พรหมโลกมีอกุศลไหม ?
โดย ชีวิตคือขณะจิต  28 ก.พ. 2553
หัวข้อหมายเลข 15635

ผมอ่านพระไตรปิฎกพบว่า กามย่อมท่องเที่ยวไปในกามาวจรภูมิ (จิตตุปปาทกัณฑ์.อภิ.สงฺ.อ.) มีเบื้องต่ำมีอเวจีนรกเป็นที่สุด เบื้องบนมีสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดีเป็นที่สุด ได้แก่ อบายภูมิ ๔ มนุษยภูมิ ๑ เทวโลก ๖ ชั้น ประกอบด้วยกามาวจรธรรม (อภิ.สงฺ ๑/๙๘๐) คือ กามาวจรกุศล อกุศล วิบากแห่งกามาวจรทั้งหมด กามาวจรกิริยา อัพยากฤต และรูปทั้งหมด สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า กามาวจรธรรม กุศลต่างกันโดยภูมิ ๔ คือ กามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ และโลกุตรภูมิ อกุศลไม่ต่างกันโดยภูมิ (อภิ.สงฺ.) อกุศลเป็นกามาวจรอย่างเดียว กาม (ขุ.ม. อัฏฐกวัคคิกะ กามสุตตนิทเทส) ได้แก่ วัตถุกาม คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะอันเป็นที่ชอบใจ ในภูมิ ๓ คือ กามาวจร รูปาวจร และอรูปาวจร กิเลสกาม คือ ความพอใจ ความกำหนัด คำถาม พรหมโลกมีอกุศลไหม? ผมคิดว่าพรหมโลกไม่น่าจะมีอกุศล ถ้าอธิษฐานไปเกิดเป็นพรหมแล้วนิพพานบนพรหมโลกจะดีไหม?



ความคิดเห็น 1    โดย prachern.s  วันที่ 28 ก.พ. 2553

ขอเรียนว่า พระพรหมในพรหมโลก ที่เป็นปุถุชนก็มี พระเสกขบุคคลก็มี พระพรหมที่เป็นพระอรหันต์ก็มี พระพรหมที่เป็นปุถุชน และพระเสกขบุคคลยังมีอกุศลอยู่ อกุศลที่ยังไม่ได้ดับย่อมเกิดขึ้นได้เมื่อมีปัจจัย แต่อกุศลหยาบๆ ไม่มีในพรหมโลก อนึ่งมีข้อความในพระสูตรมีปรากฏว่า พรหมมีความเห็นผิดก็มี และกิเลสที่ยินดีในภพของพระพรหมที่ไม่ใช่พระอรหันต์ก็ยังมี สรุปคือ พรหมโลกยังมีอกุศล สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์

ขอเชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่ พรหมโลกมีกามหรือไม่


ความคิดเห็น 2    โดย khampan.a  วันที่ 28 ก.พ. 2553

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 3    โดย thorn  วันที่ 28 ก.พ. 2553

จาก เรื่อง พรหมภูมิ


ความคิดเห็น 4    โดย paderm  วันที่ 28 ก.พ. 2553

เรียนความเห็นที่ 3

1.เมื่อจุติจิตเกิดเคลื่อนจากความเป็นพรหมบุคคล มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา ในเมื่อยังไมได้ดับโลภะเพราะฌานเพียงระงับไม่ให้โลภะเกิดขึ้น แต่เมื่อกลับมาเป็นมนุษย์ก็ยังยินดีพอใจในรูป เสียง...ได้ครับ

2.การได้ฌานจิตไมได้หมายถึงอยู่ในพรหมโลกแล้วครับ ต้องแยกระหว่างภูมิของจิตกับที่เกิดของสัตว์ มนุษย์ก็ได้ฌานได้ ไมได้หมายความว่าฌานจิตจะเกิดเมื่ออยู่ในพรหมโลกครับ

3.ผู้ที่ปฏิสนธิเกิดในพรมโลกเป็นพรหมบุคคล แต่ผู้ที่มีฤทธิ์ เช่น พระมหาโคคัลลานะไปพรหมโลกได้ แต่ไม่ใช่พรหมบุคคล เพราะท่านไม่ได้ปฏิสนธิเกิดในพรหมโลกครับ

