้นๆ คำถามคือ มีหนทางอื่นอีกไหมที่จะตรัสรู้ความจริงนอกจากการเข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้) (ไม่มีหนทางอื่น)

- ความเข้าใจถูกเป็นธรรมไหม (ไม่ทรามคำตอบ) เข้าใจชัดเจนขึ้นลึกซึ้งขึ้นในความเป็นธรรม ที่ไม่ใช่แค่คำ ไม่ใช่ตำราหรือข้อความกล่าวถึงสิ่งที่ไม่ได้มีเดี๋ยวนี้แต่แต่ละคำหมายถึงสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ความติดข้องต่างกับความไม่พอใจ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นความติดข้องเป็นธรรมหรือเปล่า ถ้าเราไม่รู้จักะรรมและไม่เข้าใจธรรมชัดเจนก็ไร้ประโยชน์ที่คิดที่จะศึกษาธรรมเพราะว่ายังไม่มีความเข้าใจว่าธรรมคืออะไร ต้องมีความเข้าใจธรรที่ชัดเจนว่า ธรรมลึกซึ้งอย่างยิ่ง ยังไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงเลย ด้วยเหตุนี้จึงฟังคำจริงที่แสดงความจริงของธรรมจากผู้ที่ได้ตรัสรู้แล้ว นี้เป็นหนทางเดียวที่จะเริ่มต้นศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีไม่ว่าจะจริงหรือไม่ แม้คำเดียวก็ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เช่น คำว่า ธรรม

- เพราะฉะนั้นตรัสรู้คืออะไร เห็นไหม คำมากมายแต่คืออะไร ตรัสรู้คืออะไร บางคนอยากจะตรัสรู้มาก พยายามอย่างหนัก ไปนั่งทำสมาธิ ทำหลายๆ ทาง แต่ตรัสรู้จริงๆ คืออะไร ไม่ใช่แค่คำ เพราะฉะนั้นการตรัสรู้คืออะไร เห็นไหม เพื่ออะไร อย่างไร และจะเริ่มต้นอย่างไรที่จะตรัสรู้

- (คุณประกาศ - เข้าใจความจริงขณะนี้คือการเริ่มต้นของการตรัสรู้) เพราะฉะนั้นความหมายของการตรัสรู้คืออะไร (คือความเข้าใจเดี๋ยวนี้) ถูกต้อง เพราะฉะนั้นเมื่อมไ่มีความเข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้ จะมีการตรัสรู้ได้ไหม (ไม่ได้) เห็นไหม เพราะฉะนั้นไม่ใช่แค่ตามคำไป บางคนคิดว่าต้อไปนั่ง ต้องคิด แต่ไม่มีความเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้

- เพราะฉะนั้นเป็นไม่ได้ที่จะตรัสรู้ความจริงเพราะว่า ความจริงคือเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นต้องศึกษาความจริงขณะนี้ด้วยความมั่นคงว่า เป็นธรรมเท่านั้นและสิ่งที่มีจริงๆ ก็เป็นสิ่งนั้นๆ เพระว่ามีสิ่งที่มีจริงมากมายหลากหลาย

- เพราะฉะนั้นอีกครั้งนึง ธรรมคืออะไร (คุณประกาศ - คือสิ่งที่มีจริง) เดี๋ยวนี้มีไหม (มี) ขณะที่กำลังหลับสนิทมีธรรมไหม (มี) ธรรมอะไร แค่บอกว่ามีธรรมไม่พอ ขณะที่หลับสนิทมีเห็นไหม (มีเห็น) ไม่มีเลย ขณะที่หลับสนิทไม่รู้อะไรเลย ใช่ไหม แต่ต้องมีสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นรู้แจ้งอารมณ์ แต่เป็นไม่ใช่อารมณ์ของโลกนี้ ที่ผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

- คุณแอนฟังตั้งแต่เมื่อไหร่ (คุณแอน - ฟังตั้งแต่ต้น) ยากไหม (ไม่ยากมากแต่) ยากที่จะรู้ว่าธรรมเป็นธรรม (ถ้าไม่รู้ก็ยาก จะเข้าใจว่าธรรมคืออะไรก็ยากด้วย) ยากที่สุด (ท่านอาจารย์ถามว่าประจักษ์แจ้งคืออะไร สำหรับดิฉันไม่คิดมาก ยังไกลมากแต่เป็นคำถามที่ดี เพราะว่าถ้าไม่มีความเข้าใจว่า ธรรมคืออะไรซึ่งลึกซึ้งอย่างมาก ก็ไม่ต้องไปหวังที่จะเข้าใจอย่างรวดเร็วชัดเจนเพราะต้องเข้าใจมากๆ จริงๆ ถ้าไม่เข้าใจว่าธรรมคืออะไรก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าใจว่า การตรัสรู้คืออย่างไร)


