English-Hindi 08 February 2025
โดย prinwut  9 ก.พ. 2568
หัวข้อหมายเลข 49465

English-Hindi 08 February 2025


- (คุณอาคิ่ล - ทุกอย่างเป็นทุกข์ กิเลสเป็นทุกข์ ปัญญาเป็นทุกข์ การเกิดเป็นทุกข์ แม้ได้ฟังธรรม มีความเข้าใจ ค่อยๆ ละกิเลสก็ยังเป็นทุกข์ แล้วจะศึกษาธรรมไปทำไมในเมื่อศึกษาแล้วก็ยังเป็นทุกข์)

- (คุณสุคิน - ถ้ายังเกิดก็ยังเป็นทุกข์ ความเข้าใจเป็นหนทางเดียวที่ไปสู่การไม่เกิด เมื่อสะสมปัญญาจนถึงพระอรหันต์ก็ไม่ต้องเกิดอีก จึงไม่ทุกข์

- แน่ใจหรือว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ (แน่ใจว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ไม่ใช่แค่ชื่อ) เพราะฉะนั้นปรมัตถ์ธรรมอะไรที่เป็นทุกข์ ไม่ใช่ทุกอย่างเป็นทุกข์ แต่อะไรเป็นทุกข์ที่มีจริงๆ เป็นปรมัตถ์

- (เข้าใจว่าทุกข์คืออะไรที่เกิดต้องดับจึงเป็นทุกข์) เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือเป็นเราเพราะดับไปทันทีอย่างรวดเร็วหลังจากที่เกิดขึ้นแล้ว จะหยุดไม่ให้ทุกข์เกิดอีกเลยได้อย่างไร เพียงเกิดขึ้นแล้วดับไปไม่มีอะไรอีก จากไม่มีแล้วมีแล้วหามีไม่ เพื่ออะไร ประโยชน์อะไรของสิ่งที่ยังไม่เกิดไม่มีเลย แล้วมีปัจจัยให้เกิดขึ้นแล้วดับไปไม่กลับมาอีกเลย จะมีประโยชน์อะไร ไม่ใช่ใคร มีเพียงปัจจัยให้สภาพธรรมเกิดขึ้นต่อๆ ไปมากมายหลากหลาย เกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย จะเป็นประโยชน์อะไร เป็นทุกข์ไหม ถ้าไม่มีอะไรเกิดเลยดีกว่าไหม เพราะถ้าไม่เกิดก็ไม่สามารถเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ และสิ่งที่มีปัจจัยให้เกิดก็ดับไป ไม่มีประโยชน์ นี่ไม่ใช่ทุกข์หรือที่เป็นทุกข์ที่เป็นปรมัตถ์เป็นทุกขอริยสัจจะของทุกอย่าง และนี่คือคำของผู้ที่ทรงตรัสรู้

- เพราะฉะน้้นเมื่อเรากล่าวว่า ชีวิตเป็นทุกข์เป็นเพียงคำพูด เพราะยังไม่ได้รู้เดี๋ยวนี้ที่เกิดดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย จริงไหม เริ่มที่จะมีความมั่นคงในความจริงซึ่งไม่มีใครสามารถเปลี่ยนหรือทำอะไรได้เลย เพราะตามความเป็นจริงสิ่งที่มีไม่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือใครเลยเพราะดับไปทันทีเดี๋ยวนี้ และสิ่งที่สามารถรู้ได้ด้วยปัญญาทีละเล็กทีละน้อยซึ่งเดี๋ยวนี้มีปัจจัยให้เกิดขึ้นเห็นแล้วดับ เกิดขึ้นได้ยินแล้วดับเดี๋ยวนี้ เริ่มศึกษาปรมัตถธรรมที่กำลังมีขณะนี้เกิดดับสืบต่อไปไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ เกิดครั้งเดียวในสังสารวัฏฏ์ ไม่ว่าจะเป็นเจ็บ ความรู้สึกเจ็บ ความติดข้อง ความไม่ชอบ ความเป็นเราหรือความสำคัญตน ดับหมดแล้วถูกต้องไหม ไม่ว่าขณะใดก็สามารถเป็นอย่างนั้นได้เดี๋ยวนี้ ถูกไหม

- เพราะฉะนั้นสิ่งนั้นคืออะไร ไม่มีใครที่เรายึดถือว่าเป็นเราเลย เพียงเกิดขึ้นแล้วดับตามเหตุตามปัจจัย ใครรู้ว่าขณะต่อไปจะเป็นอะไร เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีที่สามารถรู้ได้คือสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เท่านั้นที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยและปรากฏให้รู้ได้ มิฉะนั้นแล้วจะมีขณะที่เข้าใจชัดเจนและรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีแล้วดับทันทีได้อย่างไร นี้เป็นคำที่แสดงถึงการตรัสรู้หรือเปล่า หมายความว่าเป็นคำของผู้ที่ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ทุกขณะ ขณะไหนก็ได้แต่ละขณะที่เกิดขึ้นเป็นไปตามปัจจัยแล้วไม่เกิดอีกเลย นี่คือความจริงสูงสุด อริยสัจจะ อริยสัจจะแรกคือ อะไรที่เกิด ต้องดับ

- เดี๋ยวนี้เรากำลังสนทนาถึงสิ่งที่เกิดแล้วดับแต่ยังไม่ได้รู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมซึ่งมีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้นแล้วดับไปสั้นๆ ถ้าไม่มีความเข้าใจพอ ใครก็ไม่สามารถเข้าใจความลึกซึ้งของลักษณะของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เพราะทันทีที่เกิดก็ดับไปอย่างรวดเร็ว แต่การเกิดดับสืบต่อเป็นปัจจัยให้เห็นเกิดขึ้นเหมือนเห็นตลอดเวลาไม่หยุดเลย เพราะมีปัจจัยให้เกิดขึ้นแต่ละขณะที่สะสมมา

- มีใครไม่ตายไหม เป็นไปไม่ได้ จะตายกี่โมงไม่มีใครรู้ จะตายเดี๋ยวนี้ก็ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีขณะต่อไปต้องมีปัจจัยให้หลังจากตายเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้นอีก ๑ ขณะ และกรรมเป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นสืบต่อเพื่อที่จะเห็น ได้ยิน คิดนึกแล้วดับสืบต่อๆ ไปจนตายเป็นเพียงเท่านี้อย่างนี้ เป็นทุกข์ไหม ศึกษาให้เห็นลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ก่อนที่จะเกิดขึ้นไม่มีแต่ทันทีที่เกิดขึ้นก็ดับ ตรงต่อความจริงเพื่ออบรมความตรงต่อความจริงเป็นสัจจบารมี

