สุภากัมมารธิดาเถรีคาถา .. คาถาของพระสุภากัมมารธิดาเถรี
โดย บ้านธัมมะ  28 มิ.ย. 2553
หัวข้อหมายเลข 16610

••• ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย •••

... สนทนาธรรมที่ ...

มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

วันเสาร์ ที่ ๓ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ คือ ...

สุภากัมมารธิดาเถรีคาถา (ว่าด้วยคาถาของพระสุภากัมมารธิดาเถรี)

จาก

[เล่มที่ 54] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้าที่ ๔๑๕ -๔๓๒

... นำสนทนาโดย ...

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะวิทยากร

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้าที่ ๔๑๕ -๔๓๒

๕. สุภากัมมารธิดาเถรีคาถา

(ว่าด้วยคาถาของพระสุภากัมมารธิดาเถรี)

[๔๗๑] พระสุภากัมมารธิดาเถรี ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า

เพราะเหตุที่แต่ก่อน ข้าพเจ้ายังสาว นุ่งห่มผ้าอันสะอาด ได้ฟังธรรม ข้าพเจ้านั้นไม่ประมาท ก็ได้ตรัสรู้สัจธรรม ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ยินดีอย่างยิ่งในกามทั้งปวง เห็นภัยในสักกายะ [ปัญจขันธ์] กระหยิ่มเฉพาะ เนกขัมมะ [การบวช] เท่านั้น.ข้าพเจ้าละหมู่ญาติ ทาสและกรรมกร บ้านและไร่นา ความมั่งคั่ง และรมณียะสิ่งที่น่ารื่นรมย์ ที่เขาบันเทิงกันนักหนา.

ข้าพเจ้าละสมบัติไม่ใช่น้อย ออกบวชด้วยศรัทธาอย่างนี้ในพระสัทธรรม ที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศดีแล้ว.

ข้อที่ละทิ้งเงินทองเสียแล้ว กลับมายึดเงินทองนั้นอีก ไม่สมควรแก่ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าปรารถนาแต่ความไม่กังวลห่วงใย ผู้ใดละทิ้งเงินทองแล้วกลับมายึดเงินทองนั้นไว้อีก ผู้นั้นจะโงหัวขึ้นมาได้อย่างไร ในระหว่างบัณฑิตทั้งหลายเงินและทองไม่มีเพื่อสันติความสงบสำหรับผู้นั้น เงินทองนั้นก็ไม่สมควรแก่สมณะ เงินทองนั้น ก็มิใช่อริยทรัพย์.

อนึ่ง เงินทองนี้ ทำให้เกิดความโลภ ความมัวเมา ความลุ่มหลง ความติดดังเครื่องผูก มีภัย มีความคับแค้นมาก เงินทองนั้นไม่ตั้งอยู่ยั่งยืนเลย.นรชนเป็นอันมาก ประมาทมีใจเศร้าหมองแล้วเพราะเงินทองเท่านี้ จึงต้องเป็นศัตรู วิวาทบาดหมางกันและกัน.

การถูกฆ่า การถูกจองจำ การต้องโทษมีตัดมือเป็นต้น ความเสื่อมเสีย ความเศร้าโศกพิไรรำพันความพินาศเป็นอันมากของนรชนที่ตกอยู่ในกามทั้งหลาย ก็มองเห็นกันอยู่.

ท่านทั้งหลายเป็นญาติก็เหมือนศัตรู เพราะเหตุไรท่านทั้งหลายจึงชักจูงประกอบเรานั้นไว้ในกามทั้งหลาย จงรู้กันเถิดว่าเราเห็นภัยในกามทั้งหลายจึงบวช. อาสวะทั้งหลายไม่ใช่หมดสิ้นไปเพราะเงินทองดอกนะ กามทั้งหลายเป็นอมิตร เป็นผู้ฆ่า เป็นศัตรูเป็นดั่งลูกศรเสียบไว้.