ความคิดเห็น 7    โดย prinwut  วันที่ 19 ก.ค. 2568

- (คุณสุคิน - เมื่อพูดถึงการตรัสรู้ ตรัสรู้อะไร)

- (คุณแอน - ตรัสรู้ความจริง คิดว่ายิ่งฟังมากเท่าไหร่ ยิ่งเข้าจเพิ่มขึ้นเท่านั้นและจะมีความเข้าใจว่าตรัสรู้คืออะไรเพิ่มขึ้น)

- (คุณสุคิน - ด้วยเหตุนี้จึงมีความเข้าใจ ๓ รอบ เพราะฉะนั้นแม้เป็นความเข้าใจในขั้นฟังก็มีความมั่นคงในหนทางในอริยสัจจ์ที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ มีความเข้าใจในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ เพิ่มมากขึ้น และมั่นคงขึ้น)

- (คุณแอน - คิดถึงการตรัสรู้ ก็คิดว่ายังห่างไกลมากและเป็นเป้าหมายสูงสุดในพุทธศาสนา เมื่อท่านอาจารย์ถามคุณประกาส ก็ไม่เคยคิดถึงคำถามนี้จริงจัง)

- (คุณสุคิน - คนส่วนใหญ่ที่เรียกตัวเองว่า เป็นชาวพุทธ ศึกษาคำสอนของพระองค์มีความคิดว่า พระองค์เป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้ แต่ทรงตรัสรู้อะไรนั่นคือสิ่งที่สำคัญ)

- (คุณแอน - ถ้าไม่เข้าใจว่าธรรมจริงๆ คืออไร ก็ไม่สามารถที่จะอบรมเจริญปัญญาได้ สำคัญที่คำถาม ความเข้าใจในคำถาม และ ค่อยๆ ตอบคำถามไปตามที่เข้าใจ)

- (คุณประกาศ - ขอสนทนาต่อ การปฏิบัติเดี๋ยวนี้ขณะที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังเข้าใจ ปัจจัยคือความจริงที่กำลังเกิดขึ้น ความคิดที่ว่าเรากำลังเห็น เรากำลังได้ยิน นำไปสู่ความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นว่ามีปัจจัยที่ทำให้เห็น มีปัจจัยที่ทำให้ได้ยิน ไม่ใช่เรา อย่างนี้คือการปฏิบัติที่เรากำลังสนทนากันใช่หรือไม่)

- (คุณสุคิน - คำว่า ปฏิบัติเป็นคำที่มีความหมายเฉพาะในทางธรรม เรามาฟังท่านอาจารย์กันดีกว่า)

- กรุณาบอกหน่อยว่า ปฏิบัติคืออะไร (คุณประกาศ - การปฏิบัติเดี๋ยวนี้คือ ผมกำลังได้ยินท่านอาจารย์ มีความเข้าใจว่า มีเสียง มีได้ยินที่เกิดขึ้นแต่ไม่มีใคร มีแต่ปัจจัยที่ทำให้ได้ยินเกิดขึ้น) นั่นเป็นความเข้าใจหรือเป็นการปฏิบัติ เพราะฉะนั้นขณะนี้สามารถที่จะตรัสรู้ได้ไหม (ได้) อย่างไร (กำลังเข้าใจตามความเป็นจริง) ถ้ามีความเข้าใจเดี๋ยวนี้ จะเป็นการตรัสรู้ได้ไหม (ไม่ได้)

- ใครทำอะไรให้ตรัสรู้ได้ไหม (ไม่มีใครทำอะไรได้) ด้วยเหตุนี้คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงอริยสัจจ์ ๔ จึงมีสามรอบใช่ไหม และรอบแรกคืออะไร เพียงรอบแรกของอริยสัจจ์ ๔ ไม่ใช่สัจจะเดียวแต่สัจจะทั้ง ๔ เป็นความเข้าใจในขั้นฟังเท่านั้น ลึกซึ้งแค่ไหน เพราะว่าต้องศึกษาอย่างละเอียดตั้งแต่อริยสัจจ์ที่ ๑ ทุกคนทราบไหมว่าอริยสัจจ์แรกคืออะไร มีใครทราบไหม มีใครเคยได้ยินไหม อริยสัจจธรรม

- ถ้าไม่เข้าธรรมจะเข้าใจสัจจธรรมได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้น ต้องมีความเข้าใจที่มั่นคงชัดเจนลึกซึ้งในธรรม ใช่ไหม เพื่อที่จะไม่ลืมว่าเป็นธรรมทุกที่ทุกเวลาทุกขณะไม่ว่าจะเป็นธรรมประเภทไหนที่กำลังเกิดขึ้น