- ด้วยเหตุนี้จึงเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสูงสุดไม่มีใครเทียบได้เลยที่ทรงสอนให้รู้สิ่งที่กำลังมีตามความเป็นจริง ศึกษาตามลำดับทีละเล็กทีละน้อยเพื่อประจักษ์แจ้งในสิ่งที่พระองค์ทรงประจักษ์แจ้งตามที่พระองค์ทรงแสดงเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นเราจะศึกษาคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเพื่ออะไร เพราะก่อนตายสามารถที่จะค่อยๆ อบรมปลูกฝังความเข้าใจแต่ละคำเพื่อเข้าใจความจริง มิฉะนั้นก็เป็นความไม่รู้ ความติดข้องที่เกิดขึ้นตามปัจจัยแต่ละขณะสืบต่อมากมายโดยไม่เห็นภัยในขณะนี้ ไม่มีใครทั้งสิ้นมีเพียงปัจจัยให้สภาพธรรมเกิดขึ้นและทันทีที่เกิดขึ้นก็ดับไปอย่างรวดเร็ว จริงไหม เป็นการค่อยๆ ละความไม่รู้ ค่อยๆ ละความติดข้องซึ่งเป็นสาเหตุหรือเป็นปัจจัยหลักให้สิ่งที่เกิดเกิดขึ้น

- ด้วยเหตุนี้เราจึงศึกษาความจริงของชีวิตแต่ละขณะทีละขณะตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้โลกไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง ไม่ใช่โลกที่ปรากฏเพียงหนึ่ง แต่รู้ทุกอย่างทันทีอย่างรวดเร็วทางแต่ละทวาร เห็น ได้ยิน คิดนึกเกิดดับรวดเร็วสุดประมาณ จริงไหม นี้เป็นหนทางที่จะค่อยๆ ละความไม่รู้และความยึดถือในสิ่งที่ไม่ใช่ของใครทั้งสิ้น สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่รู้ก็ดับไปทันทีอย่างรวดเร็ว มิฉะนั้นจะมีจากขณะหนึ่งไปอีกขณะหนึ่งจากเดี๋ยวนี้ไปเย็นนี้ คืนนี้จนกระทั่งถึงอีกวันหนึ่งต่อๆ ไปจนถึงอีกวันจนถึงการสิ้นชีวิต

- การได้เข้าใจความจริงมีค่าอย่างยิ่งไหม จริงๆ แล้วมีสภาพธรรมหลากหลาย ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือเป็นใครเลย เดียวนี้มีแข็งแล้วดับ จริงไหม การตรงต่อความจริงเป็นบารมีเป็นสัจจบารมี มิฉะนั้นเราฟังไปทำไม เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีมิฉะนั้นก็เป็นความไม่รู้และความติดข้อง จริงไหม



ความคิดเห็น 1    โดย prinwut  วันที่ 9 ก.พ. 2568

- มีความมั่นคง สัจจบารมี อธิษฐานบารมี เนกขัมมะบารมี อะไรเป็นผลของการติดข้องในทุกสิ่งทุกอย่างในแต่ละขณะ ติดข้องในสิ่งที่ยึดถือว่ามีค่ามากแต่ความจริงตรงกันข้าม ติดข้องในทรัพย์สมบัติ เกียรติยศชื่อเสียง ฯลฯ ไม่มีใครเลยทั้งสิ้น มีเพียง ๑ ขณะที่รู้สิ่งที่ปรากฏ เป็นเสียงที่ได้ยินหรือสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือเป็นความคิดถึงสิ่งนั้นสิ่งนี้ซึ่งปกติเป็นอกุศลเมื่อไม่มีความเข้าใจและอกุศลก็มีหลายระดับด้วย ถูกต้องไหม

- เดี๋ยวนี้มีอาคิ่ลไหมที่กำลังนั่ง กำลังเข้าใจ หรือกำลังชอบ มีอาคิ่ลไหม (ไม่มี) เห็นไหม แล้วมีอะไรเมื่อไม่มีอาคิ่ล (มีสภาพธรรมต่างๆ มากมาย) มีธรรมอะไรทีละหนึ่งเพียงหนึ่งอย่างเพื่อเข้าใจธรรมนั้นชัดเจนขึ้นๆ ไม่ใช่แค่เพียงพูดว่า เป็นธรรม แต่คืออะไรเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่รู้ก็เป็นเรา อาสวะเป็นกิเลสที่บางมากละเอียดมากไม่เหมือนอนุสัยที่เป็นปัจจัยให้กิเลสเกิดขึ้นตามการสะสมแต่อาสวะเป็นขณะที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ของโลกนี้

- ขณะที่หลับสนิทไม่มีใครเลย ไม่มีความคิดว่าเป็นใครหรือเราเป็นใคร ไม่คิดเลย แต่ทันทีที่ตื่นขึ้นหมายถึงมีการรู้อารมณ์ของโลกนี้แล้วเป็นการรู้อารมณ์ทางทวารต่างๆ ไม่เหมือนกับขณะที่หลับ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีคือเป็นเราที่ตื่นแม้ไม่ต้องพูดไม่ต้องใช้คำก็เป็นเราแล้ว เมื่อไม่มีใครก็เป็นเราที่กำลังตื่นทันที เราขยับ เราลุกขึ้น เราเดิน ทั้งหมดด้วยความติดข้องและความไม่รู้ตลอดทั้งวัน

- เพราะฉะนั้นเป็นความเข้าใจในพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงถึงแต่ละขณะ ขณะที่หลับ ขณะที่ตื่นขึ้น ฯลฯ แต่ละขณะคือความละเอียดของสภาพธรรมที่ไม่สามารถจะเป็นใครหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ความไม่รู้ไม่เข้าใจในสิ่งนั้น จึงติดข้องในสิ่งนั้นทันที เป็นเราตื่น ใครรู้ ทุกความเคลื่อนไหวทุกขณะ อาสวะ ถูกต้องไหม เพื่อเข้าใจอาสวะที่เป็นกิเลสที่ละเอียด แต่กิเลสนี้ไม่สามารถรู้ได้เพราะเล็กน้อยมากและไม่ได้ปรากฏดี

- แม้ขณะที่ต้องการ ขณะที่ยึดถือในสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็เป็นเราเสมอซึ่งเป็นธรรมชาติที่มีความไม่รู้เป็นปัจจัย ไม่สามารถรู้ได้ในขณะนั้น ถ้าไม่ได้ยินแล้วได้ยินอีก ถ้าไม่ฟังแล้วฟังอีกถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ แม้กำลังมีเดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้จึงเป็นสิ่งใดหรือเป็นใครหรือเป็นเราเสมอ และเมื่อตาย เราอยู่ไหน ก่อนตายเราอยู่ไหน แต่ละขณะมีปัจจัยให้เกิดแล้วดับไป จริงไหม

