
[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 313 - 314
๙. ปาเถยยสูตร
[๒๑๕] เทวดาทูลถามว่า
อะไรหนอ ย่อมรวบรวมไว้ซึ่งสะเบียง อะไรหนอ เป็นที่มานอนแห่งโภคทรัพย์ทั้งหลาย อะไรหนอ ย่อมเสือกไสนรชนไป อะไรหนอ ละได้ยากในโลก สัตว์เป็นอันมากติดอยู่ในอะไร เหมือนนกติดบ่วง.
[๒๑๖] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
ศรัทธาย่อมรวบรวมไว้ซึ่งเสบียงสิริ (คือมิ่งขวัญ) เป็นที่มานอนแห่งโภคทรัพย์ทั้งหลาย ความอยากย่อมเสือกไสนรชนไป ความอยากละได้ยากในโลก สัตว์เป็นอันมากติดอยู่ในความอยาก เหมือนนกติดบ่วง.
อรรถกถาปาเถยยสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในปาเถยยสูตรที่ ๙ ต่อไป :-
บทว่า ศรัทธาย่อมรวบรวมไว้ซึ่งเสบียง อธิบายว่า บุคคลยังศรัทธาให้เกิดขึ้นแล้ว ย่อมให้ทาน ย่อมรักษาศีล ย่อมทำอุโบสถกรรม ด้วยเหตุนี้แหละ พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า ศรัทธาย่อมรวบรวมไว้ซึ่งเสบียง ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 147 ข้อความบางตอนจาก จตุจักกสูตร
บทว่า อิจฺฉาโลภ นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ธรรมอันหนึ่งนี้แหละ ชื่อว่าโลภะ เพราะอรรถว่าปรารถนา เพราะอรรถว่าความอยากและความต้องการ. อีกอย่างหนึ่ง ความอยากมีกำลังทรามเกิดขึ้นครั้งแรก ความโลภมีกำลังเกิดขึ้นในเวลาต่อๆ มา. อีกอย่างหนึ่ง ความปรารถนาในวัตถุอันตนยังไม่ได้ ชื่อว่าความอยาก ความยินดีในวัตถุอันตนได้แล้ว ชื่อว่าความโลภ.
อ.วิชัย: กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ ก็รู้ว่า การละคลายกิเลสอกุศลก็เป็นสิ่งที่ยากอย่างยิ่งครับ แต่ว่า ถ้ามีความอ่อนใจขึ้นมาก็ไม่พ้นจากอกุศลเหมือนกันครับ อย่างข้อความใน ปาเถยยสูตร ครับ ก็มีเทวดามากราบทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
อะไรหนอ ย่อมรวบรวมไว้ซึ่งเสบียง อะไรหนอ เป็นที่มานอนแห่งโภคะทั้งหลาย อะไรหนอ ย่อมเสือกไสนรชนไป อะไรหนอ ละได้ยากในโลก สัตว์เป็นอันมากติดอยู่ในอะไรเหมือนนกติดบ่วง
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ศรัทธาย่อมรวบรวมไว้ซึ่งเสบียง สิริเป็นที่มานอนแห่งโภคะทั้งหลาย ความอยากย่อมเสือกไสนรชนไป ความอยากละได้ยากในโลก สัตว์เป็นอันมากติดอยู่ในความอยากเหมือนนกติดบ่วง
กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสถึงความอยาก ความต้องการ ความติดข้อง เป็นสิ่งที่ละได้ยากในโลกครับ คือบางครั้งการศึกษาธรรม การที่จะเริ่มเห็นโทษของความติดข้อง ซึ่งปกติไม่เห็นครับ อะไรจะเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่จะมีความคิด หรือความเข้าใจถูกต้องที่จะเห็นว่า ความอยาก เป็นสิ่งที่ควรละ ครับ กราบเท้าท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: อยากเท่าไหร่ก็ต้องหมดสิ่งที่อยากใช่ไหม? เกิดมาแล้วก็อยากทั้งชาติ แล้วก็หมดไปด้วยความตาย
อ.วิชัย: ครับ
ท่านอาจารย์: แล้วไงล่ะ ก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
อ.วิชัย: คือเหมือนกับว่า ยังเพลิดเพลินพอใจในความอยาก ไม่เห็นว่า ความอยากเป็นสิ่งที่ควรละครับ แต่พอฟังท่านอาจารย์กล่าวว่า ถ้ามีความอยากพอใจในสิ่งนั้น แต่ก็ต้องพลัดพรากในการจากสิ่งนั้นในวันหนึ่ง ก็เหมือนกับว่ารู้หน่อยหนึ่งแล้วก็กลับมาสู่ความพอใจในความอยากอีกครั้งครับ
ท่านอาจารย์: ความอยากเกิดจากอะไร?