- เพราะฉะนั้นวันนี้มีอะไรตั้งแต่เช้าจนถึงเดี๋ยวนี้ (มีได้ยิน มีเห็น มีคิด) ทั้งหมดเป็นธรรมใช่ไหม แต่แตกต่างกันใช่ไหม ถ้าไม่เกิดขึ้นจะสามารถปรากฏได้ไหม ถ้าไม่เกิดขึ้นจะมีเดี๋ยวนี้ไหม (ไม่) ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าอะไรที่เกิดขึ้น เกิดเพราะมีปัจจัยให้เกิด ไม่มีสามารถทำให้เกิดขึ้น และนั่นคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ธรรมธรรมปวงเป็นอนัตตา

- ไม่มีใครทำให้เกิดได้ ไม่ว่าอะไรที่เกิดแล้วดับเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคัญชาของใคร มั่นคงขึ้นไหม (มั่นคงขึ้น) และเมื่อมั่นคงเป็นสัจจบารมี เริ่มที่จะค่อยๆ มั่นคงขึ้นๆ ในสัจจะความจริงว่า หนทางเดียวคือ เข้าใจตามความเป็นจริงทีละเล็กทีละน้อย เพราะว่า ขระที่เข้าใจสิ่งนั้นก็ดับแล้ว เพียงเกิดขึ้นแล้วดับไปอย่างรวดเร็วสุดประมาณ สิ่งที่มีสามารถรู้ได้เป็นนิมิตเครื่องหมายของสภาพธรรม

- เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ ๑ ขณะของเห็นแต่มากมายหลายขณะเพราะฉะนั้นเป็นนิมิตที่เป็นเครื่องหมายของเห็นว่ากำลังเห็น ถูกไหม ประจักษ์แจ้งเห็นได้ไหม (ได้) ถ้าปราศจากความเข้าใจที่ลึกซึ้งในเห็นขณะนี้ จะสามรถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงของเห็นได้ไหม ถ้าไม่มีความเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังเห็นที่ต่างจากสิ่งที่ถูกเห็น

- เริ่มไตร่ตรอง เริ่มพิจารณาว่าสิ่งที่ถูกเห็นไม่ใช่เห็น ถูกต้องไหม เพรระฉะนั้นเดี๋ยวนี้อะไรปรากฏ (ได้ยิน เห็น) ไม่ใช่ๆ ได้ยินไม่ได้ปรากฏ เห็นไม่ได้ปรากฏ อะไรปรากฏเดี๋ยวนี้ (หมายความว่าอะไร) อะไรกำลังถูกเห็น อะไรกำลังปรากฏ ถ้าไม่ปรากฏก็เห็นไม่ได้ ได้ยินไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ถูกเห็นไม่ใช่เห็น ถูกต้องไหม

- (คุณสุคิน - เมื่อบอกว่ากำลังเห็นเดี๋ยวนี้ มีเห็นไหม รู้ว่ามีเห็นแล้งอะไรปรากฏ สิ่งที่ถูกเห็นคือสิ่งที่ปรากฏ เห็นเห็นอะไร เห็นเห็นสิ่งที่มีจริง เห็นสิ่งที่เป็นอารมณ์ที่ถูกเห็น เมื่อบอกว่า เห็นมีจริงเดี๋ยวนี้ อะไรปรากฏ ต้องมีสิ่งที่ปรากฏ

- (คุณประกาศ - อารณ์ปรากฏ)

- (คุณสุคิน - อารณณ์ปรากฏ และตัวเห็นปรากฏไหม)

- (คุณประกาศ - ปรากฏ)


ความคิดเห็น 8    โดย prinwut  วันที่ 19 ก.ค. 2568

- (คุณสุคิน - เห็นปรากฏและอารมณ์ของเห็นก็ปรากฏพรน้อทกันหรืออย่างไร ปรากฏหมายความว่า รู้ว่ามีสิ่งนี้ เช่น ได้ยินที่รู้ว่ามีได้ยินเพราะได้ยินเสียง ด้วยการที่ได้ยินเสียงจึงว่ามีได้ยิน มีแต่เสียงคือสิ่งที่ปรากฏ นี้คือความหมายของคำว่า ปรากฏ

- (คุณประกาศ - เพราะฉะนั้นเสียงปรากฏ)

- (คุณสุคิน - สิ่งที่มีจริงก็อย่างหนึ่ง แต่ขณะที่ได้ยินต้องมีเสียง ต้องมีได้ยิน ต้องมีหูใช่ไหม แต่ปรากฏได้ทีละ ๑ หูปรากฏไหม ได้ยินปรากฏไหม)

- (คุณประกาศ - เสียงปรากฏแน่ๆ แต่ได้ยินปรากฏหรือไม่ ไม่แน่ใจ)

- (คุณสุคิน - หูปรากฏไหม)

- (คุณประกาศ - ปรากฏ)