- นี้เป็นหนทางที่ค่อยๆ ละโดยไม่รู้ตัว ค่อยๆ ละความไม่รู้ ความติดข้องในสิ่งที่กำลังมี ไม่ใช่แค่คำในพระไตรปิฎกโดยที่ไม่มีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้แต่ละคำ จริงไหม

- เพราะฉะนั้นขณะที่มีค่าอย่างยิ่งในชีวิต ขณะนั้นคืออะไร ถ้าไม่ใช่ก็ตรงกันข้าม เห็นไหม เริ่มที่จะเข้าใจทุกข์ มิฉะนั้นเราก็เพียงพูดว่า จิตเจตสิกเกิขึ้นแล้วดับไป ฯลฯ แล้วเดี๋ยวนี้หล่ะ ต้องเป็นความเข้าใจตรงลักษณะของสิ่งที่กำลังมีที่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่แค่คำพูดว่า มีสภาพธรรมที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ ก็จริงแต่ขณะนั้นไม่ได้มีความใส่ใจในลักษณะของสิ่งที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ ไม่มีปัจจัยให้ความใส่ใจเกิดขึ้น เพียงได้ยินคำแล้วใส่ใจไตร่ตรองแค่ไหน ไม่ว่าจะโดยแยบคายหรือไม่แยบคาย

- (คุณสุคิน - เพราะฉะนั้นที่มีคนถามคุณอาคิ่ลเรื่องทุกข์ เรื่องปัญญาเป็นทุกข์ก็ไม่ได้อยู่ที่ว่าเราจะตอบอย่างไร แต่ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของผู้ถาม)

- (คุณอาคิ่ล - ดังนั้นการศึกษาธรรมไม่ใช่การศึกษาตามทางของเราแต่เป็นการศึกษาตามความเป็นจริง ดังนั้นจึงง่ายมากที่จะไปผิดทาง)

- (คุณสุคิน - เพราะฉะนั้นเราจึงไม่สนองความต้องการของผู้ถามแต่ต้องกลับมาที่สภาพธรรมและต้องดูว่า ผู้ถามมีความสนใจที่จะเข้าใจความจริงของการเห็น การได้ยิน ความคิดนึกที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ไหม)

- (คุณอาช่า - ต้องการสอบถามท่านอาจารย์เรื่องสัมปทา) ถามภาษาบาลีคุณคำปั่นตอนนี้เลยค่ะ เพื่อให้เข้าใจสัมปทาก่อนจะได้รู้ว่าสัมปทามีอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นขอถามคุณคำปั่น


ความคิดเห็น 2    โดย prinwut  วันที่ 9 ก.พ. 2568

- (อ.คำปั่น - สัมปทาหมายถึงความถึงพร้อมซึ่งมีหลากหลายที่ที่แสดงไว้ ถ้าจะกล่าวถึงเกี่ยวกับความเป็นไปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านอาจารย์ได้เรียบเรียงไว้ในหนังสือประมัตถธรรมสังเขป จะกล่าวถึงสัมปทนา ๓ อย่างคือ ๑ เหตุสัมปทา คือ ความถึงพร้อมด้วยเหตุ ๒ ผลสัมปทา คือ ความถึงพร้อมด้วยผล อีกประการหนึ่งที่ทุกคนอาจจะคุ้นคือ สัตตูปการสัมปทา หมายถึงความถึงพร้อมด้วยการอุปการเกื้อกูลสัตว์โลก สำหรับเหตุสัมปทามีคำอธิบายว่าเป็นการบำเพ็ญพระบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่ครั้งเป็นพระโพธิสัตว์จนกว่าจะถึงการสมบูรณ์พร้อม อันนี้เป็นเหตุสัมปทาถึงพร้อมด้วยเหตุคือบารมีทั้งหลายทั้งปวง)

- (อ.คำปั่น - ถ้ากล่าวถึงผลสัมปทาจำแนกออกเป็น ๔​ ประการซึ่งท่านอาจารย์ได้อธิบายแล้วอย่างละเอียดคือ ๑ ญาณสัมปทา ความถึงพร้อมด้วยปัญญาที่ทำให้พระองค์ได้ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒ ปหานสัมปทา คือ ถึงพร้อมด้วยการละกิเลสเพราะว่าพระองค์ทรงสามารถที่จะกิเลสพร้อมความประพฤติที่ไม่เหมาะทั้งหมดเลยที่เป็นวาสนาด้วยนี้คือความเป็นพระสัมมาสัพมุทธเจ้าที่ถึงพร้อมด้วยการละกิเลส ประการที่ ๓ คือ อานุภาวสัมปทา การถึงพร้อมด้วยความเป็นใหญ่ คงไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่าพระองค์แล้ว และประการที่ ๔​ คือ รูปกายสัมปทา ถึงพร้อมด้วยรูปกายซึ่งแน่นอนความงามทั้งหมดไม่มีใครเกินพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)

- (อ.คำปั่น - อันนี้คือในส่วนของผลสัมปทาซึ่งมี ๔ อย่าง ญาณสัมปทาถึงพร้อมด้วยปัญญา ปหานสัมปทาถึงพร้อมด้วยการละกิเลส อานุภาวสัมปทาถึงพร้อมด้วยความเป็นใหญ่ และรูปกายสัมปทาถึงพร้อมด้วยรูปกายที่ไม่มีใครที่จะเสมอเหมือนพระองค์ได้เลย)

- (อ.คำปั้น - ส่วนสัตตูปการสัมปทา ได้ฟังที่ท่านอาจารย์ได้อธิบายก็ไพเราะอย่างยิ่งว่า พระบารมีทั้งหมดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อที่จะได้อนุเคราะห์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกเป็นสัตตุปการสัมปทา กราบเท้าท่านอาจารย์)

- ขอบคุณคุณคำปั่น เชิญคุณสุคินกล่าวเรื่องสัมปทาที่ได้ฟังแล้ว อธิบายให้เขาฟังทีละคำ สัมปทาก่อนคืออะไร คุณจิ๋วก็ได้ถ้าคุณสุคินยังไม่พร้อม อะไรคือสัมปทาตั้งแต่ต้น

- (คุณสุคิน - เริ่มต้นด้วยการเข้าใจว่า สัมปทาคืออะไรก่อนและด้วยความเข้าใจในคำนี้ก็สามารถที่จะเข้าใจคำอธิบายที่เหลือได้)