ท่านทั้งหลายเป็นญาติ ก็เหมือนศัตรู เพราะเหตุไรจึงชักจูงประกอบเรานั้นไว้ในกามทั้งหลาย จงรู้เถิดว่าเราบวชศีรษะโล้นครองผ้าสังฆาฏิแล้ว.ก้อนข้าวที่ต้องไปยืนที่เรือนทุกๆ หลังได้มา การเที่ยวขอเขา ผ้าบังสุกุลจีวร และบริขารที่อาศัยของนักบวชผู้ไม่มีเรือน นี่แลเป็นของเหมาะสำหรับเรา.

กามทั้งหลาย ทั้งที่เป็นของทิพย์และมนุษย์เหล่าท่านผู้แสวงคุณอันยิ่งใหญ่คายเสียแล้ว ท่านน้อมไปในสถานที่อันเกษม บรรลุสุขอันไม่หวั่นไหวแล้ว.ข้าพเจ้าไม่ร่วมด้วยกามทั้งหลาย ซึ่งช่วยอะไรไม่ได้ กามทั้งหลายเป็นอมิตร เป็นผู้ฆ่า นำทุกข์มา เทียบเสมอด้วยกองไฟ.

สภาวะนั่นไม่บริสุทธิ์ มีภัย มีความคับแค้นเป็นเสี้ยนหนาม และสภาวะนั้น เป็นความหมกมุ่นเป็นความไม่สม่ำเสมออย่างใหญ่ เป็นเหตุลุ่มหลงเป็นอุปสรรคที่น่าสะพรึงกลัว กามทั้งหลายเปรียบด้วยหัวงูพิษ ที่เหล่าปุถุชนคนทั้งบอดทั้งเขลา เพลิดเพลินกันนักหนา.

ความจริง ชนเป็นอันมากในโลก ติดอยู่ในเครื่องข้องคือกาม ไม่รู้ความจริงกันเลย ไม่รู้จักที่สิ้นสุดแห่งชาติและชรา มนุษย์เป็นอันมาก เดินทางที่ไปทุคติ มีกามเป็นเหตุ นำมาแต่โรคสำหรับตน. กามทั้งหลาย ทำให้เกิดอมิตรอย่างนี้เป็นเครื่องแผดเผา เป็นเครื่องเศร้าหมอง เป็นเหยื่อของโลก ผูกสัตว์ไว้ มีมรณะเป็นเครื่องพันธนาการ. กามทั้งหลาย ทำให้คนบ้า ทำให้เพ้อ ทำให้จิตประมาทพลั้งเผลอ เพราะทำสัตว์ให้เศร้าหมอง พึงเห็นเหมือนลอบที่มารรีบดักไว้.

กามทั้งหลายมีโทษไม่สิ้นสุด มีทุกข์มาก มีพิษมาก อร่อยน้อย ทำเป็นสนามรบ มีแต่ทำกุศลกรรมให้เหือดแห้งลง.

ข้าพระองค์นั้นละความย่อยยับซึ่งมีกามเป็นเหตุเช่นนั้นแล้ว ยินดียิ่งนักในพระนิพพานทุกเมื่อจึงจักไม่กลับมาหาความย่อยยับนั้นอีก.ข้าพเจ้าละสนามรบของกามทั้งหลายแล้ว จำนงหวังแต่ความเยือกเย็น ยินดีในธรรมอันเป็นที่สิ้นสังโยชน์ ไม่ประมาทอยู่.

ข้าพเจ้าเดินตามทางอริยมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเป็นทางตรงไม่เศร้าโศก ไม่มีกิเลสดุจธุลี เป็นทางเกษมซึ่งเหล่าท่านผู้แสวงคุณอันยิ่งใหญ่พากันข้ามมาแล้ว.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงดูธิดาช่างทองผู้สวยงามซึ่งตั้งอยู่ในธรรมผู้นี้เถิด นางเข้าถึงธรรมที่ไม่หวั่นไหว เข้าฌานอยู่ที่โคนไม้.วันนี้เป็นวันที่ ๘ นางมีศรัทธาบวชแล้ว เป็นผู้งามในพระสัทธรรม อันพระอุบลวรรณาช่วยแนะนำแล้ว ทรงวิชชา ๓ ละมฤตยูเสียแล้ว.

