ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๑๓
โดย khampan.a  21 พ.ค. 2566
หัวข้อหมายเลข 45972

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจาก
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๑๓


~
ต้องเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ควรฟังยิ่งกว่าคำของใคร ไม่ว่าใครจะพูดเรื่องอะไรมากมายสักเท่าไหร่ก็ตาม อดีตนานแสนนานมาแล้ว จนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ คำของคนอื่นทุกคำกับคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เปรียบกันไม่ได้เลย
~
ศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพในจุดประสงค์ที่แท้จริง คือ เพื่อละความไม่รู้มากมายมหาศาล ขณะนั้นเป็นการเริ่มขัดเกลา มิฉะนั้น จะเอาอะไรขัดเกลาความไม่รู้ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความประพฤติทั้งหลายที่ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์
~ ตราบใดที่ยังไม่เห็นประโยชน์ของการที่จะเป็นผู้ตรงต่อความเป็นจริงในความเป็นธรรมไม่ใช่เรา ไม่มีทางที่จะเห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อยได้
~ ความดีเป็นสิ่งที่ควรทำ และเวลาที่จะทำความดี เราก็ไม่สามารถที่จะเลือกได้ว่าวันไหน ทำได้ทุกวัน ดีได้ทุกวัน
~
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ต้องเข้าใจแม้คำแรกว่า "ธรรม" ต้องลึกซึ้ง ไม่ใช่ใครก็เข้าใจได้ โดยที่ไม่ได้คิด ไม่ได้ไตร่ตรอง เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี นานเท่าไหร่ กว่าจะได้ตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งใช้คำว่าธรรม เพราะฉะนั้น ประมาทไม่ได้เลย แต่ละคำ เหมือนตั้งต้นใหม่ ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ก็ต้องตั้งต้น ถ้าไม่ตั้งต้น จะเข้าใจได้อย่างไร?
~
กิเลสมาจากความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ความรู้เท่านั้นที่จะดับกิเลส
ฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจอย่างเดียว ตลอดชีวิต ทุกชาติฟังเพื่อเข้าใจ เพราะเข้าใจ คือ ความเห็นถูกต้อง เป็นปัญญา ปัญญาก็ทำหน้าที่ละความไม่รู้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมด
~
การศึกษาพระพุทธศาสนาไม่ได้จำกัดเลย หญิงหรือชาย เด็กหรือผู้ใหญ่ เชื้อชาติใดทั้งสิ้น ผู้ที่มีโอกาสได้ฟังธรรม ได้เห็นประโยชน์ ได้เข้าใจ ก็สามารถที่จะขัดเกลากิเลส แล้วก็รู้ในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้