- (คุณตรัสวิน - สัมปทาคือความถึงพร้อม รายละเอียดที่อ.คำปั้นได้อธิบายเริ่มที่เหตุสัมปทาคือปัจจัยที่นำไปสู่ความถึงพร้อม และต่อมาผลสัมปทามี ๔ ประการคือ ญาณสัมปทาคือปัญญาที่นำไปสู่ความถึงพร้อมด้วยปัญญา ประการที่ ๒ ปหานสัมปทา การถึงพร้อมด้วยการละกิเลสทุกประการ ประการที่ ๓ อานุภาวสัมปทา การถึงพร้อมความเป็นใหญ่ซึ่งไม่มีใครเสมอพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ และรูปกายสัมปทา การถึงพร้อมด้วยรูปกายที่สมบูรณ์พร้อมโดยที่ไม่มีใครในโลกนี้หรือโลกไหนๆ สมบูรณ์เท่า)

- (คุณตรัสวิน - ประการสุดท้าย สัตตูปการสัมปทา สัตตู คือ สัตว์โลก อุปการะ คืออนุเคราะห์เกื้อกูล รวมความหมายถึง การถึงพร้อมด้วยการอนุเคราะห์เกื้อกูลสัตว์โลกโดยการที่พระองค์ทรงอนุเคราะห์ทุกสรรพสัตว์ด้วยการแสดงธรรมเพื่อให้สัตว์โลกเกิดปัญญาของตนซึ่ง มศพ. และท่านอาจารย์ก็ได้ดำเนินตามรอยพระบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยศึกษาและสนับสนุนการเผยแพร่พระธรรมคำสอนแก่ทุกคน)

- (คุณสุคิน - คุณอาช่าถามถึงสัตตูปการสัมมปทาเป็นส่วนใหญ่ว่า มีเพียงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงมีคุณสมบัตินี้เท่านั้น ด้วยการตรัสรู้ของพระองค์จึงทรงอนุเคาระห์สัตว์โลกถูกต้องไหม) เฉพาะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือใครก็ตามแต่ไม่สมบูรณ์พร้อมเท่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- (คุณอาคิ่ล - ขอให้กล่าวถึงสัมปนาในนัยอื่นที่ไม่ใช่เฉพาะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) พระรัตนตรัยได้แก่อะไร ถ้าไม่มีสัมปทนาจะถึงความจริงได้ไหม ไม่ใช่คำ แต่สิ่งที่มีพระรัตนตรัยมีอะไรบ้าง ไม่มีประโยชน์ที่จะบอกแต่ต้องไตร่ตรองตวามจริงเพื่อเข้าใจสัมปทนาที่ไม่ใช่แค่คำ ด้วยเหตุนี้จึงถามถึงพระรัตนตรัยเพื่อที่จะเข้าใจความถึงพร้อมในแต่ละระดับของความเข้าใจ พระรัตนตรัยมี ๓ ไม่ใช่แค่ ๑ ใช่ไหม นี่คือคำตอบสำหรับคำถามของคุณอาช่าเพื่อไตร่ตรองไม่ใช่เพื่อฟังแล้วตามทันทีโดยไม่มีความเข้าใจที่ชัดเจน

- คำถามสำคัญที่สุดเพื่อทุกคนจะได้มีนิสัยใหม่ อุปนิสสยปัจจัย ที่จะไตร่ตรองด้วยตนเองด้วยความละเอียดรอบคอบ เพราะฉะนั้นพระรัตนตรัยคืออะไร

- (คุณสุคิน - คุณอาช่าเข้าใจว่า ผลสัมปทาเป็นของพระพุทธเจ้าเท่านั้น) แล้วสาวกไม่มีสัมปทาเลยหรือ (คุณอาช่าได้อ่านมาว่า ผลสัมปทาเป็นของพระพุทธเจ้าเท่านั้นจึงสงสัยว่าเพราะเหตุใด) เพราะฉะนั้นมีเพียงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นหรือที่ทรงประจักษ์แจ้งอริยสัจธรรม ๔


ความคิดเห็น 3    โดย prinwut  วันที่ 9 ก.พ. 2568

- เมื่อกล่าวถึงสัมปทาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือคุณธรรมสูงสุด และเมื่อกล่าวถึงสัมปทนาหมายถึงความถึงพร้อมสำหรับใครก็ตามที่ได้ตรัสรู้ มิฉะนั้นถ้าปราศจากเหตุจะมีการตรัสรู้ได้ไหม และผลถ้าไม่มีใครถึงพร้อมอย่างนั้นจะตรัสรู้ได้หรือ เห็นไหม สาวก พระรัตนตรัย แม้ใครก็ตามที่มีความเข้าใจถึงระดับที่สมบูรณ์พร้อมอย่างนั้นมีความถึงพร้อมในอริยสัจ ๔ ในระดับต่างๆ เพราะฉะนั้นเมื่อกล่าวถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือระดับสูงสุด ไม่มีใครเปรียบได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า มีเพียงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สามารถจะถึงพร้อมได้เท่านั้น ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าที่สามารถถึงพร้อมระดับนั้นจึงเป็นพระสัมมาสัมพุทโธ พระพุทธรัตน และสาวกสังโฆ ถ้าไม่มีเหตุสัมปทนา ไม่มีผลสัมปทา ฯลฯ แล้วจะมีการการตรัสรู้ของท่านอื่นๆ ได้อย่างไร

- ด้วยเหตุนี้เราจึงไตร่ตรองพิจารณาแต่ละคำทุกคำของทุกสภาพธรรมซึ่งมีความแตกต่างหลายระดับ อาสวะไม่ใช่อนุสัย ไม่ใช่นิวรณ์ หรือไม่ใช่กิเลส ด้วยเหตุนี้จึงต้องเข้าใจความจริง คำไม่สามารถอธิบายสภาพธรรมได้ทั้งหมด เพียงคำเดียวความเข้าใจถูกในสภาพธรรมสามารถที่จะประจักษ์แจ้งหรือรู้แจ้งสภาพธรรมโดยนัยต่างๆ โดยอายตนะ โดยธาตุ โดยปฏิจสมุปบาท ทั้งหมดเป็นธรรม เหตุเป็นเหตุ ผลเป็นผล ปัจจัยที่แตกต่างกันทำให้ไม่ได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่เป็นสาวก เหตุสูงสุดที่ไม่มีใครเปรียบได้ต้องสำหรับพระพุทธเจ้าเท่านั้น แต่คนอื่นก็ต้องมีสัตตูปการ เดี๋ยวนี้คุณกำลังเกื้อกูลคนอื่นด้วยความเข้าใจ นั้นไม่ใช่สัตตูปการเท่าที่สามารถจะเป็นไปได้ของแต่ละคนหรือ ตามระดับของความเข้าใจของสาวกแต่ละท่าน ท่านพระสารีบุตร ท่านพระโมคคัลลานะ พระมหากัสสปะ ฯลฯ

