ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๙๕

~ ความเห็นผิด น่ากลัวและเป็นอันตรายอย่างยิ่ง และก้าวล่วงได้ยาก ถ้าเกิดยึดถือในความเห็นผิดนั้นแล้ว ที่จะปล่อยจากความเห็นผิดนั้น ยาก เพราะว่าความเห็นผิดเกิดขึ้นขณะใด ในขณะนั้นจะเห็นถูกไม่ได้ แต่ขณะใดที่ความเห็นถูกเกิดขึ้น ขณะนั้นจะรู้ว่า ความเห็นอย่างไร ผิด และความเห็นอย่างไร ถูก แต่ขณะใดก็ตาม ซึ่งความเห็นผิดกำลังเกิดขึ้น ขณะนั้นไม่สามารถที่จะรู้ได้ ว่า เป็นความเห็นผิด
~ สิ่งที่มีจริงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้โดยละเอียดอย่างยิ่ง โดยประการทั้งปวง ไม่เหลืออะไรไว้ให้ใครต้องไปหาทางคิดเองอีก
~ ประโยชน์ของการที่จะพิจารณาสภาพธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง เพื่อให้เกิดสัมมาทิฏฐิ ความเข้าใจถูก เพราะถ้าไม่ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง จะไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงว่า เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
~ ใครยังมีความเห็นผิดอยู่ ใครยังประพฤติปฏิบัติผิดอยู่ และใครยังมีความยึดมั่นในข้อประพฤติปฏิบัติผิดอยู่ นั่นก็เป็นอาการที่ปรากฏของมิจฉาทิฏฐิ
~ ถ้าเป็นธรรมฝ่ายที่ไม่ดี ก็ทำให้สิ่งที่ไม่ดี ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ เป็นไปในทางที่ไม่ดี นี่คือ กำลังของธรรมที่ไม่ดี แต่ถ้าเป็นธรรมที่ดี ตรงกันข้ามที่จะไปทำให้สิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น กำลังของทั้งสองอย่าง จึงต่างกัน เพราะฉะนั้น กำลังของธรรมฝ่ายดี ก็ต้องทำให้สิ่งที่ดีงามเป็นประโยชน์เกิดขึ้นเป็นไป เท่านั้น
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมโดยละเอียด ตลอด ๔๕ พรรษา เพื่อให้ผู้มีโอกาสได้ฟัง ได้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง เป็นทางที่จะทำให้ผู้นั้นถึงความเป็นผู้ปลอดภัยจริงๆ คือ สามารถดับกิเลสได้
~ พระพุทธศาสนา เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้ความจริง ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้เลย ไม่รู้อะไรเลย แล้วจะเป็นชาวพุทธได้อย่างไร
~ ชื่อว่า พาล เพราะเป็นอยู่หายใจได้เท่านั้นเอง มีชีวิตอยู่โดยเพียงหายใจเข้าหายใจออก แต่ว่าตลอดชีวิตนั้นไม่ได้เป็นอยู่ด้วยความเป็นอยู่ด้วยปัญญา
มีมากหรือน้อย ถ้าคิดถึงบุคคลในโลกนี้
~ การฟังพระธรรมมีประโยชน์มากมายมหาศาล การฟังเป็นความดี เป็นเหตุให้การฟังเจริญ เมื่อมีการฟังครั้งหนึ่งแล้ว ผู้ที่เห็นประโยชน์จะไม่หยุดอยู่แค่นี้ ก็จะมีความอดทนมีความเพียรที่จะฟังที่จะศึกษาต่อไปอันเป็นโอกาสที่มีค่าที่สุดสำหรับชีวิต ผู้ที่สะสมเหตุที่ดี มีศรัทธา เห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจพระธรรมมาแล้วจึงมีโอกาสได้ฟังได้ศึกษา ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้ฟัง
~ ถ้าสะสมความดีมามาก ก็ย่อมจะกระทำความชั่วได้ยากเหลือเกิน ไม่สามารถจะกระทำได้อย่างง่ายๆ เพราะสะสมมาที่จะละอาย รังเกียจในสิ่งที่ไม่ดี
~ กัลยาณปุถุชน คือ คนที่มีคุณความดีที่ได้ศึกษาพระธรรมแล้วรู้ว่า อะไรดี อะไรชั่ว ปัญญาที่เข้าใจพระธรรมก็จะนำพาชีวิตไปในทางที่เป็นประโยชน์ แล้วค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ จนกว่าความรู้จะเพิ่มขึ้น
~ ทาน คือ การสละวัตถุเพื่อประโยชน์สุขของบุคคลอื่น ในขณะที่สละ ขณะนั้นไม่เห็นแก่ตัว เพราะฉะนั้น ปัญญาเริ่มต้นด้วยมนสิการ (ใส่ใจ) โดยความเป็นของไม่เที่ยง เคยคิดไหมเวลาที่จะให้วัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะรู้ว่า ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเที่ยง แม้แต่ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ในวันนี้ ซึ่งยังไม่ได้ให้ ก็อาจจะสูญหายไปก่อนที่จะให้ก็ได้ เพราะว่าทรัพย์สมบัติก็ไม่เที่ยง หรือแม้แต่ตัวเราเอง ซึ่งยังไม่ได้ให้ทาน ก็ไม่เที่ยง เพราะฉะนั้น อาจจะสิ้นชีวิตไปก่อนที่จะให้ทานก็ได้ เมื่อพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงของแม้ผู้ให้และผู้รับ และทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดกุศลที่จะช่วยสงเคราะห์บุคคลอื่น ด้วยการสละสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่บุคคลนั้น ด้วยความรู้ด้วยความเข้าใจ ในขณะนั้นก็เป็นปัญญาบารมีได้ แต่ว่าวันหนึ่งๆ จะคิดอย่างนี้หรือเปล่าในขณะที่ให้?
