วันที่ 17 พ.ย. 2559
อนัตตาตั้งแต่ต้นจนจบ กุสินารา ปัตนะ

สถานที่ดับขันธปรินิพพานพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดม
วันนี้ กลุ่ม 2 ที่ไปครบสี่แห่ง ตื่นแต่เช้า เพื่อไปสถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงปรินิพพาน ที่ เมืองกุสินารา ส่วน กลุ่มที่ 1 กลุ่มท่านอาจารย์ ก็ออกแต่เช้าตรู่ เพื่อเดินทางไปเมืองลัคเนาว์ ไปสนามบิน ตอนห้าโมงเย็น เพื่อบินข้ามไปเมืองปัตนะ ซึ่งอดีตเป็นเมืองหลวงของพระเจ้าอโศก และเป็นเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากพุทธคยา
ส่วนในวันนี้ บ่ายๆ กลุ่มที่ 3 จะเดินทางจากกรุงเทพ มาที่เมือง โกลกาตาอินเดีย มาสมทบ พบกันที่เมืองปัตนะ ทั้งหมด ในวันพรุ่งนี้เช้า ซึ่งกลุ่มที่ 3 จะมาอินเดีย 7 วัน สั้นกว่าทั้งสองกลุ่มที่ มา 11 วัน ครับ แต่ ก็จะพบกันทั้งที่เมืองปัตนะ พุทธคยา และ พาราณสี เป็นอันว่า ครบ พบกันทั้งหมด 212 ท่าน ที่อินเดีย

กลุ่มที่ 2 ตื่นแต่เช้าที่โรงแรม ROYAL RESIDENCY นัดกันออกแต่เช้า 07.30 ไปที่สถานที่ปริพพาน เพราะ เราจะต้องเดินทางไกลโดยรถยนต์ไปเมืองปัตนะ
บรรยากาศเมืองกุสินารา ไม่เคยเปลี่ยน ไม่ว่าจะไปมากี่ครั้ง เงียบสงบ เยือกเย็น ไม่วุ่นวาย ณ สถานที่นี้ พระพู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า บุคคลผู้เลิศสูงสุด ได้ปรินิพพาน คือ การดับรอบ ไม่มีการเกิดขึ้นอีก ของจิต เจตสิก รูป ไม่มีการเกิดของขันธ์ ไม่มีการไปอยู่สถานที่ที่นิรันดร์ เพราะ นั่นเท่ากัยังมีการเกิด แต่ เมื่อ เปลวเทียนดับไปแล้ว เปลวเทียนก็หายไป ไม่กลับมาอีกเลย เพราะหมดซึ่งเชื้อที่จะทำให้เกิดเปลวไฟอีก พระพุทธเจ้าเมื่อทรงดับซึ่งกิเลสหมดสิ้นแล้ว เมื่อจุติจิตเกิด ก็ไม่มีการเกิดอีกเลย ไม่มีการเกิดปฏิสนธิจิต เพราะดับเชื้อ คือ กิเลสจนหมดสิ้น นั่นเอง
สถานที่นี้ จึงไม่ใช่การจะสลดสังเวช ด้วยการร้องไห้เศร้าโศก เพราะนั่นไม่ใช่ กุศลธรรม แต่ ความสลดสังเวช เป็นเรื่องของปัญญา ความเห็นถูกตามความเป็นจริง ที่เห็นด้วยปัญญา ในความตาย ของสัตว์โลก จึงปรารภความเพียรที่จะเจริญกุศล อบรมปัญญาต่อไป นี่คือ ประโยชน์ของการระลึกถึงความตาย ด้วยการสังเวชด้วยปัญญา อันนำมาซึ่ง กุศลประการต่างๆ เจริญขึ้น
คณะของเราเดินทางไปสถานที่ปรินิพพาน ตอน 08.00 แต่ เผอิญข้าพเจ้า ตื่นเช้า ก็ไปสำรวจก่อน วิ่งออกกำลังกายจาก โรงแรมไปสถานที่ปรินิพพาน ประมาณ กิโลกว่า เหนื่อย แต่ ก็อยากจะไปเข้าเฝ้า ในความไม่วุ่นวายของผู้คน ไปถึง ก็เป็นคนแรก รอประตูเปิด ตอน 06.30 เข้าไปกราบ แล้วก็กลับมา นำสมาชิกกลุ่มใหญ่ เกือบร้อยคนไป
เดินผ่านเข้าทางประตู ทุกๆ คน ค่อยๆ เข้าไป เมื่อ สองพันห้าร้อยกว่าปีที่แล้ว ณ สถานที่นี้ เต็มไปด้วย พระอริยบุคคลและพระภิกษุสงฆ์ เสด็จติดตามพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่พระองค์ได้ทรงปลงมายุสังขารที่ปาวาลเจดีย์ เมืองเวสาลี ซึ่ง บ่ายๆ นี้ เราจะต้องนั่งรถผ่าน
ณ สถานที่ปรินิพพาน พระพุทธเจ้า ทรงประทับสำเร็จสีหไสยาสน์ ที่ ใต้ต้นสาละคู่ ดอกไม้อันเป็นทิพย์ ก็โปรยปรายลงมา จากฟากฟ้า ด้วยอานุภาพของเทวดาทั้งหลาย พระพุทธเจ้าจึงตรัสกับท่านพระอานนท์ว่า
ดูก่อนอานนท์ไม้สาละทั้งคู่ เผล็ดดอกบานสะพรั่งนอกฤดูกาล ร่วงหล่นโปรยปรายลงยังพระสรีระของพระตถาคตเพื่อบูชาพระตถาคต แม้ดอกมณฑารพอันเป็นของทิพย์ . . แม้จุณแห่งจันทน์อันเป็นของทิพย์ . . แม้ดนตรีอันเป็นทิพย์เล่า . . แม้สังคีตอันเป็นทิพย์ ย่อมเป็นไปในอากาศ เพื่อบูชาพระตถาคต
ดูก่อนอานนท์ พระตถาคตจะชื่อว่าอันบริษัทสักการะ เคารพ นับถือ บูชานอบน้อมด้วยเครื่องสักการะประมาณเท่านี้หามิได้ ผู้ใดแลจะเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกหรืออุบาสิกาก็ตาม เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ประพฤติตามธรรมอยู่ ผู้นั้นย่อมชื่อว่าสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ด้วยการบูชาอย่างยิ่ง เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ พวกเธอพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักเป็นผู้ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ประพฤติตามธรรมอยู่