อ.วิชัย: ความไม่รู้ในสิ่งที่มีในขณะนั้นครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังไม่รู้ จะหมดอยากได้ไหม?
อ.วิชัย: เป็นไปไม่ได้เลยครับ ถ้ายังไม่รู้
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ต้นเหตุ ถ้าตราบใดยังมีเหตุที่ให้อยากก็อยาก จนกว่าจะหมดเหตุที่ให้อยาก จะอยากอีกต่อไปไม่ได้เลย ไม่มีเหตุที่จะให้เกิดความอยากได้แน่นอน เพราะหมดเหตุที่จะให้เกิดความอยากแล้ว
อ.วิชัย: หมายความว่า การที่เข้าใจในความเป็นธรรมในเบื้องต้น อย่างรู้ว่า สิ่งที่เราเคยติดข้องต้องการปราถนา เป็นธรรม ซึ่งความจริงแล้วเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว แม้ขั้นการฟังก็เป็นปัจจัยเกื้อกูลให้เริ่มเห็นถูกตามความเป็นจริงที่จะค่อยๆ ละความอยากครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกื้อกูลต่อการละ ถ้าค่อยๆ พิจารณา ทั้งหมดนี่ อยากทั้งนั้นเลยใช่ไหม ทางตา ทางหู แต่เอาเฉพาะทางตาก็ได้ สีสวยๆ ของเสื้อผ้า รองเท้า แม้อาหารที่จะรับประทาน คิดดู จานทั้งหลายที่จะใส่ ทั้งหมดอยากไปหมดเลยใช่ไหม มีอะไรที่จะพ้นจากความอยากไปได้
อยากจากสิ่งของ แล้วตัวตนสัตว์บุคคลก็น่ารัก คนนี้ก็สวย คนนั้นก็งามคนละรูปแบบไป ต่างชาติต่างแบบไป เห็นไหม? แต่ลองคิดถึงทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าระลึกได้ย่อมนำมาซึ่งการค่อยๆ ละคลายความอยาก เวลานี้ที่มูลนิธิคงจะมีหลายคนใช่ไหม?
อ.วิชัย: ครับท่านอาจารย์ ก็นั่งสนทนากันอยู่ครับ
ท่านอาจารย์: คุณวิชัยก็มีหน้าตาอย่างนี้ คุณคำปั่นก็อย่างนี้ นั่งคุยด้วยกัน คนนี้น่ารัก คนนั้นก็ดีสวยต่างๆ ลอกหนังออกให้หมด เป็นอย่างไรค่ะ อะไรนั่งคุยกัน เลือด? เห็นไหม แค่นี้ก็ปิดบังแล้ว ปิดบังความจริงจนปานนี้
เพราะฉะนั้น ถ้ารู้อย่างนี้ อยากได้เสื้อสวยๆ มาใส่เลือด หนอง อะไรไหมที่อยู่ตรงนี้
อ.วิชัย: ก็ ขณะที่เข้าใจอย่างนั้น ก็ไม่คิดอย่างนั้นครับ แต่ปกติก็จะหลงลืม ไม่ได้คิดในคำที่ท่านอาจารย์กล่าว
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอสุภะ เห็นไหม ลอกหนังออกแค่นี้ หมดเลย ใครก็ใครทั้งนั้นที่มูลนิธิ สุนัข แมว หนู ปูปลา หมด จริงๆ หม?
