เรื่องการถวายทานและพระวินัย
โดย JYS  3 เม.ย. 2568
หัวข้อหมายเลข 49672

ผมขออนุญาตรบกวนถามเกี่ยวกับการถวายทานและพระวินัยหน่อยนะครับ คือว่า ผมกำลังจะถวายข้าวยาคูประจำแก่สงฆ์และถวายสังฆทาน ผมเพิ่งจะเคยทำบุญแบบนี้ครั้งแรก จึงไม่ค่อยมีความรู้ในทางพระวินัย

๑. ผมเตรียมกระโถนบ้วนปาก ผ้านิสีทนะและอาสนะไปเอง คือ ผมจะใช้ของผมไม่ได้ใช้ของวัด เมื่อสงฆ์ใช้สอยเสร็จผมก็จะเอากลับ วันสุดท้ายในการถวายทานผมจึงจะถวายกระโถน ผ้านิสีทนะและอาสนะให้แก่สงฆ์ ผมอยากทราบว่าเมื่อผมจะถวายทานนั้น คือ ผมก็ตระเตรียมปูลาดผ้านิสีทนะ อาสนะ วางกระโถนให้สงฆ์ใช้สอยเลยแล้วเมื่อสงฆ์ใช้สอยเสร็จจึงเอากลับเลย หรือว่า ผมต้องกล่าวคำถวายให้สงฆ์ได้ใช้สอยก่อน หรือผมควรกล่าวอย่างไรเหรอครับ …?

๒. เวลาปูลาดอาสนะ ผ้านิสีทนะจะอยู่ด้านบนของอาสนะใช่ไหมครับ …? เพื่อกันไม่ให้เนื้อส่วนที่มีขนของพระภิกษุสามเณรไปโดน เพราะถ้าโดน พระภิกษุสามเณรจะต้องอาบัติทุกกฏตามจำนวนเส้นขนใช่ไหมครับ …?

๓. ผมหาข้อมูลวิธีทำยาคูหรือข้าวยาคูในพระไตรปิฎกและอรรถกถาก็ไม่พบที่อธิบายการทำ เจอแต่แบบ “… น้ำนมข้าวยาคู …” แบบที่คนไทยทำ ที่ผมเข้าใจคือข้าวยาคู คือ ข้าวอ่อน ข้าวระยะน้ำนม ข้าวต้ม ข้าวที่ละเอียดมาก ที่ผมจะทำคือใช้ข้าวระยะน้ำนมทำเป็นเหมือนโจ๊ก คือ ให้ข้าวละเอียดที่สุด ปรุงด้วยเกลือและน้ำผึ้งเล็กน้อย อย่างนี้ก็น่าจะถวายได้ใช่ไหมครับ …?

๔. ข้าวยาคู พระภิกษุสามเณรฉันได้ในเวลาที่เป็นกาล ส่วนที่เป็นเวลาวิกาล พระภิกษุสามเณรจะฉันได้ก็ต่อเมื่ออาพาธเท่านั้นใช่ไหมครับ …?

๕. ในวันสุดท้ายของการถวายทาน มีหนึ่งสิ่งที่ผมจะถวายเป็นสังฆทาน คือ บาตร ผมอ่านพระวินัยเกี่ยวกับบาตรแล้วไม่เข้าใจ คือ ถ้าผมถวายบาตรให้แก่สงฆ์ บาตรนั้นก็จะเป็น “… อติเรกบาตร …” พุทธบัญญัติ คือ พระภิกษุสามเณรใช้บาตรได้แค่ใบเดียวเท่านั้น ถ้าพระภิกษุสามเณรได้อติเรกบตรมา พระภิกษุสามเณรเก็บอติเรกบาตรได้เพียง ๑๐ วันเท่านั้น ถ้าล่วงไปกว่านั้นพระภิกษุสามเณรก็จะต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ แล้วหลังจากนั้นอติเรกบาตรนั้นจะเป็นอย่างไรต่อเหรอครับ …?