เมื่อพระพุทธเจ้าทรงประทานโอวาทกับพระภิกษุทั้งหลาย ท่านพระอานนท์ ก็ยืนร้องไห้ที่วิหารอีกแห่ง พระพุทธเจ้าตรัสถามกับพระภิกษุทั้งหลาย ที่พระอานนท์ ไม่อยู่ ภิกษุทั้งหลายได้กราบทูลว่า ท่านพระอานนท์ยืนร้องไห้ ด้วยเหตุว่า พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานแล้ว แต่ตัวท่านยังเป็นพระเสขะ คือ ยังต้องศึกษา เพราะท่านเป็นพระโสดาบัน ยังไม่ใช่พระอรหันต์ที่เป็นอเสขะ พระพุทธเจ้าจึงให้เรียกท่านพระอานนท์มาพบ และ ได้ตรัสพระดำรัสที่ว่า

เธออย่าเศร้าโศกร่ำไรไปเลย เราได้บอกไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่าความเป็นต่างๆ ความพลัดพราก ความเป็นอย่างอื่นจากของรักของชอบใจทั้งสิ้นต้องมี ข้อนั้นจะหาได้ในของรักของชอบใจนี้แต่ที่ไหน สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความทำลายเป็นธรรมดาความปรารถนาว่าขอสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลยดังนี้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
และพระพุทธเจ้าได้ทรงยกย่องท่านพระอานนท์ประการต่างๆ
ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลให้พระพุทธเจ้าปรินิพพานที่เมืองอื่นๆ เช่น ราชคฤห์ เมืองสาวัตถี ที่เป็นเมืองใหญ่ อย่าปรินิพพานที่เมืองเล็ก คือ เมืองกุสินารา ของเจ้ามัลละเลย พระพุทธเจ้าได้ตรัสห้ามท่านพระอานนท์และได้ทรงแสดงว่า กุสินาราในอดีตกาล เป็นเมืองใหญ่มาก มีพระราชาชื่อ พระเจ้าสุทัสสนะ ครองเมืองนี้ ปกครองแผ่นดินโดยธรรม และ เป็นอดีตชาติของพระพุทธองค์ด้วย