- มีคำถามอื่นไหม การสนทนาธรรมเป็นมงคลอย่างยิ่งเพราะเหตุว่า ทุกคนต่างศึกษาต่างอ่านกันมาจากที่ต่างๆ แล้วมาสอบถามหรือสนทนากันเพื่อเข้าใจความจริงเพื่อที่จะค่อยๆ ละความไม่รู้และความติดข้องเพิ่มขึ้น เพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมถึง ๔๕​ พรรษา ทุกขณะ ทุกสภาพธรรม ทุกระดับ

- (คุณอาคิ่ล - ท่านอาจารย์กล่าวว่าสัมปทา ๔ ไม่ใช่สำหรับพระพุทธเจ้าเท่านั้นแต่ใช้สำหรับสาวกด้วย…) ขอโทษนะคะ เพื่อใช้หรือเพื่อเข้าใจ (เพื่อเข้าใจ) แล้วยังไม่เข้าใจตรงไหน (ที่ยังไม่เข้าใจคือ ผลสัมปทาของสาวก)

- เหตุสัมปทาคืออะไร (คำถามเกี่ยวกับผลสัมปทาของสาวก) ใช่ค่ะ มิฉะนั้นไม่สามารถที่จะมีสาวกได้เลย แต่สาวกไม่ใช่พระพุทธเจ้า สาวกไม่สูงเท่าพระพุทธเจ้าเพราะคุณธรรมความถึงพร้อมที่ต่างระดับกันทั้งความเข้าใจ ทั้งผล ทั้งสัตตูปการที่ไม่มากเท่าของพระองค์ ต่างระดับกัน และพระภิกษุผู้เป็นเอตทัคคะ พระสารีบุตรเป็นเลิศในทางใด พระโมคัลลานะเป็นผู้เลิศในทางใด เห็นไหม เป็นธรรมที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดผล ผลที่ต่างกัน ผลที่ต่างระดับกันเพราะเหตุที่ต่างระดับกัน

- (คุณสุคิน - ขอท่านอาจารย์ช่วยขยายคำว่า ผล ที่สนทนากันตรงนี้) สามารถที่จะเข้าใจธรรมได้ไหมโดยที่ไม่ศึกษาความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ (ไม่ได้) ด้วยเหตุนี้เหตุคืออะไร เหตุคือการฟัง การไตร่ตรองพิจารณาความจริงเป็นปัจจัยให้เกิดความเข้าใจ ถ้าไม่มีปริยัติจะมีปฏิปัตติได้ไหม ถ้าไม่มีปริยัติไม่มีปฏิปัตติจะมีปฏิเวธได้ไหม ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงว่า ถ้าไม่มีปริยัติก็ไม่มีปฏิปัตติ

- ถ้าไม่มี ๑ คำ ๒ คำและคำต่อๆ ไป ก็ไม่สามารถที่จะมีเข้าใจความจริงเพิ่มขึ้นได้ เราศึกษาจิตเจตสิก ศึกษาเรื่องสัมปทา เรื่องอายตนะ ฯลฯ ทั้งหมดคือลักษณะของสภาพธรรมที่ควรรู้ มิฉะนั้นจะมีความเข้าใจที่ชัดเจนและลึกซึ้งในสิ่งที่ละเอียดอย่างยิ่งได้อย่างไร สภาพธรรมทั้งหลายลึกซึ้งมาก

- เพราะฉะนั้นไม่ติดในชื่อ ในคำแปล หรือติดความหมายแต่เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีไม่ว่าจะในภาษาบาลี ภาษาฮินดี ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะใช้คำไหนก็สามารถที่จะมีความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมในภาษาของตน สภาพธรรมไม่มีคำแต่ต้องอาศัยคำเพื่อให้รู้ว่ากำลังกล่าวถึงอะไร เห็นไม่ใช่สิ่งที่ถูกเห็น เป็นต้น

- ไม่ได้หมายความว่า ขณะที่กำลังเห็นต้องพูดว่า “จิตเห็นกำลังเห็น“ หรือ ”สิ่งที่ถูกเห็นไม่ใช่เห็น” ฯลฯ เป็นต้น แต่ความเข้าใจความจริงและขณะที่ประจักษ์แจ้งความจริงไม่มีชื่อ แต่สามารถที่จะมีความคิดถึงชื่อได้เพราะเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เพราะเป็นความจริง สภาพธรรมคือชีวิตประจำวันที่ควรรู้ มิฉะนั้นไม่ใช่ผลที่มาจากเหตุ เหตุไม่ใช่การเข้าใจคำเข้าใจความหมายแต่เหตุคือ ความเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ซึ่งยังไม่ได้รู้ตามความเป็นจริงเพราะธรรมไม่ได้ปรากฏดีต่อความไม่รู้ แม้เดี๋ยวนี้สภาพธรรมกำลังมีจริงไม่มีใครสามารถเปลี่ยนได้เลย มีปัจจัยให้เกิดขึ้นปรากฏ แต่ความเข้าใจไม่ใช่เข้าใจชื่อว่า เป็นนาม เป็นเห็น ฯลฯ แต่เป็นลักษณะของสิ่งที่มีในภาษาใดก็ได้ที่เกื้อกูลให้เกิดความเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมี

- ด้วยเหตุนี้ ดิฉันไม่เข้าใจภาษาบาลี ดิฉันไม่ได้เรียนบาลี แต่สามารถศึกษาเป็นภาษาไทยได้เพื่อเข้าใจลักษณะ เข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่ไม่ใช่คำ เพราะสภาพธรรมเหนือคำใดๆ ไม่ว่าจะใช้คำไหนที่ใกล้เคียงหรือคล้ายกันแต่ความจริงลึกซึ้งมากกว่านั้น

- ด้วยเหตุนี้เมื่อกล่าวถึงสัมปทา พุทธสัมปทาหรือสาวกสัมปทาต้องมีเหตุและต้องมีผล ผลไม่สามารถเกิดได้โดยไม่มีเหตุ ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่เพื่อเข้าใจความจริง นี้คือหนทางที่จะเข้าใจความจริงซึ่งมีอยู่ตลอดเวลาทีละหนึ่งที่ละขณะจากขณะหนึ่งไปสู่อีกขณะหนึ่งเดี๋ยวนี้

- ถ้าไม่มีความเข้าใจในคำสอนเพื่อเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีให้รู้ ยกตัวอย่างเช่น โลกอยู่ที่ไหนและโลกคืออะไร ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยโลกก็ไม่มี แต่ไม่ว่าอะไรที่กำลังมีสิ่งนั้นเป็นโลก เพียง ๑ ขณะใน ๑ ทางแล้วดับ นี้คือหนทางที่จะเข้าใจไม่ว่าอะไรในอนาคตเมื่อมีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เห็นเดี๋ยวนี้หรือเห็นในอนาคตต่างก็เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นรู้สิ่งที่กระทบตาเท่านั้นเหมือนกัน และขณะนั้นก็เป็นอายตนะด้วยไม่ใช่ขณะอื่น เห็นไหม ศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงที่มีในชีวิตประจำวันแต่ละขณะ ไม่ต้องไปแสวงหาหรือพยายามไปแปลหรือพยายามเข้าใจภาษา แต่สามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมโดยการใส่ใจดีในลักษณะของสภาพธรรมนั้นโดยอาศัยแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