ส่วนถ้าเป็นพรหมบุคคล สามารถเกิดจิตได้ทั้ง 4 ภูมิเมื่อเหตุปัจจัยพร้อมครับ ตามสมควรแก่พรหมบุคคลระดับต่างๆ


ความคิดเห็น 5    โดย ชีวิตคือขณะจิต  วันที่ 1 มี.ค. 2553

อกุศลไม่ต่างกันโดยภูมิ (อภิ.สงฺ.) อกุศลเป็นกามาวจรอย่างเดียว; ข้อความที่ผมยกมานี้ ทำให้เข้าใจว่า อกุศลเป็นกามาวจรอย่างเดียว

กุศลต่างกันโดยภูมิ ๔ คือ กามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ และโลกุตรภูมิ กาม (ขุ.ม. อัฏฐกวัคคิกะ กามสุตตนิทเทส) ได้แก่ วัตถุกาม คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะอันเป็นที่ชอบใจ ในภูมิ ๓ คือ กามาวจร รูปาวจร และอรูปาวจร กิเลสกาม คือ

ความพอใจ ความกำหนัด; ข้อความที่ผมยกมานี้ ทำให้เข้าใจว่า กามที่เป็นกุศลอันประณีตมีในรูปาวจร และอรูปาวจร

โปรดกรุณาอธิบายครับ ขอขอบพระคุณครับ


ความคิดเห็น 6    โดย thorn  วันที่ 1 มี.ค. 2553

เรียนถามเพิ่มเติม

๑. ผู้ที่จะเกิด ในพรหมโลกได้ ต้องมีเหตุปัจจัย อะไรบ้าง

๒. รูปพรหม กับ รูปาวจรจิต ใน รูปาวจรภูมิ เกี่ยวข้องกันอย่างไรและ อรูปพรหม กับ อรูปาวจรจิต ใน อรูปปาวจรภูมิ เกี่ยวข้องกันอย่างไร

ขอขอบพระคุณ และ อนุโมทนา


ความคิดเห็น 7    โดย paderm  วันที่ 1 มี.ค. 2553

เรียนความเห็นที่ 5

เข้าใจก่อนครับว่าคำว่า กามมี 2 อย่างคือกิเลสกามและวัตถุกาม กิเลสกามคือตัวโลภะ ความติดข้อง ส่วนวัตถุกาม หมายถึง ธรรมใดที่เป็นที่ตั้งของความติดข้องเป็นวัตถุกามทั้งหมด เพราะฉะนั้นโลภะติดข้องได้หมด เว้นโลกุตตรธรรม จากข้อความที่คุณยกมาในมหานิเทสที่ว่าวัตถุกามคือรูปที่น่าพอใจ เป็นต้น เป็นวัตถุกามเพราะเป็นที่ตั้งของโลภะให้ติดข้องรวมทั้งธรรมที่เป็นไปในภูมิ 3 ก็คือสภาพธรรมทั้งหมดทั้งกามาวจร รูปาวจร อรูปวจรเป็นที่ตั้งของความติดข้องได้หมดจึงเป็นกามโดยนัยวัตถุกามครับ ยกตัวอย่างเช่น รูปก็เป็นวัตถุกามเพราะโลภะติดข้องได้ กุศลที่เป็นรูปาวจรจิต โลภะก็ยินดีติดข้องได้ กุศลที่เป็นอรูปาวจรจิต โลภะก็ยินดีติดข้องได้ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมทั้งหมดที่เป็นไปในภูมิ 3 เป็นวัตถุกามครับ เพราะฉะนั้นที่คุณเข้าใจว่า กามที่เป็นกุศลอันประณีตมีในรูปาวจร และอรูปาวจร กามในที่นี้หมายถึงกุศลที่เป็นรูปาวจรกุศลจิตก็เป็นกามโดยนัยวัตถุกาม เพราะเป็นที่ตั้งของความติดข้องพอใจของโลภะ กุศลที่ประณีตที่เป็นอรูปาวจรกุศลจิตก็เป็นกามโดยนัยวัตถุกามเช่นกัน เพราะเป็นที่ตั้งของความติดข้อง ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 8    โดย paderm  วันที่ 1 มี.ค. 2553

เรียนความเห็นที่ 6

1.เป็นผู้ได้ฌานจิตและฌานจิตไม่เสื่อมก่อนจุติ หรือเป็นพระอนาคามีแล้วสิ้นชีวิตจากความเป็นพระอนาคามี ย่อมปฏิสนธิเป็นพรหมบุคคลครับ