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทั้งหมด เพื่อเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริง จนกระทั่งสิ่งนั้นปรากฏความเป็นธรรมนั้นๆ ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น การที่จะไม่เป็นเราได้ ก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจลักษณะของแต่ละหนึ่ง ไม่ปะปนกัน แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น (ตั้งแต่ขั้นการฟัง)
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สอดคล้องกันหมด ธรรมไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเราด้วย
~ แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาจากพระปัญญา ซึ่งรู้ว่าสัตว์โลกไม่รู้ เพราะฉะนั้น ความรู้จะไม่มีเลยถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงธรรม เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ฟังไว้ เพื่อที่จะค่อยๆ เข้าใจจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงได้ตามลำดับ
~ มีความจริงในขณะนี้ซึ่งใครๆ ก็บังคับให้เกิดไม่ได้ และจะให้เป็นไปอย่างที่ต้องการก็ไม่ได้ จะให้คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็ไม่ได้ ทั้งหมดแสดงความไม่ใช่เราและไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเราชัดเจนมาก ว่า เกิดแล้วทุกอย่าง ไม่ว่าใครจะคิดอะไรเดี๋ยวนี้ เกิดแล้วทั้งนั้น
~ ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมเลย ก็จะต้องเป็นอย่างนี้ในสังสารวัฏฏ์ คือ ไม่รู้ความจริง เหมือนมืดสนิท หลงว่ามีสิ่งนั้นสิ่งนี้ โดยที่ไม่มีเลย จากชาตินี้ไปก็ไม่เหลือแล้ว แต่ละชาติๆ ก็ไม่เหลืออะไรเลย
~ สาวก คือ ผู้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เก็บคำที่ได้ฟัง (ด้วยความเข้าใจ) ไม่ใช่คำอื่นที่ไปคิดเอง
~ ถ้าบอกว่าไม่ต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปฏิบัติธรรมเลย นั่นคือ ย่ำยีพระศาสนาคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ผู้ที่เกิดมาเป็นโทษ ไม่เป็นประโยชน์ ก็คือ ผู้ที่มีความเห็นผิดและชักชวนให้คนอื่นเห็นผิด
~ การสนทนาธรรมเป็นมงคล เพื่อเข้าใจถูกต้องจึงมีการสนทนา สิ่งใดผิด ก็ต้องทิ้ง สิ่งไหนถูก ก็ต้องถูก
~ แม้การฟังธรรม ก็ยังต้องมีการตั้งจิตไว้ชอบ แต่ไม่ใช่เราที่ตั้ง เพราะทั้งหมด ต้องไม่ใช่เรา ต้องเป็นความละเอียด ความรอบคอบ ความเห็นประโยชน์ และรู้ว่าเป็นเรื่องขัดเกลา
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ซึ่งไม่เคยขาดเลย คือ มีธาตุรู้ซึ่งอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น บังคับบัญชาไม่ได้
~ ถ้าปิดบัง เปลี่ยนแปลง กล่าวตู่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยิ่งเป็นโทษ เพราะเหตุว่าทำให้คนอื่นเข้าใจผิด
~ การกล่าวถึงธรรม ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด และด้วยความเคารพ ด้วยความมั่นคงและจริงใจที่จะกล่าวคำตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ไม่ใช่เอาความคิดของเราที่ไม่ตรงไปเพิ่ม ซึ่ง (การเอาความคิดของเราที่ไม่ตรงไปเพิ่ม) นั่นก็เป็นการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ มีเพียงแค่สิ่งที่ปรากฏ ต้องเฉพาะที่ปรากฏด้วย แล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีก ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงอย่างนี้จริงๆ จะละไหม ก็ต้องรู้ว่าจะไปติดข้องอะไรกับสิ่งที่หมดแล้วจริงๆ และไม่กลับมาอีกและยิ่งเป็นการประจักษ์ชัดเจนต่อหน้าต่อตา ความที่เคยเป็นเราก็ต้องค่อยๆ หมดไปตามกำลังของปัญญา