- (คุณสุคิน - รู้ในขั้นฟังว่าต้องมีหู แต่หูไม่ได้ปรากฏ เพราะฉะนั้นขณะที่เห็นอะไรปรากฏ)

- (คุณประกาศ - เห็นกับอารมณ์ของเห็นปรากฏ)

- (คุณสุคิน - อารมณ์ปรากฏไม่ใช่เห็น จริงไหม ก็เหมือนกับได้ยิน เสียงปรากฏแต่ได้ยินไม่ปรากฏ)

- (คุณประกาศ - เข้าใจอย่างนี้เพื่ออะไร)

- (คุณสุคิน - สิ่งที่เข้าใจได้คือเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ เห็นเป็นสิ่งที่มจริง ดสตปสาทรูปเป็นสิ่งที่มีจริง และสามารถที่จะรู้ตรงลักษณะเมื่อมีความเข้าใจมากพอ ด้วยความเข้าใจของเราในขั้นนี้ ได้ยินไม่ปรากฏ หูไม่ปรากฏ สิ่งที่ปรากฏคือเสียง แม้เสียงก็ละเอียดอย่างยิ่ง เสียงไม่ได้ปรากฏกับความเข้าใจ แต่ด้วยความเข้าใจในขั้นฟังก็รู้ว่า เสียงเป็นธรรมกำลังมีเสียง แต่ลักษณะของเสียงนั้นความเข้าใจยังไม่พอ ยังไม่ใมีความเข้าใจในขั้นรู้ตรงลักษณะหรือขั้นที่ประจักษ์แจ้ง ด้วยความเข้าใจในขั้นนี้ ได้ยินไม่ปรากฏ เพราะได้ยินละเอียดกว่าเสียง

- (คุณประกาศ - เพราะฉะนั้นที่บอกว่าได้ยินไม่ปรากฏ หมายความว่าอะไร) ​

- (คุณสุคิน - ได้ยินเป็นจิต จิตกับรูปอะไรละเอียดกว่ากัน เพราะฉะนั้นตอนนี้มีเสียง แต่สิ่งที่พอเข้าใจได้คือเสียง เพราะได้ยินไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจว่า ปรากฏคืออะไร ไม่ใช่ว่ามีอะไร สิ่งที่มีจริงๆ ขณะนั้น ปรากฏหมายความว่ากำลังมีสิ่งนั้นให้รู้ เชิญท่านอาจารย์)

- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้อะไรปรากฏ ไม่มีอะไรปรากฏ หรืออะไรกำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ (เสียง) เสียงปรากฏ เสียงสามารถได้ยินได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นเสียงไม่ใช่ได้ยินใช่ไหม (ใช่) เสียงกับได้ยินต่างกันตรงไหน อะไรมีจริง เห็นกับเสียง อะไรจริง (สิ่งที่มีจริงคือสิ่งที่เกิดดับ) จริงทั้งคู่ใช่ไหม และได้ยินไม่ใช่เสียง แล้วต่างกันตรงไหน

- (คุณประกาศ - ได้ยินได้ยิน เห็นเห็น) เพราะฉะนั้นได้ยินกำลังได้ยินเดี๋ยวนี้ ได้ยินปรากฏไหม (ปรากฏ) ได้ยินปรากฏหรือเสียงปรากฏ (เสียงเกิด เห็นปรากฏ) ไม่ใช่ เห็นปรากฏหรือว่าสิ่งที่ถูกเห็นปรากฏ (เริ่มสับสน)

- (คุณสุคิน - ท่านอาจารย์ถามว่า เห็นปรากฏหรือสิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏ) (สิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏ)

- กลิ่นปรากฏหรือสิ่งที่รู้กลิ่นปรากฏ (คุณประกาศ - กลิ่นปรากฏ) กลิ่นรู้กลิ่นไหม ขณะที่ได้กลิ่น ขณะนั้นกลิ่นปรากฏ ถ้าไม่มีสภาพที่รู้กลิ่น กลิ่นต้องถูกรู้ มิฉะนั้นกลิ่นปรากฏไม่ได้ รู้กลิ่นกับกลิ่นต่างกัน เพราะฉะนั้นอะไรปรากฏขระที่รู้กลิ่น อะไรปรากฏ (สภาพที่รู้กลิ่น) เพราะฉะนั้นอะไรปรากฏกลิ่นหรือสภาพที่รู้กลิ่น

- (คุณสุคิน - ตอนนี้ผมกำลังได้กลิ่นที่คุณประกาศไม่สามารถรู้ได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นกลิ่นที่คุณได้กลิ่นบนเครื่อง ผมไม่ได้กลิ่นนั้นใช่ไหม ดังนั้นต้องมีสภาพที่มีจริงขณะที่มีกลิ่น ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลิ่นมีจริง แต่ไม่ได้ได้รู้กลิ่นนั้นแต่สำหรับคุณประกาศ กลิ่นมีอยู่ตรงนั้นดังนั้นกลิ่นนั้นจึงมีจริงๆ และเพราะกำลังได้กลิ่นนั้นคือกำลังรู้กลิ่นนั้น เพราะฉะนั้นขณะนั้นมีความจริง ๒ อย่างคือ สภาพที่กำลังรู้และสภาพที่ถูกรู้)