ถ้าใครมีอะไรเพิ่มเติมก็บอกผมเลยนะครับ ผมอยากทำให้ถูกต้องตามพระวินัย

กราบขอบพระคุณมากครับ 🙏🙏🙏🙇🙇🙇



ความคิดเห็น 1    โดย khampan.a  วันที่ 3 เม.ย. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแสดงความคิดเห็น ดังนี้

๑. ผมเตรียมกระโถนบ้วนปาก ผ้านิสีทนะและอาสนะไปเอง คือ ผมจะใช้ของผมไม่ได้ใช้ของวัด เมื่อสงฆ์ใช้สอยเสร็จผมก็จะเอากลับ วันสุดท้ายในการถวายทานผมจึงจะถวายกระโถน ผ้านิสีทนะและอาสนะให้แก่สงฆ์ ผมอยากทราบว่าเมื่อผมจะถวายทานนั้น คือ ผมก็ตระเตรียมปูลาดผ้านิสีทนะ อาสนะ วางกระโถนให้สงฆ์ใช้สอยเลยแล้วเมื่อสงฆ์ใช้สอยเสร็จจึงเอากลับเลย หรือว่า ผมต้องกล่าวคำถวายให้สงฆ์ได้ใช้สอยก่อน หรือผมควรกล่าวอย่างไรเหรอครับ …?
ไม่ต้องมีการกล่าวคำถวายใดๆ เลย เพียงแต่เรากราบนิมนต์ เพื่อให้ท่านได้ใช้สอยสิ่งเหล่านี้ เป็นการบอกกล่าวให้ท่านได้รับรู้ ครับ


๒. เวลาปูลาดอาสนะ ผ้านิสีทนะจะอยู่ด้านบนของอาสนะใช่ไหมครับ …? เพื่อกันไม่ให้เนื้อส่วนที่มีขนของพระภิกษุสามเณรไปโดน เพราะถ้าโดน พระภิกษุสามเณรจะต้องอาบัติทุกกฏตามจำนวนเส้นขนใช่ไหมครับ …?
ปูลาดอาสนะ แล้ววางผ้านิสีทนะ (ผ้าปูนั่ง) ไว้ด้านบน ระยะห่างในแต่ละรูป ก็พอควร ไม่ให้ชิดกันมากนัก แต่ไม่ได้เกี่ยวกับการที่ขนของภิกษุจะไปโดนกัน เพราะแม้จะโดนกัน ก็ไม่มีอาบัติ เพราะจะเป็นอาบัติก็ต่อเมื่อท่านมีจิตกำหนัดเท่านั้น ครับ


๓. ผมหาข้อมูลวิธีทำยาคูหรือข้าวยาคูในพระไตรปิฎกและอรรถกถาก็ไม่พบที่อธิบายการทำ เจอแต่แบบ “… น้ำนมข้าวยาคู …” แบบที่คนไทยทำ ที่ผมเข้าใจคือข้าวยาคู คือ ข้าวอ่อน ข้าวระยะน้ำนม ข้าวต้ม ข้าวที่ละเอียดมาก ที่ผมจะทำคือใช้ข้าวระยะน้ำนมทำเป็นเหมือนโจ๊ก คือ ให้ข้าวละเอียดที่สุด ปรุงด้วยเกลือและน้ำผึ้งเล็กน้อย อย่างนี้ก็น่าจะถวายได้ใช่ไหมครับ …?
ในคำแปลของยาคู ภาษาบาลีคือ ยาคุ แปลว่า ข้าวต้ม จากประเด็นคำถาม ก็สามารถถวายได้เลย ในเวลาตั้งแต่เช้าถึงเที่ยง จะถวายเลยเที่ยงไม่ได้ ครับ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอานิสงส์ของข้าวยาคูได้ ในยาคุสูตร พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้าที่ ๔๕๖ ดังนี้
"ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ของข้าวยาคู ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน? คือ บรรเทาความหิว ๑ ระงับความระหาย ๑ ยังลมให้เดินคล่อง ๑ ชำระลำไส้ ๑ เผาอาหารเก่าที่ยังไม่ย่อย ๑ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ของข้าวยาคู ๕ ประการนี้แล"