~ เราไม่เดือดร้อน ใครจะเข้าใจไม่เข้าใจ ก็เป็นอนัตตา จะไปทำอะไรได้ แต่ก็ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดเท่านั้นเอง ประโยชน์นั้น ก็เป็นทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ของคนอื่นด้วย
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมทั้งหมดโดยประการทั้งปวง เพราะฉะนั้นแต่ละคำนำมาซึ่งความค่อยๆ เข้าใจจากคำที่กล่าวถึงธรรมด้วยพระปัญญาที่ได้ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้น คำนั้นเป็นธัมมเตชะ (ธรรมเดช) สามารถที่จะทำให้เข้าใจได้ว่า ไม่มีเรา ตอนก่อนที่ไม่ได้ฟังก็เป็นเราทั้งนั้นเลย เป็นของเราหมดเลย แต่พอฟังแล้ว คำนั้นๆ สามารถที่จะทำให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องเกิดขึ้นได้
~ โลภะไม่มีวันอิ่ม แต่การฟังธรรมก็ไม่พอ ถึงแม้การฟัง เห็นประโยชน์แล้วรู้ว่าอิ่มใจที่ได้ฟัง แต่ก็ยังไม่พอ อิ่มใจที่ไม่เห็นผิด
~ ยากมากที่จะไม่ตามโลภะไปด้วยความต้องการ เพราะว่าโลภะนานมากที่คุ้นเคยกันมา มองไม่เห็นเลย
~ กุศลเล็กๆ น้อยๆ ทำไมประมาท ถ้าไม่ทำกุศล ก็อกุศลทั้งนั้นเลยทั้งวัน
~ ตอนนี้ที่เข้าใจประโยชน์และคุณของกุศล แล้วเห็นโทษของอกุศลเพิ่มขึ้นไหม หรือว่ายังพอใจที่จะให้อกุศลทุกประการมากเหมือนเดิม โลภะก็ยังเท่าเก่า โทสะก็ยังให้เหมือนเดิม หรือว่า ปัญญาเริ่มนำ ไม่ใช่เรา แต่ปัญญานำไปให้เห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย และเห็นประโยชน์ของกุศลแม้เพียงเล็กน้อย ปัญญา ทำให้ขยันในกุศล แล้วค่อยๆ เบาบางทางฝ่ายอกุศล
~ กุศล (ความดี) เท่านั้น ที่ขณะนั้นไม่มีอกุศล แต่ถ้าไม่เป็นกุศล ก็ต้องเป็นอกุศล แล้วเราก็ให้โอกาสแก่อกุศลมามากเท่าไหร่แล้วในชีวิตของเรา?
~ เครื่องวัดว่าเรามีปัญญาระดับไหน ก็คือ ชีวิตประจำวันที่ค่อยๆ เปลี่ยนบ้างหรือเปล่า ค่อยๆ ทำอย่างอื่นที่เป็นกุศลโดยไม่ขัดเคือง โดยไม่ได้ไปเพ่งโทษใคร เพราะฉะนั้น ก็เห็นต่างกันมากเลย ว่า ถ้าเราไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้เข้าใจอย่างนี้เราก็เหมือนเดิม แต่ว่าปัญญานำไปในกิจที่เป็นกุศลทั้งปวง
~ ชีวิตประจำวันก็เป็นเครื่องส่องให้รู้ ว่า ปัญหาทั้งหมดมาจากอกุศล แล้วก็ปัญหาทั้งหมด ไม่มี เมื่อจิตเป็นกุศล
~ ทาน (การให้) ก็สละความเห็นแก่ตัว สามารถที่จะให้คนอื่นได้ จะให้สิ่งของที่เป็นประโยชน์ ให้คำที่เขาสบายใจหรือมีกายวาจาอะไรก็ได้เหมือนกับให้เขาได้มีความสุข ขณะนั้นก็เป็นทานอย่างหนึ่ง ให้วัตถุก็ได้ให้คำพูดก็ได้ให้ความเข้าใจธรรมก็ได้ ขณะนั้นก็ค่อยๆ ละความที่ว่าเราจะเหนื่อยหรือเราจะลำบาก ... เพราะเหตุว่า ขณะนั้นเพื่อการละ เพื่อการสละ เพราะว่าอกุศลมากมายมหาศาลไม่มีทางจะหมดได้ถ้าไม่มีกุศลและถ้าไม่เริ่มต้น แล้วใครๆ ก็บังคับใครไม่ได้ ขึ้นอยู่กับปัญญา
~ พรุ่งนี้เราอาจจะตายก็ได้ จึงไม่พึงล่วงเลยขณะที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ควรที่จะได้ฟังพระธรรม และสะสมสิ่งที่ดี ต่อไป.
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๙๔

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์และกราบอนุโมทนากุศลจิตทุกประการค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
กราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ...ครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ธรรมมีมานัสพร้อม รับฟัง อันเกิดกุศลดัง ธาตุรู้ จิตเจตสิกเป็นพลัง เสริมส่ง หนุนแฮ กราบอาจารย์สุจินต์ผู้ เปี่ยมด้วยเมตตา