- (คุณสุคิน - เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เมื่อมีการรู้กลิ่นบางอย่าง อะไรปรากฏ (การรู้กลิ่นปรากฏ) เดี๋ยวนี้มีการรู้กลิ่นอะไรไหม กำลังได้กลิ่นอะไร (ได้กลิ่นสมุนไพร) นั่นคือสิ่งที่ปรากฏใช่ไหม กลิ่นนั้นกำลังปรากฏถึงรู้ได้ว่ามีกลิ่นนั้น เพราะฉะนั้นการรู้กลิ่นปรากฏหรือกลิ่นปรากฏ กลิ่นและการรู้กลิ่นเป็นสองอย่างที่ต่างกัน (การได้กลิ่นเป็นสภาพรู้) เราพูดถึงสิ่งที่ปรากฏเพราะฉะนั้นกลิ่นปรากฏเพราะเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ขณะที่กำลังได้ยินอะไรปรากฏ (เสียง) เสียงปรากฏใช่ไหม (ใช่) ไม่ใช่ได้ยิน มีได้ยินแต่ได้ยินไม่ได้ปรากฏ)

- (คุณสุคิน - เพราะฉะนั้นเมื่อกล่าวว่า มีได้กลิ่นการได้กลิ่นปรากฏ ถูกต้องไหม (ถูกต้อง) สภาพที่ได้กลิ่นปรากฏหรือกลิ่นปรากฏ มี ๒ คำ กลิ่นกับสภาพที่ได้กลิ่น เป็น ๒ อย่างที่ต่างกัน (กลิ่น) กลิ่นปรากฏใช่ไหม แล้วสภาพที่รู้กลิ่นปรากฏไหม)


ความคิดเห็น 9    โดย prinwut  วันที่ 19 ก.ค. 2568

- (คุณประกาศ - สภาพที่ได้กลิ่นเป็นสภาพรู้ใช่ไหม)

- (คุณสุคิน - ใช่ มีอยู่ เข้าใจว่าถ้าไม่มีสภาพที่ได้กลิ่นก็รู้กลิ่นไม่ได้ ที่รู้กลิ่นได้เพราะมีสภาพรู้เกิดขึ้นรู้กลิ่นนั้น เพราะฉะนั้นการได้กลิ่นต้องมีขณะนั้นแต่คำถามคือ การได้กลิ่นไม่ปรากฏ)

- (คุณประกาศ - ที่ไม่ปรากฏเพราะมีอยู่แล้วขณะนั้น)

- (คุณสุคิน - มีสภาพที่ได้กลิ่น และที่เข้าใจว่ามีอยู่ด้วยการคิดนึก คุณคิดว่ารู้ตรงลักษณะของสภาพที่ได้กลิ่นใช่ไหม) (ใช่) (คุณสุคิน - เชิญท่านอาจารย์)

- ได้ยินต่างจากเสียงไหม (คุณประกาศ - ได้ยินไม่ต่างจากเสียง เพราะเชื่อมโยงกัน) อีกครั้งนึง ได้ยินกับเสียงต่างกันไหม (ต่างกัน) เพราะฉะนั้นได้ยินเป็นเสียงได้หรือเป็นเสียงไม่ได้ (ได้ยินไม่ใช่เสียงเป็นเสียงไม่ได้) แล้วเสียงเป็นได้ยินได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าไม่มีได้ยินเสียงปรากฏให้ได้ยินได้ไหม (ไม่ได้) ด้วยเหตุนี้ได้ยินจึงได้ยินเสียงใช่ไหม (ได้ยินได้ยินเสียง)

- เพราะฉะนั้นตอนนี้ อะไรปรากฏ (ได้ยิน) ไม่มีเสียงหรือ (มีเสียงด้วย) แล้วเสียงปรากฏหรือได้ยินปรากฏ ทั้ง ๒ อย่างปรากฏพร้อมกันไม่ได้ (ได้ยินปรากฏ) ได้ยินกับเสียงปรากฏพร้อมกันได้ไหม (ไม่ได้ เสียงเกิดก่อนแล้วได้ยินจึงเกิดขึ้น)

- (คุณสุคิน - เราไม่ได้กำลังพูดถึงสิ่งที่เกิดแล้วดับ แต่เรากำลังพูดถึงขณะที่รู้ว่าอะไรมีจริง มีเพียงสิ่งที่ปรากฏได้ทีละหนึ่งใช่ไหม)