๔. ข้าวยาคู พระภิกษุสามเณรฉันได้ในเวลาที่เป็นกาล ส่วนที่เป็นเวลาวิกาล พระภิกษุสามเณรจะฉันได้ก็ต่อเมื่ออาพาธเท่านั้นใช่ไหมครับ …?
ภิกษุสามเณรไม่สามารถฉัน (ดื่ม) ข้าวยาคู หลังเวลาเที่ยงได้เลย แม้ว่าจะอาพาธก็ตาม ถ้าภิกษุดื่มข้าวยาคูในเวลาหลังเที่ยง เป็นอาบัติปาจิตตีย์ ส่วนสามเณร ก็ผิดศีลข้อที่ ๖ (สิกขาบทของสามเณร) ครับ


๕. ในวันสุดท้ายของการถวายทาน มีหนึ่งสิ่งที่ผมจะถวายเป็นสังฆทาน คือ บาตร ผมอ่านพระวินัยเกี่ยวกับบาตรแล้วไม่เข้าใจ คือ ถ้าผมถวายบาตรให้แก่สงฆ์ บาตรนั้นก็จะเป็น “… อติเรกบาตร …” พุทธบัญญัติ คือ พระภิกษุสามเณรใช้บาตรได้แค่ใบเดียวเท่านั้น ถ้าพระภิกษุสามเณรได้อติเรกบตรมา พระภิกษุสามเณรเก็บอติเรกบาตรได้เพียง ๑๐ วันเท่านั้น ถ้าล่วงไปกว่านั้นพระภิกษุสามเณรก็จะต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ แล้วหลังจากนั้น อติเรกบาตรนั้นจะเป็นอย่างไรต่อหรือครับ …?
ในประเด็นถวายบาตร

ถ้าหากว่าพระภิกษุท่านมีบาตรอยู่แล้ว บาตรที่ท่านรับมา ก็จะเป็นอดิเรกบาตร ท่านจะเก็บไว้ได้ไม่เกิน ๑๐ วัน (ถ้าจะเก็บไว้เกินกว่านั้น ต้องทำวิกัปป์ คือ ทำให้เป็นของสองเจ้าของ ถ้าจะใช้ก็ต้องถอนวิกัปป์ แล้วมาอธิษฐานใช้บาตรใบที่ได้มานี้ได้) ถ้าเลย ๑๐ วัน ก็เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ต้องสละบาตรนั้นต่อบุคคล (ภิกษุ ๑ รูป) ต่อคณะ (ภิกษุ ๒ - ๓ รูป) หรือ ต่อสงฆ์ (ภิกษุตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป) แล้วแสดงอาบัติ แล้วบุคคล คณะ หรือ สงฆ์ จะคืนบาตรนั้นให้แก่ท่าน ซึ่งบาตรที่ได้รับคืนมานั้น ก็ยังเป็นอดิเรกบาตร ก็จะเก็บไว้ได้ไม่เกิน ๑๐ วันเช่นกัน ถ้ายังไม่เลย ๑๐ วัน หากประสงค์จะใช้ ก็จะต้องถอนบาตรใบเก่า แล้วอธิษฐานใช้บาตรใบนี้ได้ อย่างนี้ไม่เป็นอาบัติ
ในกรณีที่ท่านรับบาตรมาแล้ว ถ้าหากว่าประสงค์จะใช้บาตรใบใหม่เลย ก็จะต้องถอนบาตรใบเก่า แล้วอธิษฐานใช้บาตรใบใหม่ได้ ครับ ส่วนสามเณร แม้จะไม่ได้มีพระบัญญัติ ก็จะต้องคล้อยตามความประพฤติของพระภิกษุ คือ ไม่เป็นผู้โลภมาก ไม่เป็นผู้สะสมบาตร ครับ
... ยินดีในกุศลของคุณ JYS และทุกๆ ท่านด้วยครับ ...


ความคิดเห็น 2    โดย JYS  วันที่ 3 เม.ย. 2568

กราบขอบพระคุณอาจารย์คำปั่นมากๆ ครับ


ความคิดเห็น 3    โดย chatchai.k  วันที่ 3 เม.ย. 2568

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 4    โดย wannee.s  วันที่ 18 เม.ย. 2568

ในพระไตรปิกฏแสดงไว้ว่า พระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ถ้าประพฤติปฏิบัติตาม ศีล 227 ข้อ แม้เป็นพระภิกษุปุถุชน เดินตามหลังพระอรหันต์ แยกไม่ออกเลยว่าใครเป็นพระอรหันต์