ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๔๓
โดย khampan.a  16 ก.พ. 2563
หัวข้อหมายเลข 31552

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๔๓ * *

~ ประโยชน์ คือ อะไร ในการที่จะประกาศความไม่เลื่อมใสในพระภิกษุผู้ประพฤติไม่สมควร? ประโยชน์ ก็คือ เพื่อเกื้อกูลอนุเคราะห์ไม่ให้ภิกษุนั้นกระทำกรรมที่ร้ายแรงกว่านั้นอันจะเป็นโทษเป็นภัยแก่ภิกษุนั้นเอง
~ ฟังพระธรรม เหมือนการเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ฟังคำของพระองค์ เพราะฉะนั้น เราจะไม่กล่าวถึงคำของคนอื่นที่คิดเอง แต่ว่าทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลึกซึ้ง ยากที่จะเข้าใจได้ ต้องไตร่ตรองโดยรอบคอบอย่างละเอียดจริงๆ มิฉะนั้น จะไม่เห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ธรรมไม่ใช่เรา แต่ว่าธรรมฝ่ายดี ก็มี ธรรมฝ่ายไม่ดี ก็มี ต้องรู้ความเป็นจริง ว่า ทั้งหมดเป็นธรรมที่ตรงตามความเป็นจริง ธรรมที่ดีจะเป็นชั่วไม่ได้ และ ธรรมที่ชั่ว ก็จะเป็นดีไม่ได้
~ ชีวิตไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากมาย เพียงแต่ว่าเห็นคุณของพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ละเว้นโอกาสที่จะทำให้มีคำที่เตือนสติทำให้คนได้เข้าใจถูกต้องว่ากุศลหรืออกุศล ดีหรือชั่ว แล้วก็เห็นประโยชน์ที่ว่าพระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมี (คุณความดีที่ทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส) เพื่อให้เราได้ฟังคำที่ถูกต้องที่จะละกิเลส เพราะเหตุว่า ทุกคนก็มีกิเลสแล้วก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้กิเลสหมด ลองหาทางกันเองว่าจะทำอย่างไรให้กิเลสหมด ไม่มีทางเป็นไปได้เลย แต่หนทางมีเมื่อไหร่? เมื่อมีความเข้าใจถูก แล้วจะเอามาจากไหน ก็ต้องมาจากการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้และทรงแสดงความจริงแม้คำสองคำก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งให้รู้ตัวเองตามความเป็นจริง
~ คนมีกิเลส เป็นคนดีไหม? ฟังพระธรรม เพื่อไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจของตนเอง ประโยชน์อยู่ตรงนี้
~ ชาวโลกบอกว่าคนนี้ดี ทำดีอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วจริงหรือเปล่า? ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เข้าใจว่าเป็นคนดี แต่ลองคิด ว่า เมื่อไหร่ยังมีกิเลส เป็นคนดีหรือเปล่า เพราะยังมีกิเลส เพราะฉะนั้น ประโยชน์จากการได้ฟังทุกคำต้องเป็นผู้ที่ไตร่ตรองแล้วรู้จักตนเองตามความเป็นจริง ไม่อย่างนั้นก็ขัดเกลากิเลสไม่ได้ ไม่เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่แต่ละคำ ดูเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ สั้นๆ แต่ความหมาย ก็คือ เตือนให้คนที่ได้ฟังไตร่ตรองแล้วก็มีความเข้าใจในคุณของพระองค์
~ รู้ตัวเองว่าตัวเองไม่ดี เป็นประโยชน์ไหม จะได้เห็นโทษของความไม่ดี ซึ่งมีอยู่ ที่จะต้องค่อยๆ ขัดเกลาให้หมดสิ้นไป
~ ตราบใดที่ยังมีกิเลส กิเลสก็เพิ่มขึ้นแน่นอน จะเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เพียงอ่าน แต่ต้องไตร่ตรองจนกระทั่งเห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมแม้ในการฟัง