~
เพราะไม่รู้จึงทำสิ่งที่ไม่ดี แต่ถ้ามีปัญญาก็จะเห็นโทษของความไม่รู้ และรู้ว่าความดีก็ต่างกับความไม่รู้ ความดีไม่เคยนำสิ่งที่เป็นโทษมาให้เลยสักอย่างเดียว และความดีเท่านั้นก็ยังไม่พอ ต้องเป็นปัญญาที่สามารถชำระจิตใจให้บริสุทธิ์จากความไม่รู้ด้วย เพราะเหตุว่า ความไม่รู้เป็นต้นเหตุของความไม่ดีทั้งหมด
~ รีบเร่งทำกุศลทุกประการ เพื่อที่จะขัดเกลาชำระล้างจิตที่ดำสกปรกออกไป เพราะว่าถ้ามองไม่เห็นว่า จิตสกปรกแล้วเป็นจิตของเราเอง เราก็โกรธคนอื่น แล้วเห็นแต่ความไม่ดีของคนอื่น ในขณะนั้นคนนั้นกำลังสบาย แต่เรากำลังเติมความดำความสกปรกให้กับจิตใจของเรา ซึ่งคนอื่นก็จะเอาความดำ ความสกปรกของจิตใจเราออกไม่ได้ นอกจากปัญญาของเราเอง
~
ถ้าใครเป็นผู้ที่หวังดีต่อพระภิกษุ ให้ภิกษุรูปที่ประพฤติผิดได้เข้าใจถูกต้อง หวังดีไหม? กล่าวถึงพระธรรมวินัยให้ถูกต้องว่าประพฤติอย่างนี้ไม่ได้ เป็นโทษ พระภิกษุนอกจากจะบวชแล้ว ยังจะต้องศึกษาพระธรรมด้วย แล้วก็ประพฤติตามพระวินัยด้วย พระวินัยงามพร้อมทั้งกายและวาจา ไม่ผิดกฏหมายใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่ถ้าความประพฤตินั้นผิดกฏหมาย รู้ได้เลย ผิดธรรมวินัย เพราะว่าพระวินัยขัดเกลายิ่งกว่ากฏหมาย
~ อกุศลแม้มีมากสะสมมาในแสนโกฏิกัปป์ในสังสารวัฏฏ์ ยังดับได้ ด้วยอะไร ต้องเป็นสิ่งที่มีกำลังพอที่จะดับได้ แต่ถ้าปัญญาไม่ถึงระดับนั้น ดับไม่ได้ แล้วจะมีปัญญาระดับนั้นเมื่อไร ถ้าไม่ค่อยๆ สะสมไปทีละเล็กทีละน้อย ไม่ประมาทแม้เพียงกุศลเล็กน้อย
~
เมื่อพูดถึงเรื่องของความตายก็ควรที่จะเป็นประโยชน์ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นแน่นอน ช้าหรือเร็ว ไม่มีเครื่องหมาย ไม่มีใครที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป จะไปสู่ทางไหน จะเป็นคนดี หรือ คนเลว ที่ไป ก็อยู่ที่ขณะนี้
~
เคยโกรธใคร เคยเกลียดใคร คนนั้นไม่ติดตามเราไปในภพหน้า แต่ความโกรธของเราติดตามไป ความเข้าใจพระธรรมเท่านั้น ที่จะเป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลให้ค่อยๆ ขัดเกลาสิ่งที่ไม่ดีออกไปจากจิตได้
~ เห็นโทษของอกุศล และก็รู้ว่ากุศลเท่านั้นที่เป็นสิ่งซึ่งไม่เป็นโทษใดๆ ทั้งสิ้น และถ้าไม่เริ่มขัดเกลาอกุศลวันนี้ จะรอเมื่อไหร่?
~ เมตตา คือ ความเป็นมิตร ความเป็นเพื่อน ความหวังดี ความปรารถนาดี ถ้าเราเป็นเพื่อนกับใคร จะสังเกตได้เลยว่า เราคิดถึงแต่จะให้ประโยชน์กับเขา ไม่เคยคิดที่จะเบียดเบียนทำร้ายเลย นั่นคือ ลักษณะของเพื่อนจริงๆ