- (คุณประกาศ - มีเสียงแรกแล้วจึงมีได้ยิน)

- (คุณสุคิน - รู้เสียงแรกได้อย่างไร รู้เสียงก่อนเสียงปรากฏหรือ)

- (คุณประกาศ - ไม่ได้รู้อย่างนั้น)

- (คุณสุคิน - เพราะฉะนั้นจะรู้ได้เมื่อเสียงนั้นปรากฏใช่ไหม เพราะฉะนั้นเมื่อรู้ว่ามีเสียงขณะนั้นรู้ได้ยินด้วยไหม สิ่งที่ปรากฏปรากฏได้ทีละ ๑ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเมื่อมีการรู้เสียง ขณะนั้นไม่สามารถที่จะรู้ได้ยินได้ แต่รู้ว่าได้ยินมีเพราะเคยได้ฟัง เพราะฉะนั้นท่านอาจารย์ถามว่า แต่ละครั้งที่เข้าใจได้ยินอะไรที่ปรากฏจริงๆ เสียงปรากฏหรือได้ยินปรากฏต่อความเข้าใจ)

- (ไม่รู้คำตอบ) (เช่นเดี๋ยวนี้ มีเสียงใช่ไหม เพราะฉะนั้นเสียงกำลังปรากฏ คุณรู้ต้องมีได้ยินแต่ตัวได้ยินปรากฏหรือไม่ในขณะนั้น หรือขณะนั้นเสียงปรากฏ ทุกขณะที่ได้ยิน ได้ยินปรากฏหรือเสียงปรากฏทุกครั้งหรือได้ยินปรากฏด้วย) (ได้ยินปรากฏด้วย) (นั่นคือสิ่งที่ยังสับสน)

- เดี๋ยวนี้อะไรปรากฏ (คุณประกาศ - มีทั้งเสียงและได้ยิน รู้สึกว่าปรากฏพร้อมกัน) อารมณ์สองอย่างปรากฏพร้อมกันได้ไหม (ได้ฟังว่าไม่ได้แต่จากประสบการณ์คือเสียงและได้ยินปรากฏพร้อมกัน)

- นั่นคือคิด ไม่ใช่ขณะที่ได้ยินเลย เราพูดถึง ๑ ขณะ ขณะที่ได้ยินได้ยินเสียงใช่ไหม มิฉะนั้นเสียงปรากฏไม่ได้ถ้าได้ยินไม่ได้รู้เสียง เพราะฉะนั้นขณะที่เสียงปรากฏต้องมีได้ยินที่ได้ยินเฉพาะเสียงนั้นเท่านั้นดังนั้นเสียงนั้นจึงปรากฏ เพราะว่าได้ยินกำลังรู้เสียงนั้น ถ้าไม่สภาพรู้ ไม่มีได้ยิน เสียงก็ไม่สามารถปรากฏได้เลย

- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้อะไรปรากฏ เริ่มที่คิดไตร่ตรองพิจารณาว่า เดี๋ยวนี้อะไรปรากฏ (เสียง) แล้วเสียงกับได้ยินปรากฏพร้อมกันได้ไหม (เมื่อเสียงปรากฏได้ยินก็เกิด) ไม่ได้พูดการเกิดขึ้น พูดถึงเพียงอารมณ์ที่ปรากฏ สองอย่างปรากฏพร้อมกันได้ไหม สิ่งที่มี ๒​ อย่างที่ต่างกันปรากฏพร้อมกันได้ไหม

- (คุณประกาศ - ความเข้าใจในการศึกษาเรื่องราวคือปรากฏได้ แต่ไม่เคยรู็อย่างนั้น) เพราะฉะนั้นความเข้าใจในขั้นเรื่องราวหมายความว่าอย่างไร ที่เข้าใจถูกต้องว่ามีอะไรขณะนั้น (จากการศึกษาคือเมื่อเสียงปรากฏ ได้ยินก็ปรากฏแต่ยังไม่ได้รู้อย่างนั้นจริงๆ)

- เพราะฉะนั้นเราสนทนากันทีละขณะเพื่อเข้าใจความจริง เริ่มที่จะเข้าใจความจริงเพียงทีละ ๑ ขณะ มีหลายขณะมากมายที่ไม่เข้าใจอะไรเลย ด้วยเหตุนี้เราจึงเริ่มพูดถึงความจริงของ ๑ ขณะ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้พูดถึงได้ยินใช่ไหม เพราะฉะนั้นตรงต่อความจริง ได้ยินเป็นเสียงหรือเปล่า (เป็น) ได้ยินคืออะไร (ได้ยินได้ยินเสียง) เพราะฉะนั้นได้ยินสามารถที่จะเป็นเสียงได้ไหม (ได้ยินไม่สามารถเป็นเสียงได้)