~ ปัญหาทั้งหมดที่เป็นเหตุให้ทำในสิ่งที่ผิด เกิดจากความไม่รู้ เพราะฉะนั้น เมื่อไม่รู้ก็ทำสิ่งที่ผิดเป็นอย่างนี้เสมอไป ไม่ว่าที่ไหนทั้งสิ้นหนทางเดียวที่จะช่วย ก็คือ ให้เขาได้เข้าใจพระธรรมถูกต้องแล้วเขาก็จะรู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ไม่รู้ ก็ต้องเป็นอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ เพราะฉะนั้น หน้าที่ ก็คือว่า ขอให้เราได้มีส่วนทำให้เขาได้เข้าใจถูกต้องในพระธรรมวินัย จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับเขา
~ การที่จะเบียดเบียนผู้อื่นสัตว์อื่นให้เดือดร้อน เป็นเพราะขาดเมตตา ถ้าขณะใดที่กุศลจิต เป็นเมตตา ขณะนั้น จะไม่มีการประหารหรือว่าเบียดเบียนสัตว์อื่นบุคคลอื่นให้เดือดร้อนเลย ถ้าขณะใดเกิดความไม่แช่มชื่นใจ เกิดความหงุดหงิดรำคาญใจ อันมีต่อสัตว์อื่นบุคคลอื่น เป็นเพราะขาดความเมตตา ขณะนั้น เป็นอกุศลจิต เพราะเหตุว่า ไม่มีความเข้าใจ ไม่มีความเห็นใจในสัตว์อื่นในบุคคลอื่น
~ ชาติไหนที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรม ชาตินั้นประเสริฐสุด เพราะว่า ไม่ใช่ทุกชาติจะได้ฟัง ถ้าเกิดเป็นสัตว์ แมว นก หนู ก็ไม่มีโอกาสเลย ถ้าเกิดในประเทศที่ไม่มีคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่มีโอกาสอีก ถ้าไม่มีบุญที่สะสมไว้ในอดีตก็ไม่มีโอกาสได้ฟังแน่นอน เพราะเสียงก็มีตั้งหลายเสียง แต่เสียงที่จะให้เข้าใจพระธรรม ต้องเป็นเสียงซึ่งบุญที่ได้กระทำมาแล้วเป็นปัจจัยทำให้ได้ยิน
~ ไม่ควรที่จะประมาทในเรื่องของอกุศล และก็จะเห็นได้ว่า พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ย่อมเป็นประโยชน์ในทุกทางที่จะให้ท่านผู้ฟังได้พิจารณาธรรมโดยละเอียดจริงๆ เพราะเหตุว่า ถ้าต้องการที่จะเจริญปัญญา เจริญกุศล ก็ต้องไม่ประมาทที่จะรู้จักอกุศลของตนเองด้วย
~ ไม่รั้งรอที่จะกระทำความดีเท่าที่สามารถจะกระทำได้ เพราะเหตุว่าแม้ว่าจะกระทำความดีสักเท่าไรก็ยังไม่พออยู่นั่นเอง ตราบใดที่เมื่อไม่กระทำความดี จิตก็ต้องเป็นอกุศล เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะเจริญกุศลทุกประการ ด้วยการที่จะอบรมตนเองให้เป็นผู้ที่มีความอดทน แล้วก็คิดถึงคนอื่น แทนที่จะคิดถึงตนเองเสมอๆ ถ้าเป็นอย่างนี้ได้ ก็มีโอกาสที่กุศลจิตจะเกิดมากกว่าอกุศล
~ ยิ่งเห็นอกุศลของตนเองมากเท่าใด ละเอียดขึ้นเท่าใด บ่อยเท่าใด ย่อมเป็นทางที่จะให้รู้จักตัวเองมากเท่านั้น แต่ถ้าพูดถึงเรื่องกุศลของตนเอง อาจจะเป็นทางที่ทำให้เกิดอกุศลได้ คือ ความสำคัญตน
~ บุคคลที่ได้ฟังพระธรรม ย่อมได้ลาภที่ประเสริฐที่จะทำให้ได้เข้าใจถูกเห็นถูก ซึ่งก็คือได้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ เมื่อฟังต่อไป ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น เกิดในภพหนึ่งภพใด เพราะเคยได้ฟังพระธรรมมาแล้ว ก็จะเป็นเหตุให้ได้ฟังต่อ ได้อบรมเจริญปัญญาต่อไปอีก
~ เมื่อไม่เข้าใจ ก็เหมือนอยู่ในความมืด ถ้ายังไม่เห็นประโยชน์ของพระธรรม ก็ยังเป็นผู้มีความต้องการที่จะอยู่ในความมืด (ด้วยอวิชชาคือความไม่รู้) ต่อไป
~ จากมืดสนิท มาสู่ความสว่างทีละเล็กทีละน้อย ด้วยความเข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้น ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม โดยละเอียด เพื่อความเข้าใจจริงๆ