~
พบกัน เป็นมิตรที่หวังดีจริงๆ ไม่หวังร้ายเลย ไม่ว่าในเรื่องใดทั้งสิ้น เพราะว่า แล้วก็จากกันเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากกว่านี้เลย แต่ละภพ แต่ละชาติ เพราะฉะนั้น ก็เป็นโอกาสที่จะได้เป็นคนดี ด้วยการเข้าใจพระธรรม แล้วก็สะสมความเห็นถูก เพื่อที่จะขัดเกลาจิต คนฉลาด เห็นโทษ ขัดเกลาเลย ไม่รอ พรุ่งนี้ขัด ดีไหม? พรุ่งนี้ขัดเกลา ดีไหม? ช้าไปแล้ว เพิ่มกิเลสอีกตั้งเท่าไหร่ ในวันนี้ เพราะฉะนั้น ทุกขณะ เป็นขณะที่มีค่าจริงๆ ถ้าได้เข้าใจว่า ประโยชน์อยู่ที่แต่ละขณะ ซึ่งมีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์ มีโอกาสได้ฟังพระธรรม มีโอกาสได้รู้จักยาที่จะรักษาโรคของจิต
~ รู้ว่ามีกิเลสมากๆ รู้ว่ามีความไม่รู้มากๆ จะได้ไม่ประมาทอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย เพราะประมาณไม่ได้เลยว่าอกุศลมากแค่ไหน แต่ว่าจากการฟังพระธรรมก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้น ก็สะสมความเข้าใจเพิ่มขึ้น
~ เพราะเหตุใด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงเรื่องของอกุศลธรรม? เพราะเป็นสภาพธรรมที่มีจริง และถ้าไม่ทรงแสดง จะรู้ได้อย่างไรว่าแต่ละคนสะสมสิ่งที่ไม่ดีมามากมายแค่ไหน
~ การที่ได้ฟังพระธรรมก็เหมือนกับเป็นการเกิดใหม่ ที่จะทำให้จิตใจน้อมไปในทางที่เป็นกุศลเพิ่มขึ้น เพื่อที่จะละคลายอกุศล ซึ่งแตกต่างจากก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม
~ คนที่ไม่สนใจฟังพระธรรม มีมากมาย เกิดมาก็สนุกสนานไปวันหนึ่งๆ มีชีวิตอยู่วันหนึ่งๆ ก็พอแล้ว ไม่ได้คิดว่า พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเป็นประโยชน์มหาศาล ไม่ใช่ประโยชน์เพียงชั่วครั้งชั่วคราว แต่เป็นประโยชน์ที่จะทำให้สามารถที่จะเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้
~ แต่ละชาติที่เกิดมา เมื่อมีโอกาสได้ฟังพระธรรม เห็นค่าของพระธรรม เห็นหนทาง แล้วรู้ว่าไกล เพราะฉะนั้น ตลอดชีวิตนั้นก็เพิ่มความดี เพราะเหตุว่า ขณะใดก็ตามที่เป็นอกุศล ขณะนั้นไม่ได้เข้าใจธรรมเลยและก็เพิ่มอกุศลอยู่ตลอดเวลา หนทางยิ่งยาวไปอีก ไกลไปอีก
~
การที่เราสะสมอบรมอุปนิสัยในทางที่ดีทีละเล็กทีละน้อย ก็จะทำให้เราคุ้นเคยกับสิ่งที่ดี
~
โลภะเป็นสภาพธรรมที่ติดข้อง เกิดเมื่อไหร่ก็พอใจติดข้องในสิ่งที่เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง เปลี่ยนลักษณะของโลภะให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ธรรมประเภทไหนเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น
~
โทสะของเรากับโทสะของคนอื่นต้องเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าโทสะของเราไม่เป็นไร แต่ของเขาน่าเกลียดมาก ไม่ได้ โทสะคือ สภาพที่หยาบกระด้างประทุษร้าย เกิดกับใครคนนั้นเป็นอย่างนั้น เพราะเหตุว่า ไม่มีสัตว์ บุคคล มีแต่สภาพธรรมที่กำลังเกิดขึ้นทำกิจการงานอย่างนั้น



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๑๒


... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...



ความคิดเห็น 1    โดย ปาริชาตะ  วันที่ 21 พ.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย มังกรทอง  วันที่ 21 พ.ค. 2566

ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 3    โดย swanjariya  วันที่ 21 พ.ค. 2566

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง


ความคิดเห็น 4    โดย JSung  วันที่ 21 พ.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย ภาคภูมิอรุณศรี  วันที่ 22 พ.ค. 2566

กราบขอบพระคุณ และอนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 6    โดย jaturong  วันที่ 22 พ.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 7    โดย tim7755tim  วันที่ 22 พ.ค. 2566

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
กราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารย์และกัลยาณมิตรทุกท่าน