มัลละกษัตริย์ทราบข่าวที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน ต่างก็มาเข้าเฝ้า ร้องไห้ คร่ำครวญ พระอานนท์ได้ให้เจ้ามัลละกษัตริย์ ทุกๆ พระองค์ ได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ จนครบถึง ปฐมยาม คือ หกโมงเย็นถึงสี่ทุ่ม ในคืนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานนั่นเอง
หลังจากนั้น ก็มี สุภัททะปริพพาชก ผู้ที่อยู่เมืองกุสินารา ทราบข่าวการจะปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ก็ได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่ ท่านพระอานนท์ได้บอกกับสุภัททะปริพพาชกว่าอย่าเลย ท่านอย่าเบียดเบียนพระตถาคต พระอานนท์ห้ามถึงสามครั้ง พระพุทธเจ้าทรงได้สดับถ้อยคำสนทนา จึงได้ตรัสบอกกับท่านพระอานนท์ว่า ให้สุภัททะปริพพาชกได้เข้ามาหาเรา เขาจะถามสิ่งที่เป็นประโยชน์ พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงธรรมกับท่านพระสุภัททะ
ดูก่อนสุภัททะ เรามีวัย ๒๙ ปีบวชแล้ว แสวงหาว่าอะไรเป็นกุศล ตั้งแต่เราบวชแล้ว นับได้ ๕๑ ปี แม้สมณะเป็นไปในประเทศแห่ง ธรรมเป็นเครื่องนำออก ไม่มีในภายนอกแต่ ธรรมวินัยนี้
เมื่อท่านพระสุภัททะปริพพาชกฟังพระธรรมเทศนาจบ ก็ขอบวช และเมื่ออุปสมบทไม่นานก็ได้เป็นพระอรหันต์

พระพุทธเจ้าก็ได้ประทานโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์
[๑๔๑] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่าดูก่อนอานนท์ บางที่พวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ปาพจน์มีพระศาสดาล่วงแล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มี ข้อนี้พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ธรรมก็ดีวินัยก็ดีอันใดอันเราแสดงแล้ว ได้บัญญัติไว้แล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้นจักเป็นศาสดาแห่งพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา
ท้ายสุด พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสพระปิมฉิมวาจาที่ว่า
พระปัจฉิมวาจา
[๑๔๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด นี้เป็นพระปัจฉิมวาจาของพระตถาคต หลังจากนั้นพระพุทะเจ้า ก็ทรงเข้าฌานทุกๆ อย่าง และ พระองค์ก็ดับขันธปรินิพพานเมื่อพระพุทะเจ้าปรินิพพาน พรหมก็กล่าวธรรมว่า
สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จักต้องทอดทิ้งร่างกายไว้ในโลก แต่พระตถาคตผู้เป็น ศาสดาเช่นนั้น หาบุคคลจะเปรียบเทียบ มิได้ในโลก เป็นพระสัมพุทธเจ้า ทรงมี พระกำลัง ยังเสด็จปรินิพพาน

ดื่มด่ำกับพระธรรมตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงกันไปแล้ว คณะของเราก็เดินทางถึง สถานที่ปรินิพพาน เป็นวิหารปรินิพพาน ภายในมีพระพุทธรูปปางปรินิพพาน สร้างขึ้นโดยกษัตริย์ เมื่อพันกว่าปีกอ่น ที่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ข้าพเจ้าได้เตรียมผ้าห่มอย่างดี อันเกิดจาก กุศลจิตของแต่ละท่าน ร่วมบริจาค เจริญกุศล ก็ขออนุโมทนา มา ณ ที่นี้ คณะกล่าวบูชาพระพุทธองค์และก็ห่มบูชา เจริญกุศลทุกๆ ประการ พร้อมๆ กับความเข้าใจพระธรรม