~ เพราะความไม่รู้ จึงทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปด้วยความไม่รู้ แต่ถ้ามีความรู้ คือ ปัญญาเพิ่มขึ้น จากที่ไม่รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรผิด อะไรถูก ก็จะรู้ตามความเป็นจริง ชีวิตก็จะเปลี่ยนไปในทางที่ถูกที่ควร คล้อยตามปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้น ทำให้พ้นจากความประพฤติที่จะเป็นเหตุนำความทุกข์ความเดือดร้อนมาให้
~ แต่ละคนก็ดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตหนึ่ง ชีวิตของใครจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น สุขสบาย ทุกข์ยาก ลำบาก มากน้อยสักเท่าใด จะเห็นอะไร ได้ยินอะไร ทั้งหมดก็ให้ทราบว่า แท้ที่จริงแล้ว ก็เป็นเพียงชั่วขณะจิตหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเท่านั้นจริงๆ
~ ฟังพระธรรม ต้องตั้งต้น พื้นฐานที่จะต้องเข้าใจก่อน ก็คือ ทุกอย่างเป็นธรรม (คือเป็นสิ่งที่มีจริงๆ) ไม่ว่าจะพูดถึงสภาพธรรมใดๆ ก็ตาม เมตตาเป็นธรรม กรุณาเป็นธรรม อกุศลเป็นธรรม โลภะ โทสะ โมหะเป็นธรรม ทุกอย่างเป็นธรรม ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ก็สามารถเข้าใจแต่ละคำที่มีในพระไตรปิฎกถูกต้องชัดเจนขึ้น
~ ในชีวิตประจำวัน ถ้าเป็นผู้มีเมตตาแล้ว ก็จะทำให้กุศลจิตอีกหลายประการเกิดได้ แต่ข้อสำคัญต้องเป็นผู้ตรงจริงๆ เมตตาจึงเป็นธรรมเครื่องอยู่ของผู้ประเสริฐ ถึงแม้ว่าจะมีใครกล่าวร้าย ว่าร้าย หรือว่ามีกิริยาอาการที่ไม่เหมาะสมประการใดก็ตาม บุคคลผู้นั้นก็ไม่หวั่นไหว
~ ปัญญาสามารถที่จะรู้ว่า อะไรดี อะไรชั่ว เพราะฉะนั้น ปัญญา
ไม่เลือกสิ่งที่ไม่ดี ไม่เลือกที่จะสะสมสิ่งที่ไม่ดี

* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *


ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๔๒


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...



ความคิดเห็น 1    โดย Nattaya40  วันที่ 16 ก.พ. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย mammam929  วันที่ 16 ก.พ. 2563

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย Khemsai  วันที่ 17 ก.พ. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาด้วยค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย มกร  วันที่ 17 ก.พ. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย petsin.90  วันที่ 17 ก.พ. 2563

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย jaturong  วันที่ 17 ก.พ. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 7    โดย เมตตา  วันที่ 17 ก.พ. 2563

ปัญญาสามารถที่จะรู้ว่า อะไรดี อะไรชั่ว เพราะฉะนั้น ปัญญา ไม่เลือกสิ่งที่ไม่ดี ไม่เลือกที่จะสะสมสิ่งที่ไม่ดี

...ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ...


ความคิดเห็น 8    โดย j.jim  วันที่ 17 ก.พ. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย panasda  วันที่ 17 ก.พ. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย ธนฤทธิ์  วันที่ 19 ก.พ. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 11    โดย kukeart  วันที่ 23 ก.พ. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 12    โดย kullawat  วันที่ 4 มี.ค. 2563

สาธุ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 13    โดย chatchai.k  วันที่ 3 พ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