ความคิดเห็น 4    โดย prinwut  วันที่ 9 ก.พ. 2568

- (คุณอาช่าอยากสนทนานิวรณ์) นิวรณ์มีจริงไหม เป็นธรรมประเภทไหน นี่คือการเริ่มต้น (เป็นกิเลส) อกุศลเจตสิกใช่ไหม นิวรณ์คืออะไร มีเท่าไหร่ มีเจติสิกแต่ต้องเข้าใจว่าเจตสิกอะไรที่เป็นนิวรณ์ และความหมายของนิวรณ์คืออะไร (เป็นเครื่องขัดขวางไม่ให้เข้าใจธรรม) เป็นเครื่องกั้นแล้วกั้นอะไร ถ้าเรากล่าวแค่ว่าเป็นเครื่องกั้น คืออะไรและกั้นอะไร หนทางที่จะเข้าใจนิวรณ์หรือสภาพธรรมใดๆ ก็ตามต้องเข้าใจตั้งแต่ต้นเพื่อจำแนกเจตสิกที่แตกต่างกันเป็นธรรมที่แตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นนิวรณ์ เป็นกิเลส เป็นสังโยชน์ ฯลฯ เป็นต้น

- หมายความว่า เพื่อเข้าใจสภาพธรรมประเภทต่างๆ เช่น นิวรณ์ ต้องเข้าใจความหมาย เข้าใจลักษณะของนิวรณ์ว่าทำไมไม่ใช่สังโยชน์ ไม่ใช่โอฆะ ฯลฯ ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องศึกษาตั้งแต่ต้นให้ชัดเจน ทำไมเป็นนิวรณ์เพราะว่าทั้งหมดเป็นกิเลส แต่ทำไมมีเจตสิกเท่าไหร่ที่เป็นนิวรณ์เพื่อที่จะเข้าใจขณะที่กำลังมีนิวรณ์ คืออะไร เพื่อที่จะเข้าใจนิวรณ์มที่กำลังมีในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่เพียงเรียนคำเรียนชื่อแต่ศึกษาความจริงของนิวรณ์ เป็นอกุศลหรือเปล่า

- (คุณอาช่า - นิวรณ์เป็นอกุศล) อกุศลเจตสิกทุกประเภทกั้น แต่ทำไมมีเพียงนิวรณ์ที่เป็นนิวรณ์ ประเภทอื่นๆ ไม่ใช่นิวรณ์ เดี๋ยวนี้มีอกุศลไหม (มี) เป็นนิวรณ์ไหม (เป็น) จริงหรือ เป็นสังโยชน์หรือเปล่า (ยังไม่รู้จักสังโยชน์) เพราะฉะนั้นเป็นเพียงคำแต่ไม่มีความเข้าใจหัวข้อนิวรณ์หรือสังโยชน์หรือกิเลสหรือโอฆะ เห็นไหม ด้วยเหตุนี้จึงต้องเริ่มที่จะเข้าใจเพราะสามารถที่จะเข้าใจได้ เพราะว่าส่วนใหญ่ในแต่ละวันเป็นอกุศลแต่เป็นอกุศลประเภทไหนระดับไหน ด้วยเหตุนี้เราจึงสนทนาถึงอกุศลธรรมกองต่างๆ ประเภทต่างๆ ระดับต่างๆ เพราะว่ามีอกุศลระดับต่างกันดังนั้นจึงใช้คำเรียกต่างกัน เช่น นิวรณ์ โอฆะ ฯลฯ

- เพราฉะนั้นในแต่ละวันส่วนใหญ๋มีอกุศลแต่ว่าไม่รู้ เพราะอะไรจึงไม่รู้เพราะว่าไม่มีความเข้าใจ เมื่อใดก็ตามที่ไม่มีความเข้าใจในสภาพธรรมไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศลตามเหตุตามปัจจัย แต่ยังคงเป็นเราตลอดเวลาแต่ความเข้าใจในคำที่แสดงถึงความจริงสูงสุด เป็นขณะเดียวเท่านั้นที่เป็นมรรคคือเป็นหนทาง เป็นสัมมามรรคที่ละความไม่รู้และความติดข้องโดยขณะที่เข้าใจนั้นนั่นเองที่ละ ไม่ใช่หนทางอื่นเลย

- เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้มีอกุศลไหม คำตอบคือมี แต่ประเภทไหน กลุ่มไหน มีลักษณะอย่างไร เพราะฉะนั้นเราศึกษาเพื่อเข้าใจคำที่แสดงถึงอกุศลที่เป็นสภาพธรรมต่างๆ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ถ้าไม่มีความเข้าใจอกุศลในระดับที่ต่างๆ กัน แล้วจะมีความเข้าใจอกุศลที่กำลังมีขณะนี้ว่าเป็นระดับไหน ประเภทไหนได้อย่างไร

- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีนิวรณ์ไหม เห็นไหม ถ้าปราศจากความเข้าใจกิเลสระดับต่างๆ จะสามารถตอบคำถามได้อย่างไรว่าเป็นนิวรณ์หรือไม่ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงคำถามคำตอบแต่เพื่อเข้าใจความจริงในขณะนั้น เมื่อมีความเข้าใจความจริง ไม่มีชื่อไม่มีคำเพราะกำลังเข้าใจตามความเป็นจริงไม่ว่าจะระดับไหนด้วยคำอะไร หรือโดยประเภทต่างๆ

- เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีความเข้าใจนิวรณ์ก็ไม่สามารถที่จะมีคำตอบว่ามีนิวรณ์เดี๋ยวนี้หรือไม่ แต่เราสามารถกล่าวได้ว่า ส่วนใหญ่แทบจะตลอดเวลามีอกุศลแต่ระดับไหน เพราะฉะนั้นอะไรคือความต่างระหว่างอาสวะกับนิวรณ์ ด้วยเหตุนี้เราจึงเรียนว่าเป็นเจตสิกอะไร มีเจตสิกเท่าไหร่ที่เป็นนิวรณ์

- เมื่อยุ่งมากในกามฉันทะ พยาปาทที่ไม่ใช่ความรำคาญเล็กๆ น้อยๆ เป็นนิวรณ์ ใช่ไหม คิดถึงสิ่งนั้นทั้งวันหรือนานกว่านั้น มีความคิดถึงด้วยความหวังตลอดเวลาหรือแทบจะตลอดเวลา นั่นไม่ใช่อาสวะแต่ปรากฏมากมายหลายขณะครึ่งวันทั้งวัน น้อยกว่านั้นหรือนานกว่านั้นตามเหตุตามปัจจัย