[เล่มที่ 37] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ 121
ข้อความบางตอนจาก
ทุติยสัญญาสูตร
ภิกษุทั้งหลาย ก็ข้อที่กล่าวดังนี้ว่า อสุภสัญญา อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มาก ย่อมมีผลมาก มีอานิสงค์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะ เป็นที่สุด เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยอะไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมีใจอันอบรมแล้วด้วยอสุภสัญญาอยู่โดยมาก. จิตย่อมหวนกลับ งอกลับ ถอยกลับจากการร่วมเมถุนธรรม ไม่ยื่นไปรับการร่วมเมถุนธรรม อุเบกขาหรือความเป็นของปฏิกูลย่อมตั้งอยู่ เปรียบเหมือนขนไก่หรือเส้นเอ็นที่เขาใส่ลงในไฟ ย่อมหดงอเข้าหากัน ไม่คลี่ออกฉะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อภิกษุมีใจอบรมแล้ว ด้วยอสุภสัญญาอยู่โดยมาก จิตย่อมไหลไปในการร่วมเมถุนธรรม หรือความเป็นของไม่ปฏิกูลตั้งอยู่ไซร้ ภิกษุพึงทราบข้อนั้นดังนี้ว่า อสุภสัญญาอันเราไม่เจริญแล้ว คุณวิเศษทั้งเบื้องต้นและเบื้องปลาย ของเราก็ไม่มี ผลแห่งภาวนาของเราไม่ถึงที่ เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้น จึงต้องเป็นผู้รู้ทั่วถึงในอสุภสัญญานั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าหากว่า เมื่อภิกษุมีใจอันอบรมแล้วด้วยอสุภสัญญาอยู่โดยมาก จิตย่อมหวนกลับ งอกลับ ถอยกลับจากการร่วมเมถุนธรรม ไม่ยื่นไปรับการร่วมเมถุนธรรม อุเบกขาหรือความเป็นของปฏิกูลย่อมตั้งอยู่ไซร้ ภิกษุพึงทราบข้อนั้นดังนี้ว่า อสุภสัญญาอันเราเจริญแล้ว คุณวิเศษทั้งเบื้องต้นและเบื้องปลายของเรามีอยู่ ผลแห่งภาวนาของเราถึงที่แล้ว เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นย่อมเป็นผู้รู้ทั่วถึงในอสุภสัญญานั้น ข้อที่กล่าวดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสุภสัญญาอันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยข้อนี้
อ.วิชัย: จริงที่สุดเลยครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: เห็นไหม? ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง เราจะมีการค่อยๆ รู้ความจริงว่า ไม่มีอะไร นอกจากผิว สีสันต่างๆ ปกปิดไว้ เป็นเครื่องล่อให้พอใจในรูปร่างสัณฐานต่างๆ ไม่รู้แค่ไหน? บรมโง่แค่ไหน? อยู่อย่างนี้ไปด้วยความโง่ ด้วยความอยากต่อไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรเหลือเลย
ตั้งแต่เกิดมากว่าจะตาย ทรัพย์สมบัติมากมาย รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ ชื่อเสียง อยู่ไหน? อยู่ไหน ไม่เหลือเลยสักนิดทุกขณะก็ไม่รู้
นี่คือ ประโยชน์มหาศาลที่ได้ฟังแล้วเกิดกำลังใจ ไม่ใช่อ่อนใจ เพราะว่าเป็นทาสของกิเลสมามากมาย และพอได้ยินว่า ต้องบำเพ็ญความดีอย่างนี้ ต้องทำกุศลอย่างนี้ ก็อ่อนใจ
แต่ลองคิดถึงความจริงเทียบกับความไม่รู้ สมควรไหม ที่แม้กุศลแม้เพียงเล็กน้อย ก็ค่อยๆ สะสม เป็นเหตุให้ค่อยๆ รู้ความจริง ทีละเล็กทีละหน่อย
ตอนนี้พอฟังว่า ทุกคนซากศพทั้งนั้นเลยที่กำลังนั่งอยู่
อ.วิชัย: ครับ
ท่านอาจารย์: ค่อยๆ ละความติดข้องแม้นิดเดียว ใช่ไหม?
อ.วิชัย: ก็ทีละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้นขณะที่เข้าใจอย่างนั้นครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น มีที่พึ่ง คือคำทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กว่าจะฟันฝ่าความไม่รู้ ความติดข้อง เห็นใครก็พิจารณาเถิด ลอกหนังออกเสีย
อ.วิชัย: ครับท่านอาจารย์ครับ
ขอเชิญอ่านได้ที่..
ความอยากละได้ยากในโลก [ปาเถยยสูตร]
ชื่อว่าโลภะ เพราะอรรถว่าความอยากความต้องการ [จตุจักกสูตรที่ ๙]
ความอยากละได้ยากในโลก [ปาเถยยสูตร]
ความรู้คลายความไม่รู้และโลภะ
ขอเชิญฟังได้ที่..
กิเลสเกิดขึ้นแม้คราวเดียวแก้หลุดได้ยาก
ต้องเห็นโลภะจึงละโลภะได้
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.วิชัย ด้วยความเคารพค่ะ