ปัญหาของการฟังมาก อ่านมาก รู้มาก
โดย anucha  2 ม.ค. 2550
หัวข้อหมายเลข 2578

ไม่แน่ใจว่าเคยมีใครโพสต์เนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือเปล่านะครับ พอดีไม่ได้สแกนดูข้อความทั้งหมดน่ะครับ เอาเป็นว่าปัญหาก็คือพอฟังมาก อ่านมาก รู้มาก จำมากแต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติจริงๆ เพราะไม่รู้ว่าปฏิบัติจริงๆ เริ่มยังไง บางทีก็เหมือนกับว่าจะต้องรู้จักรูปและนามก่อน หรือพิจารณาความจริงเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตายเพื่อให้เกิดความสลดสังเวช หรือพิจารณาเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของสิ่งภายนอกแล้วนำมาเทียบกับตัวเรา ไปๆ มาๆ เลยเหมือนกับไม่รู้จะพิจารณาอะไรก่อน เหมือนสุ่มเดาเอาน่ะครับ ผมไม่รู้ว่าจะมีใครมีปัญหาอย่างนี้บ้าง แต่ผมเชื่อว่า ผู้ปฏิบัติธรรมก็มีความต้องการที่จะเห็นธรรมบางอย่างเพื่อลดความทุกข์ของตัวเองได้บ้าง และก็เชื่อว่าถึงตอนนี้จะมีความอยากอยู่ แต่เมื่อเห็นจริงตามความเป็นจริงแล้วก็จะลดความอยากนั้นเอง เพราะถ้าไม่มีความอยากปฏิบัติธรรม ก็ไม่มีทางที่จะเริ่มต้นอะไรได้



ความคิดเห็น 1    โดย study  วันที่ 3 ม.ค. 2550

การศึกษาธรรมของพุทธบริษัทมีหลายแบบ บางท่านพอใจเพียงรู้เรื่องต่างๆ เหมือนการเรียนประวัติศาตร์มีตัวเลขต่างๆ จบเป็นเล่มๆ หรือ จบเป็นปริเฉทต่างๆ เพื่อการสอบ แต่ไม่น้อมไปที่จะประพฤติปฏิบัติตาม การศึกษาอย่างนี้ฟังมาก อ่านมาก จำมาก แต่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม หรือบางท่านศึกษาเพียงเล็กน้อยแต่น้อมที่จะประพฤติปฏิบัติตาม โดยการค่อยๆ รู้ ค่อยๆ สังเกตศึกษาสภาพธรรมที่กำลังปรากฏและเจริญกุศลทุกประการโดยไม่มีความโลภในผลของการปฏิบัติ เพื่อการรู้เร็วๆ เพราะควรทราบว่า ในขั้นต้นของการศึกษาอบรมเจริญปัญญา เป็นเพียงการค่อยๆ เพิ่มความรู้ความเข้าใจถูกเท่านั้น ยังไม่มีปัญญาที่จะลดละกิเลสหรือความทุกข์ได้อย่างรวดเร็ว เพราะตราบใดที่ปัญญายังไม่บริบูรณ์ก็ยังทำอะไรกับกิเลสไม่ได้ แต่เมื่อปัญญาค่อยๆ เพิ่มขึ้น เมื่อนั้นปัญญาย่อมกระทำกิจของปัญญาด้วยการรู้เหตุรู้ผล รู้สิ่งที่ควรกระทำ รู้สิ่งที่ควรเว้น รู้สิ่งที่มีคุณ รู้สิ่งที่มีโทษ นั่นคือการเริ่มปฏิบัติกิจของปัญญา โดยไม่มีเราเข้าไปทำด้วยความต้องการ


ความคิดเห็น 2    โดย wannee.s  วันที่ 3 ม.ค. 2550

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย medulla  วันที่ 4 ม.ค. 2550

ถ้าปฏิบัติธรรม โดยไม่รู้ว่าธรรมะคืออะไร อะไรเป็นปัญญา อะไรไม่ใช่ปัญญาขณะนี้เป็นกุศลหรืออกุศล ปรมัตถธรรม ๔ คืออะไร ก็จะเป็นการปฏิบัติความไม่รู้ให้สะสมยืดเยื้อนานไปอีก

ส่วนผู้ที่รู้ชื่อว่า จิต มีจำนวนเท่านี้ ควรจะมีการปฏิบัติแบบนี้เพื่อให้จิตเป็นแบบนั้น แบบนี้ เมื่อวงกลมดูจิตแล้ว ก็เริ่มปฏิบัติหลับตาดูจิต แยกปริยัติออกจากปฏิบัติโดยสิ้นเชิง ก็คงจะเป็นผู้รู้เพียงชื่อจริงๆ

เพราะปริยัติ คือ การอบรมเจริญปัญญาให้เริ่มเข้าใจในสภาพธรรม มีความเข้าใจในทางที่ถูกตรง เป็นผู้ละเอียด ในขณะนั้นปัญญาปฏิบัติกิจของปัญญา ไม่ใช่ใครกำลังปฏิบัติอะไร ปริยัติกับปฏิบัติจึงไม่แยกจากกันเลย และเกิดสืบต่อกันรวดเร็วมาก

ปัญญาก็ต้องเจริญเป็นไปตามลำดับด้วย ต้องเริ่มที่การศึกษาให้เข้าใจจริงๆ เพราะถ้าข้ามขั้นหาทางปฏิบัติลัด ตัดกิเลส ก็จะเป็นตัวตนตลอดไป ที่จะหาทางกำจัดกิเลสอกุศล โดยไม่รู้ว่าบังคับบัญชาไม่ได้ และยังแยกไม่ออกเลยว่า อกุศล หรือกุศล กลับเข้าใจอกุศลว่าเป็นกุศล เช่น ผู้ที่ทำความนิ่งจนนึกว่ากิเลสหายไปนาน คิดว่าน่าจะหายไปหมดแล้ว หรือน่าจะผ่องแผ้วแล้ว ตามคำชมเชยของคนรอบข้าง หรือทิฏฐิ มานะบอก


ความคิดเห็น 5    โดย แล้วเจอกัน  วันที่ 4 ม.ค. 2550

การจะปฏิบัติอย่างที่กล่าวมา ต้องเข้าใจว่าปฏิบัติคืออะไร และปัญญาจะต้องรู้อะไร ตรงนี้สำคัญ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความอยากที่จะปฏิบัติเลยครับ ถ้าไม่เข้าใจหนทางที่ถูกต้องจะอยากหรือไม่อยาก ยังไงก็ไม่บรรลุครับ ดังตัวอย่าง ในพระสูตร

เชิญคลิกอ่านได้ที่นี่ ...

ภูมิชสูตร


ความคิดเห็น 6    โดย chatchai.k  วันที่ 29 ก.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 7    โดย yu_da2554hotmail  วันที่ 27 มี.ค. 2568

ยินดีในกุศลจิตค่ะ