- เพราะฉะนั้นมีธรรม ๒ อย่างใช่ไหม (ใช่) มีเสียงและมีได้ยินใช่ไหม เริ่มสนทนาแค่ทีละหนึ่งธรรม ตอนนี้เรากำลัวสนทนาถึงเสียง เสียงคืออะไร เสียงได้ยินได้ไหม

- (คุณประกาศ - เสียงเป็นสิ่งที่มีจริง) เมื่อไหร่ (เมื่อเดี๋ยวนี้) เมื่อถูกได้ยิน ถูกไหม เพราะว่า ขณะนั้นเสียงเกิดขึ้นเพื่อถูกรู้โดยได้ยิน ถ้าไม่มีได้ยินแม้เสียงเกิดขึ้นตามปัจจัยแต่จะได้ยินเสียงนั้นไม่ได้เลย ถูกไหม เริ่มตรงต่อความจริงทีละเล็กทีละน้อย


ความคิดเห็น 10    โดย prinwut  วันที่ 19 ก.ค. 2568

- เพราะฉะนั้น เสียงเป็นได้ยินได้ไหม (เป็นไม่ได้) ได้ยินเป็นเสียงได้ไหม (ไม่ได้) สามารถปรากฏพร้อมกันได้ไหม (ไม่ได้) สองอย่างต่างกันจึงปรากฏพร้อมกันไม่ได้ใช่ไหม

- เพราะฉะนั้นเสียงกับได้ยินต่างกันตรงไหน (ไม่ทราบคำตอบ) ได้ยิน ได้ยิน ได้ยิน คืออะไร (ได้ยินได้ยินเสียง) ได้ยินหมายความว่าเป็นสภาพที่ได้ยินใช่ไหม เพราะฉะนั้นได้ยินมีจริงไหม (มีจริง) เพราะฉะนั้นได้ยินเป็นธรรมประเภทหนึ่งเพราะว่ามีจริงๆ เมื่อได้ยินใช่ไหม เราสนทนากันทีละเลผ้กทีละน้อยเพื่อเข้าใจธรรม

- เพราะฉะนั้น ได้ยินเป็นเสียงไม่ได้ใช่ไหม ดังนั้นอะไรคือความต่างระหว่างได้ยินกับเสียง (คุณประกาศ - ได้ยินได้ยินเสียง แต่เสียงไม่ได้ยินอะไร) เพราะฉะนั้นมีธรรม ๒​ ประเภท ประเภทหนึ่งเกิดขึ้นเพื่อรู้เพื่อได้ยิน แต่อีกประเภทหนึ่งไม่สามารถที่จะได้ยินแม้เกิดขึ้นตามปัจจัย

- ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติคำที่ต่างกันสำหรับเรียกสิ่งที่มีจริงที่แตกต่างกัน สิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์เป็นนามเป็นธรรม เพราะฉะนั้นมีนามธรรม ๒ อย่างๆ หนึ่งเกิดขึ้นเพื่อรู้อารมณ์เรียกว่า นามธรรม คือสภาพอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ และธรรมอีกประเภทหนึ่ง เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นตามปัจจัยแต่ไม่รู้อะไรเลย ตอนนี้มีธรรม ๒ อย่างแล้ว ค่อยศึกษาเพื่อเข้าใจธรรมที่ละน้อย จาก ๑ ประเภทเป็น ๒ ประเภทแล้ว

- นามธรรมเกิดขึ้นแล้วไม่รู้อะไรได้ไหม (เป็นไปไม่ได้) เดี๋ยวนี้มีธรรมไหม (มี) ใครทำให้เกิดขึ้น (ไม่มีใครทำให้เกิด) เพราะฉะนั้นเป็นอนัตตา ไม่อยุ่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ค่อยๆ ศึกาาความจริงที่เล็กทีละน้อยเพื่อมั่นคงเป็นสัจจบารมีตั้งแต่เริ่มต้น

- เพราะฉะนั้นคำถามคือเดี๋ยวนี้มีธรรมไหม (มี) มีธรรมกี่ประเภท (มีหลากหลายประเภท) มีกี่ประเภท ธรรมต่างโดยลักษณะ นามคือสภาพที่เกิดขึ้นรู้ เกิดเพราะเหตุปัจจัยเพื่อรู้เท่านั้น เช่น เห็นเดี๋ยวนี้เป็นเห็น ได้ยินเดี๋ยวนี้เป็นได้ยิน เพราะฉะนั้นธรรมอย่างหนึ่งเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยเพื่อรู้อารมณ์ คำที่ใช้เพื่อแยกระหว่างความจริง ๒ อย่าง คือ นามธรรม เมื่อไหร่ที่ได้ยินคำว่า นามธรรมให้ทราบว่า หมายถึงสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ เปลี่ยนไม่ได้เลย เพราะว่าเป็นสภาพที่เกิดขึ้นรู้