- เพราะฉะนั้นคุณสุคินและคุณจิ๋วช่วยกรุณาสนทนาเรื่องนิวรณ์ด้วย (คุณสุคิน - เมื่อความไม่ชอบมีมากๆ เป็นนิวรณ์ ส่วนกามฉันนะ ยกตัวอย่าง ขณะนี้กำลังดื่มกาแฟแต่ใจคิดไปถึงรสของกาแฟ ไม่ได้ฟังท่านอาจารย์ อย่างนี้เป็นนิวรณ์ไหม)

- เราไม่กล่าวถึงชื่อหรือคำแต่กล่าวถึงขณะต่างๆ ที่ยุ่งอยู่แต่กับสิ่งนั้นหรือคิดถึงแต่สิ่งนั้นเท่านั้น (คุณสุคิน - แม้ขณะสั้นๆ ท่านอาจารย์กำลังกล่าวถึงสิ่งที่สำคัญแต่ขณะนั้นกำลังคิดถึงรสของกาแฟไม่ได้สนใจในสิ่งที่ได้ยินก็เป็นเครื่องกั้นกุศล)

- แล้วขณะที่มีรายการโทรทัศน์ที่ชอบดู (นั่นเป็นขณะที่มีกำลัง เพราะไม่อยากฟังธรรมแต่อยากดูโทรทัศน์มากกว่า) ดังนั้นไม่ใช่อาสวะที่มีไม่กี่ขณะใช่ไหมเพราะกุศลไม่เกิด (แต่อาสวะละเอียดกว่านั้นเพราะไม่ปรากฏ แต่สิ่งนี้ปรากฏ) ด้วยเหตุนี้จึงมีอกุศลระดับต่างๆ ในแต่ละวัน อะไรที่รู้ได้

- (คุณตรัสวิน - ในแต่ละขณะกุศลแทบจะไม่เกิดเลย แม้ขณะที่กำลังทำความดีเดี๋ยวนี้ กำลังสนทนาธรรมแต่จิตก็เกิดดับตลอดเวลา แต่เมื่อกล่าวถึงคำไหนก็ไปสนใจในความหมายของคำนั้น แทนที่จะใส่ใจกับการสนทนาธรรม นั่นเป็นนิวรณ์อย่างหนึ่ง แต่กามฉันทะเกิดขึ้นตั้งแต่ขณะที่ตื่นนอน เช่น เรากำลังยืดเส้นยืดสายบนเตียง คิดถึงร่างกายของเรา คิดถึงตัวเรา ไม่สามารถที่จะละหรือคิดว่าเป็นธรรมในทุกๆ ขณะหรือแม้เสี้ยวขณะซึ่งไม่ได้คิดถึงพระธรรมเลย แม้แต่เมื่อเช้านี้ดูนาฬิกาก็คิดว่าตอนสิบโมงต้องเข้ามาสนทนาในกลุ่มนี้ ใครจะเข้ากลุ่มบ้าง จะสนทนาเรื่องอะไร และใจก็คิดไปถึงสิ่งที่ได้สนทนาเมื่อวานนี้ตอนที่ไปส่งท่านที่สนามบิน มันเกิดขึ้นเร็วมากนิมิตของสิ่งที่มีเป็นนิวรณ์ที่พอใจในสิ่งใด เมื่อวานนี้ยินดีพอใจที่ได้ความเข้าใจในเรื่องนิมิต แต่เป็นเราที่พอใจและนั้นกลายเป็นนิวรณ์ ไม่ได้คิดว่าเป็นปัญญาที่เข้าใจแต่เป็นเราที่เข้าใจ อันนี้จะตรงมากกว่าเรื่องดื่มกาแฟ ไม่แน่ใจว่าอธิบายชัดเจนไหมแต่ขอบพระคุณที่ให้โอกาสได้กล่าว)


ความคิดเห็น 5    โดย prinwut  วันที่ 9 ก.พ. 2568

- นี้คือความหมายของคำว่า อกุศลทุกประเภทกั้นกุศลทุกอย่างใช่ไหม แต่อกุศลที่ไม่ปรากฏ เช่น สิ่งที่ทำเป็นประจำในชีวิตประจำวันเมื่อตื่นนอน ไม่มีเครื่องหมายของความเป็นเครื่องกั้นเลย แต่เมื่อยุ่งเกี่ยวอยู่แต่กับสิ่งที่เป็นกามฉันทะ การงานของเรา ฯลฯ นั่นเป็นเครื่องกั้นไม่ให้ได้ฟังพระธรรมคำสอนหรือเข้ากลุ่มสนทนาธรรม ฯลฯ มันปรากฏเป็นเครื่องกั้น เรากำลังกล่าวถึงอกุศลต่างๆ ไม่ว่าจะสั้นหรือยาว หรือมีตลอดเวลา สามารถที่จะรู้ได้ว่าเป็นอกุศลในระดับต่างๆ กัน ไม่ได้หมายความว่า เราต้องไปหาขณะที่เป็นนิวรณ์ ด้วยเหตุนี้เราจึงกล่าวว่าเจตสิกอะไรเป็นนิวรณ์บ้างแต่ไม่ได้หมายความว่ามีแต่ระดับนิวรณ์เท่านั้น เมื่อไม่ปรากฏหรือเมื่อจดจ่ออยู่กับสิ่งที่กำลังทำและไม่ได้สนใจกุศลเลยหรือปล่อยให้กุศลคอยที่จะเกิด ฯลฯ ไม่ใช่ให้ไปวัดอกุศลแต่ให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏตรงอยู่กับสิ่งนั้นไม่สนใจสิ่งอื่นเลย

- (คุณสุคิน - มีคำถามว่า อกุศลที่เป็นเครื่องกั้นกุศลกับอกุศลที่เป็นเครื่องกั้นปัญญาต่างกันใช่ไหม) ทีละนิดค่ะ เรากล่าวได้ไหมว่า อกุศลทุกชนิดกั้นกุศลด้วยระดับที่ต่างกันด้วยเหตุนี้จึงมีหลายคำสำหรับอกุศลธรรมที่เกิดขึ้น

- (แต่ดูเหมือนว่ามีความต่างกันระหว่างผู้ที่ได้ฟังธรรมแล้วเข้าใจกับผู้ที่ไม่ได้ฟังธรรมไม่รู้เรื่องธรรม เครื่องกั้นในกรณีของผู้ที่ได้ฟังธรรมดูเหมือนจะมากกว่า) โอคะ กว้างแค่ไหน ลึกแค่ไหน เพิ่มขึ้นๆ เป็นการไม่สนใจ ไม่พิจารณาไตร่ตรองให้ดีในความจริง ถูกไหม