หลังจากนั้น คณะก็เดินอ้อมไปด้านหลัง มีเจดีย์สีขาวใหญ่ สร้างขึ้นสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชและปัจจุบันก็บูรณะเรียบร้อยแล้ว ข้างในประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า คณะของเราเตรียมผ้าบูชาห่มพระเจดีย์ พวกเราพร้อมใจกัน บูชา ตามเหตุปัจจัย ห่มผ้าพระเจดีย์จนสำเร็จ และเดินประทักษิณรอบพระเจดีย์





และก็เก็บภาพประทับใจ ณ สถานที่ปรินิพพานกัน

หลังจากนั้นก็เดินทางไปอีก 1 กิโลเมตร ไปสถานที่ที่ถวายเพลิงพระศพ นมัสการ เวียนเทียน ประทักษิณ แล้วก็พันผ้า รอบพระเจดีย์



รีบออกเดินทาง สิบโมงเช้าแล้ว คณะเรา มุ่งหน้าสู่เมืองปัตนะ คราวที่แล้ว เมื่อสองปีก่อน ออกเที่ยง ไปถึงปัตนะ สองทุ่มกว่า เพราะติดบนสะพานข้ามแม่น้ำคงคา ที่จะเข้าปัตนะ 4 ชั่วโมง ไม่ขยับเลย INCREDIBLE INDIA จริงๆ กรุงเทพนี่เล็กน้อยเลย ยังไม่พอ เพราะสองปีที่แล้ว ต้องเดินทางต่อไปพุทธคยา พักที่พุทธคยา ไม่ใช่ปัตนะ กว่าจะถึง นู้น ครับ ตี หนึ่ง เป็นการเดินทางที่ยาวนานมากๆ ๆ เที่ยงวันถึงตีหนึ่ง ครั้งนี้ เลยต้องออกไว กลัวจะยาว และ ปรับแผน ไม่เหมือนคราวก่อน คือ พักที่ปัตนะ แทนที่ พุทธคยา นั่งรถไปเรื่อยๆ ใจก็ตุ้มๆ ต่อมๆ จะติดที่สะพานอีก สี่ชั่วโมงไหม เอาแล้ว ออก 10.00 ห้าโมงเย็น ใกล้ สะพาน เริ่มชะลอ
ขอย้ายไปเล่ากลุ่มหนึ่งท่านอาจารย์บ้าง จะผจญวิบากอะไรกัน ติดตาม
เช้า 07.30 น. กลุ่มที่หนึ่งก็ออกเดินทางจากเมืองสาวัตถีไปเมืองลัคเนาว์ เพื่อไปที่สนามบิน บินข้ามมาปัตนะเลย ไม่ต้องนั่งรถยาวๆ เหมือนกลุ่มที่สอง แต่ ก็ต้องนั่งรถประมาณ สี่ชั่วโมง ออกจาก สาวัตถี ไปสนามบินลัคเนาว์
วิ่งมาได้เรื่อยๆ สักพัก รถจอด ไปจอดยังไงไม่รู้ รถบัส 2 ตกหล่ม ลงข้างทางซะงั้น ขึ้นยังไงก็ขึ้นไม่ได้ สุดท้าย ก็แจ็คพ็อต ให้รถบัส 1 มาหา กลุ่มที่ 1 มีรถ สองคัน คือ บัสที่ 1 และ 2 บัส 1 จึงต้องบรรทุกผู้โดยสารทั้งหมด ของบัส 2 เดินทางต่อไปสนามบิน อบอุ่นกันแท้ ครับ ผลัดกันนั่งกันยืน
ส่วนรถท่านอาจารย์สุจินต์ ท่านมีรถ ตู้ส่วนตัว ท่านก็เดินทางปลอดภัย ถึงสนามบินลัคเนาว์แล้ว ก็บิน ตอน 17.00 น. ถึง ปัตนะ 18.00 น. สบายๆ ครับ กลุ่ม 1