- อีกประเภท ๑ เป็นสภาพที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่งแต่ไม่สามารถรู้อะไร เรียกว่า รูปธรรม เพราะฉะนั้นถ้าเพียงคำว่า ธรรม ก็มี ๒ ประเภทใหญ่ๆ ประเภทหนึ่งเป็นนามธรรมอีกประเภทหนึ่งเป็นรูปธรรม และความต่างคือ นามเกิดขึ้นเพียงเพื่อรู้อารมณื และรูปไม่ว่าจะรูปอะไรก็ตามเกิดขึ้นตามปัจจัยแต่ไม่สามารถรู้อะไรได้เลยเป็นรูปธรรม

- เพราะฉะนั้นตอนนี้ไม่สงสัยว่าอะไรเป็นนามธรรม อะไรเป็นรูปธรรมใช่ไหม เพราะฉะนั้นในชีวิตประจำวันอะไรเป็นรูปธรรม (เสียง สิ่งที่ปรากฏทางตา กลิ่น คิดนึก) ไม่ใช่คิดเป็นคิดเป็นสภาพรู้ มีอะไรอีกที่เป็นนามธรรม กำลังมีเดี๋ยวนี้ (แข็ง) ถูกต้อง อะไรอีก (แข็งอ่อน ร้อนเย็น) ถูกต้องๆ และเพื่อที่จะเข้าใจความจริงมีอะไรอีกที่เป็นรูปธรรม

- (คุณสุคิน - ขณะที่เห็นมีรูปอะไร)

- (คุณประกาศ - สิ่งที่ปรากฏทางตา ตาเป็นรูป สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นรูป)

- (คุณสุคิน - ในวันหนึ่งมีแข็งอ่อน ความเย็นความร้อน สิ่งทีปรากฏทางตา เสียง ยังมีรูปอะไรอีกในหนึ่งวัน)

- (คุณประกาศ - ความเย็นความร้อน อ่อนแข็ง เสียง รส กลิ่น)

- (คุณสุคิน - ถ้าไม่มีลิ้นจะรู้รสไหม (ไม่) เพราะฉะนั้นลิ้นก็เป็นรูปใช่ไหม หูก็เป็นรูป ตาก็เป็นรูป (รูปทั้งหมดในร่างกาย) ​ เพราะฉะนั้น นี้คือสภาพธรรมที่เป็นรูปที่เกิดแล้วดับในแต่ละวันตลอดเวลา)

- ดีไหมที่ได้รู้ว่ามีอะไร ที่ได้เข้าใจแต่ละขณะในชีวิต (ดี) เป็นมงคลอย่างยิ่งเพราะว่า จะไม่มีวันเข้าใจอะไรในชีวิตเลย ถ้าปราศจากการศึกษา การสนทนา การพิจารณาไตร่ตรองสิ่งที่มีทีละเล็กทีละน้อยเพื่อเข้าใจธรรม และตอนนี้เพื่อเข้าใจว่า อะไรเป็นนามธรรมและอะไรเป็นรูปธรรม ไม่มีใครเลยทั้งสิ้น อนัตตา ต้องค่อยๆ มั่นคงขึ้นๆ โดยการฟังการไตร่ตรองจนกระทั่งไม่เป็นโลกของอัตตาอย่างเดิม ความจริงสูงสุดที่เป็นอริยสัจจ์ ๓ รอบ ด้วยเหตุนี้ศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงที่มีค่าที่สุดในชีวิตคือ ความเข้าใจ และสัจจบารมี

- เพราะฉะนั้นคราวหน้าเราจะสนทนาธรรม นามธรรม รูปธรรม อะไรอีกในชีวิตประจำวัน ทุกอย่างเป็นธรรมบางอย่างเป็นนามธรรม บางอย่างเป็นรูปธรรม ไม่มีเรา ไม่มีใคร ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด ทุกอย่างเป็นธรรม เป็นอนัตตา ไม่สงสัยในคำนี้แล้วใช่ไหม ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา มิฉะนั้นก้เป็ฯเพียงความคิด พูดถึงความคิดแต่ไม่มีความเข้าใจลักษณะของธรรมเลย เพราะฉะนั้นรอบแรกคือขณะนี้ซึ่งจะนำไปสู่รอบที่ ๒ และรอบที่ ๓ ทีละเล็กทีละน้อยต่อไป

- ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านนะคะ สวัสดีค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย prinwut  วันที่ 19 ก.ค. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง

กราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน คุณแอน คุณประกาสและผู้ร่วมฟัง ร่วมสนทนาทุกท่านครับ

กราบขอบพระคุณ กราบอนุโมทนาคณะอาจารย์และเจ้าหน้าที่ มศพ. ทุกท่านครับ


ความคิดเห็น 12    โดย chatchai.k  วันที่ 20 ก.ค. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