2.รูปพรหมคือบุคคลที่ปฏิสนธิอันเกิดจากรรมที่เป็นรูปาวจรจิต ส่วนรูปาวจรจิต คือ จิตที่เข้าถึงความเป็นใหญ่ เป็นฌานจิต เป็นจิตระดับที่สูงกว่ากามาวจรจิต หมายถึง รูปฌานกุศลจิตของบุคคลที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ในขณะที่เข้ารูปฌานสมาบัติ เพราะฉะนั้นเมื่อพูดถึงรูปาวจรจิต ก็หมายถึงจิต ไม่ได้หมายถึงตัวบุคคล มนุษย์ขณะที่มีฌานจิตเกิดขึ้น จิตขณะนั้นเป็นรูปาวจรจิตถึงแม้อยู่ในโลกมนุษย์หรือเป็นมนุษย์ก็ตาม แต่ถ้าพูดถึงรูปาวจรภูมิ หมายถึงที่เกิดของพรหมบุคคล เช่น มนุษย์ก็เกิดในโลกมนุษย์ รูปาวจรภูมิก็เป็นที่เกิดของพรหมบุคคลเช่น ปาริสัชชาภูมิ (เป็นที่เกิดของผู้ที่บรรลุปฐมฌานกุศลจิตที่มีกำลังอ่อน) และอรูปพรหม อรูปาวจรจิตและอรูปาวจรภูมิก็โดยนัยเดียวกับเรื่องรูปพรหมที่ได้อธิบายมาครับ


ความคิดเห็น 9    โดย wannee.s  วันที่ 1 มี.ค. 2553

จิตมี ๔ ชาติ คือ กุศล อกุศล วิบาก กิริยา ถ้าเป็นพรหมที่ยังไม่ได้ดับกิเลส อกุศลก็เกิดได้ ยกเว้นพรหมที่เป็นพระอรหันต์ไม่มีอกุศล เช่น พรหมที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ที่อยู่ในชั้นสุทธาวาส และพรหมที่ได้ฌานในขณะที่ฌานจิตเกิด ขณะนั้นข่มกิเลสไว้ชั่วขณะ จิตขณะนั้นเป็นกุศลค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย thorn  วันที่ 1 มี.ค. 2553

เรียนถามต่อเนื่อง..

ผู้ที่ได้ฌาณจิตและฌาณจิตไม่เสื่อมก่อนจุติ จะเกิดในพรหมโลก แล้วเมื่ออยู่ในพรหมโลก ต้องได้ฌาณจิต และฌาณจิตไม่เสื่อม หรือเปล่า หรือ ฌาณจิตเสื่อมได้ ขณะที่อยู่ในพรหมโลกและเมื่อฌาณจิตเสื่อม อกุศล ถึงเกิด ทั้งๆ ที่เป็นพรหมอยู่ อย่างนั้นหรือ หรือ ต้องหมดอายุของพรหมภูมิก่อน อกุศล ถึงเกิดได้

ขอขอบพระคุณ และ อนุโมทนา


ความคิดเห็น 11    โดย paderm  วันที่ 1 มี.ค. 2553

เรียนความเห็นที่ 10เมื่อเป็นพรหมบุคคล อยู่ในพรหมโลกแล้วไม่จำเป้นจะต้องเกิดฌานจิตตลอดเวลาครับ

ฌานจิตก็เสื่อมได้ครับ ขณะเห็นก็ไม่ใช่ฌานจิตแล้ว เพราะฉะนั้นพรหมบุคคลก็เกิด

อกุศลจิตได้เป็นธรรมดาครับ ไม่จำเป็นต้องรอให้หมดอายุจึงจะเกิดอกุศลจิตครับ


ความคิดเห็น 12    โดย Sam  วันที่ 2 มี.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 13    โดย JANYAPINPARD  วันที่ 2 มี.ค. 2553

ขออนุโมทนาทั้งท่านผู้ถามและท่านผู้ตอบ...และผู้อ่านที่เข้าใจคะ


ความคิดเห็น 14    โดย ชีวิตคือขณะจิต  วันที่ 4 มี.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับถามต่อเนื่องจากความคิดเห็นที่ 5 ท่าน Paderm ครับโปรดอธิบายต่อครับอกุศลไม่ต่างกันโดยภูมิ (อภิ.สงฺ.) อกุศลเป็นกามาวจรอย่างเดียว; ข้อความที่ผมยกมานี้ ทำให้เข้าใจว่า อกุศลเป็นกามาวจรอย่างเดียว