- (คิดว่าวิธีที่ดีที่สุดคือฟัง ไม่ใช่คิดใคร่ครวญแต่คำแต่ชื่อ เพราะเราหลงอยู่ในคำมากมาย พยายามที่จะหาคำแปลหาความหมายโดยที่ลืมไปว่า ความจริงคือความจริง ธรรมเป็นธรรมไม่ใช่ติดอยู่ที่คำ) และนั่นเป็นความใส่ใจดีใช่ไหม ใส่ใจโดยแยบคายในคำ ในความหมาย ในความจริง อะไรคือจุดประสงค์ในการฟัง พยายามที่จะหาคำ หาระดับต่างๆ ของคำนั้นๆ หรือว่าธรรมเกิดขึ้นต่างกันเป็นหลายระดับ ตั้งแต่ขณะที่ตื่นนอน เพิ่งตื่นไปจนถึงกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น อาบน้ำ ฯลฯ เป็นต้น อยู่แต่ในกามาสวะทางตา ทางหู ฯลฯ และเมื่อนิวรณ์ขวางกั้น เป็นรายการโปรดทางโทรทัศน์ เราจะฟังธรรมหรือจะไปดูทีวี

- (คุณสุคิน - ยกตัวอย่าง ผมเล่นเกมส์ ดูหนัง ฟังเพลง ทั้งวันแต่ก็สังเกตว่าสามารถที่จะมีความเข้าใจเกิดขึ้นได้บ้างในการพิจารณาธรรมที่มีในชีวิตประจำวัน) เพราะฉะนั้นขณะนั้นเป็นอกุศลเป็นกิเลสแต่ไม่ใช่นิวรณ์ที่จะทำความดีที่จะฟังธรรม เป็นธรรมดามากเป็นชีวิตประจำวันแต่ละขณะแต่ละระดับ แต่ขณะที่กุศลหยุดหรือไม่มีปัจจัยให้กุศลเกิดขณะนั้นถูกกลุ้มรุมห้อมล้อมไปด้วยกามฉันทะหรือพยาปาท

- ด้วยเหตุนี้เราจึงศึกษาสิ่งที่กางกั้นกุศล เมื่อโกรธมาก โกรธนาน สั้นหรือยาว เห็นไหม เมื่ออกุศลเกิดสั้นๆ เล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่สามารถที่จะเป็นเครื่องกั้นปัญญาหรือกุศลทุกประการให้เกิดขึ้นได้

- (คุณสุคิน - ตอนนี้เข้าใจความต่างแล้วเมื่ออกุศลเกิดสั้นๆ ปัญญาสามารถเกิดได้ง่ายกว่า แต่เมื่ออกุศลมีกำลังจึงสามารถที่จะเห็นความเป็นเครื่องกั้นในขณะที่นิวรณ์เกิดขึ้น)

- แต่ความจริงที่มีค่าที่สุดคือ ความเข้าใจสิ่งนั้นว่าไม่ใช่เราหรือไม่ใช่สิ่งใดทั้งสิ้น กำลังมีสภาพธรรมตรงนั้น มีระดับของอกุศลตรงนั้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องบอกว่าเป็นเครื่องกั้นหรือไม่เป็นเครื่องกั้น (คุณสุคิน - เราหลงทางหลายครั้งเมื่อเราได้ยินเรื่องนิวรณ์ เราก็พยายามไปรู้ขณะที่เป็นนิวรณ์แต่นั้นก็ทำให้เป็นตัวตนมีความเป็นเราเพิ่มขึ้น)

- ด้วยเหตุนี้เราจึงศึกษาเพื่อเข้าใจว่าอะไรเป็นนิวรณ์ มีนิวรณ์เท่าไหร่ (คุณสุคิน - ตอนนี้จำได้ว่า เคยได้ยินว่า ความเห็นผิดเป็นนิวรณ์ด้วยใช่ไหม) ต้องรู้ขณะที่กำลังมี แต่ศึกษาเพื่อเข้าใจว่าอะไรสามารถเป็นเครื่องกั้นได้ เพราะฉะนั้นศึกษาเพื่อเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะเข้าในธรรมที่ระดับต่่งกันโดยชื่อที่ต่างกันที่กำลังมีว่าเล็กน้อยหรือมีกำลังมาก ไม่ใช่เพียงขณะเดียวแต่หลายขณะในแต่ละวันหลายๆ วันที่กั้นกุศล มิฉะนั้นจะไม่มีการวางแผนที่จะทำความผิด หรือวางแผนที่จะพูดสิ่งที่ผิด

- (คุณตรัสวิน - เมื่อมีขณะที่มีความสุข ความสุขสามารถที่จะกลายเป็นนิวรณ์ได้ด้วยเมื่อความสุขลดลงทันที) และเมื่ออารมณ์เป็นกาม กามาสวะ หรือกามฉันทะนิวรณ์ เพราะว่าติดข้องอย่างยิ่งในกามไม่ว่าจะเป็นสีที่กระทบตาหรืออะไรก็ตาม ขณะนั้นไม่มีความคิดว่าจะอ่านพระไตรปิฎกอรรถกถา หรือคิดพิจารณาไตร่ตรองความจริงในขณะนั้น (คุณตรัสวิน - ขณะที่มีความสุขเป็นนิวรณ์เพราะ…) เพราะขณะนนั้นเป็นโลภะ ขณะนั้นเป็นโทสะ ขณะที่สงสัย ขณะที่ฟุ้งซ่านไปในอารมณ์

- (คุณตรัสวิน - และขณะที่มีความกังวลเมื่อท่านอาจารย์มอบหมายให้ทำสิ่งใด ก็มีความกังวลและต้องการที่จะทำให้สำเร็จอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ กลายเป็นอกุศลโดยไม่รู้ตัวแต่ก็มีความปรารถนาที่จะเจริญกุศลด้วย) อะไรนานมากกว่ากัน กุศลหรืออกุศล (อกุศลนานกว่า) ก็เป็นนิวรณ์


ความคิดเห็น 6    โดย prinwut  วันที่ 9 ก.พ. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลของผู้ร่วมสนทนาและผู้ฟังทุกท่าน

กราบขอบพระคุณ กราบอนุโมทนาอ.คำปั่นในความอนุเคราะห์ทุกประการครับ


ความคิดเห็น 7    โดย khampan.a  วันที่ 22 ก.พ. 2568

มีใครไม่ตายไหม เป็นไปไม่ได้ จะตายกี่โมงไม่มีใครรู้ จะตายเดี๋ยวนี้ก็ได้


กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านที่ร่วมสนทนา

ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะ (บารมีทุกประการ) ของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ อย่างยิ่งที่แปลและถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ครับ