ณ บ่ายนั้นเองที่เมืองไทย คณะกลุ่ม 3 นำโดย คุณป้าเดือนฉาย และ สมาชิก รวม 34 ท่าน ก็กำลังอยู่ที่สุวรรณภูมิ เช็คตั๋วเครื่องบิน พร้อมแล้วที่จะออกเดินทางไปอินเดีย ที่เมือง kolkata ถึงเย็นวันนี้ ถ่ายรูปเก็บไว้ คึกคัก จะเดินทางไปดินแดนภาระตะ อันเป็นสถานที่ที่มีสังเวนียสถาน แล้วกลุ่ม 3 ในวันพรุ่งนี้ ก็จะบินจากเมือง kolkata เข้าเมืองปัตนะ มาพบกันกับกลุ่มที่ 1 และ 2 โดยนัดหมายไว้ และ จะเข้านมัสการพระบรมสารีริกธาตุที่ พิพิทธภัณฑ์เมืองปัตนะ ที่ กลุ่มคณะเราที่เคยไปอินเดียมาตลอด ไม่เคยได้มาสถานที่นี้เลย นับเป็นการพบกันทั้งสามกลุ่มที่ประเสริฐยิ่ง
ตามกลุ่มที่สองต่อครับ ใกล้สะพานข้ามแม่น้ำคงคาแล้ว รถเริ่มติด ติด ติด ติด เรื่อยๆ แล้ว ใจไม่ดี นี่ก็เข้าวันที่ห้าของการเดินทาง เรียกได้ว่า ท่านทั้งหลาย ชำนาญการเข้าห้องน้ำมากๆ คือ เห็นรถติดนิ่งไม่ได้ ขอเข้าห้องน้ำทันที เฮ้อ อ่ะเข้าใจครับ ใกล้สะพาน รถชนกันข้างหน้าซะงั้น รถติดยาว ท่านทั้งหลายก็ขออนุญาตขอลงไปห้องน้ำ ก็ไม่ว่ากันครับ รถติด ลงไปหนึ่งคน สองคน ก็ลงตามไปเรื่อยๆ สุดท้าย ก็เยอะ แต่ รถเจ้ากรรม ดันค่อยๆ เลื่อน เขาเคลียรถชนได้แล้ว คนขับก็ไม่สนใจเลย คนสมาชิก ยังทำภารกิจ แต่ด้วยสัญชาตญาณที่ดี สมาชิกแต่ละท่าน เห็นรถเลื่อนออกไปเท่านั้น ต่างตะโกน เรียกเพื่อนข้างๆ ที่ทำภารกิจอยู่ บางท่านก็หนะครับ ภารกิจน้อยใหญ่ ไม่เสร็จ ก็รีบวิ่งด้วยสัญชาตญาณ ทันขึ้นรถกันทุกคน ขำกันใหญ่ ในความไวของแต่ละท่าน
เดินทางต่อไป ในใจกระผมก็คงคิดว่า ยาวแน่เลย ใกล้สะพานแล้ว เป็นสะพานข้ามแม่น้ำคงคา ที่ยาวที่สุดในประเทศ ยาวเจ็ดกิโลเมตร แม่น้ำคงคาใหญ่มากๆ ๆ แต่ รถก็ติดมากๆ เพราะรถบรรทุกเยอะจริงๆ การขับรถคนอินเดียก็สุดยอด ทำให้รถติด ย้อนศร อื่นๆ ทุกๆ อย่าง เรียกได้ว่า เมืองไทยที่ขับแปลกๆ นี่ชิดซ้ายเลย ครับ สงสัยคนอินเดีย มาขับแบบอินเดียที่เมืองไทย นี่ไม่รู้จะเป็นยังไง คนอินเดีย ต่อให้ ขับ มีปัญหายังไง ก็ลงมาแค่ บ่นว่ากัน แค่นั้น ก็ขึ้นรถ ไม่มีอะไร
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่
อินเดีย 2559 (1) เดินทางนมัสการพระวิหารเชตวัน
อินเดีย 2559 (2) แสงแห่งพระธรรม ที่ เมืองสาวัตถี
อินเดีย 2559 (3) พระเชตวัน และลุมพินี
อินเดีย 2559 (4) อนัตตาตั้งแต่ต้นจนจบ กุสินารา ปัตนะ
อินเดีย 2559 (5) บูชายัญ คือ บูชาพระพุทธเจ้าที่เมืองปัตนะ
อินเดีย 2559 (6) พุทธคยา มหากุศล
ขออนุโมทนาในทุกๆ กุศลจิตคะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนา สาธุ ค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