โปรดอธิบายด้วยครับ


ความคิดเห็น 15    โดย paderm  วันที่ 4 มี.ค. 2553

เรียนความเห็นที่ 14 อกุศลไม่ต่างกันโดยภูมิหมายความว่า ไม่ว่าอยู่ในภพภูมิใดอกุศลก็ต้องเป็นอกุศล

อกุศลเกิดที่พรหมโลกหรือเกิดที่โลกมนุษย์ (ภูมิคือที่เกิดของสัตว์) ก็ต้องเป็นอกุศลจะ

เปลี่ยนเป็นกุศลไม่ได้ โลภะก็ต้องเป็นโลภะ ไม่เปลี่ยนไปตามภพภูมิครั บ ถ้ากล่าว

โดยภูมิคือที่เกิดของสัตว์แล้ว อกุศลเกิดได้ทุกภูมิไม่ว่ามนุษย์ เทวดา พรหมโลกครับ

และสำหรับที่กล่าวว่า อกุศลเป็นกามวจรอย่างเดียว ถูกต้องครับ ในที่นี้ไมได้กล่าวถึง

ภพภูมิคือทีเกิดของสัตว์แล้ว แต่กล่าวถึงระดับของจิต อกุศลเป็นกามวจรจิตเท่านั้น

เป็นรูปาวจรจิตไม่ได้ เป็นอรูปาวจรจิตไม่ได้และเป็นโลกุตตรจิตไม่ได้ครับ เชิญคลิกอ่านที่นี่...ชาติของกามวจรจิต - รูปาวจรจิต - อรูปาวจรจิต


ความคิดเห็น 16    โดย ชีวิตคือขณะจิต  วันที่ 6 มี.ค. 2553

สรุปว่าในพรหมโลกยังมีอกุศล และมีกามาวจรจิตเกิดได้

การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 17    โดย paderm  วันที่ 6 มี.ค. 2553

เรียนความเห็นที่ 16 ถูกต้องครับ


ความคิดเห็น 18    โดย รากไม้  วันที่ 6 มี.ค. 2553

อย่าเพิ่งไปสนใจพรหมโลกครับ ได้ไปแน่ๆ ถ้าไม่หยุดพิจารณาสภาพธรรมะ ...สนใจ ขณะนี้ก็พอ ว่าอะไรคือรูปธรรม นามธรรม , แยกโลก 6 โลกให้ขาดออกจากกัน โดยตลอด

ด้วยการพิจารณาไปเรื่อยๆ ตามกำลังความรู้ ว่าจะทำอย่างไร จากที่ได้ฟังมาว่าจะแยกโลก 6 โลกนั้นได้อย่างไร , ขณะใดที่ขาดจากอารมณ์ใดๆ และหยุดความคิดทั้งหมด , มีสติระลึกถึงสิ่งที่อยู่ในขณะนี้ ว่าสิ่งที่ตาเห็น หูได้ยิน ฯลฯ เป็นอะไรกันแน่ ใช่สิ่งที่อยู่ในปรมัตถธรรมที่ศึกษามาทั้งหมดนั้นหรือเปล่า

การอธิษฐานที่ว่านั้น จะเป็นจริงไม่ได้ ถ้าไม่ทำขณะนี้ทั้งหมดนั้นให้เป็นธรรมะ


ความคิดเห็น 19    โดย ชีวิตคือขณะจิต  วันที่ 8 มี.ค. 2553

คุณรากไม้ที่นับถือ
ทีท่านว่านั้น เป็นดำริชอบกระมังครับ
แต่ อะไรคือรูป อะไรคือนาม
กว่าจะรู้ได้คงไม่ตกนรกเสียก่อนนะครับ โลกทั้ง 6 โลก มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เช่น
ทางตา อะไร คือ สิ่งที่ถูกเห็น อะไร คือ การเห็น
ทางหู อะไร คือ เสียง อะไร คือ การได้ยิน ฯลฯ

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 20    โดย นายสมบัติ  วันที่ 5 ม.ค. 2559

สาธุครับ

ขออนุโมทนาครับ