ภิกษุณีรูปนั้นเป็นไทแก่ตัว ไม่เป็นหนี้ อบรมอินทรีย์แล้ว สลัดโยคะได้หมดแล้ว ทำกิจเสร็จแล้วไม่มีอาสวะ.

ท้าวสักกะเจ้าแห่งหมู่สัตว์ พร้อมหมู่เทพ เสด็จเข้าไปหาพระสุภากัมมารธิดาเถรีรูปนั้น ด้วยเทวฤทธิ์แล้ว ทรงนมัสการอยู่.

จบ สุภากัมมารธิดาเถรีคาถา



ความคิดเห็น 1    โดย prakaimuk.k  วันที่ 28 มิ.ย. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย khampan.a  วันที่ 28 มิ.ย. 2553

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความโดยสรุป สุภากัมมารธิดาเถรีคาถา

พระสุภากัมมารธิดาเถรี ได้บำเพ็ญบารมีมาตั้งแต่ในสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ สะสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม มาตามลำดับ พอมาถึงสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ (พระสมณโคดม) ท่านเกิดเป็นธิดาของช่างทองในกรุงราชคฤห์ เนื่องจากว่าท่านเป็นผู้ที่มีความสวยงามแห่งรูปสมบัติ จึงได้นามว่า“สุภา” (ผู้มีความงาม) [ส่วนคำว่า กัมมารธิดา หมายถึงธิดาของช่างทอง] เมื่อท่านเจริญเติบโตแล้ว เกิดความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปกรุงราชคฤห์ ท่านจึงได้เข้าไปเฝ้าพระองค์ พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่าท่านเป็นผู้มีอินทรีย์แก่กล้า จึงทรงแสดงธรรม คือ อริยสัจจธรรมที่พอเหมาะแก่อัธยาศัย จากการฟังพระธรรมในครั้งนี้ทำให้ท่านได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ต่อมาท่านเห็นโทษของการอยู่ครองเรือนและโทษของกาม จึงออกบวชในสำนักของพระมหาปชาบดีโคตมีเถรี

ดำรงมั่นในศีลของภิกษุณี อบรมเจริญปัญญาเพื่อมรรคเบื้องสูงขึ้นไป เมื่อพวกญาติมาหาท่านพร้อมกับแสดงทรัพย์สมบัติเป็นจำนวนมาก เพื่อเชื้อเชิญให้ท่านกลับมาบริ-โภคกาม ท่านจึงได้แสดงโทษของกามประการต่างๆ มากมาย (ตามที่ปรากฏในคาถา) โดยที่ไม่รับคำเชื้อเชิญของพวกญาติเลย ท่านอบรมเจริญวิปัสสนา ไม่นาน (คือบวชได้ ๘ วัน) ท่านก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ และเมื่อท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว จึงได้กล่าวคาถา ตามที่ปรากฏในพระสูตรนั่นแล.

หมายเหตุ - คาถาสุดท้าย แสดงถึงว่า ท้าวสักกะ พร้อมด้วยเทวดาทั้งหลาย ลงมากราบนมัสการพระเถรี เพราะได้ทราบว่าพระพุทธเจ้าทรงยกย่องท่าน - ๓ พระคาถาในตอนท้าย ก่อนถึงท้าวสักกะ เป็นพระคาถาที่ตรัสโดยพระพุทธเจ้า.

- คำว่า สุภากัมมารธิดา อ่านว่า สุ - พา - กำ - มา - ระ - ทิ - ดา ครับ

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้นได้ที่นี่ครับ

โทษของกาม [อรรถกถาสุภากัมมารธิดาเถรีคาถา]

ร่ายรำในความมืด

ฯลฯ

... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...


ความคิดเห็น 3    โดย พุทธรักษา  วันที่ 28 มิ.ย. 2553

ภิกษุณีรูปนั้น

เป็นไทแก่ตัว ไม่เป็นหนี้

อบรมอินทรีย์แล้ว สลัดโยคะได้หมดแล้ว

ทำกิจเสร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ.

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 4    โดย paew_int  วันที่ 29 มิ.ย. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย ที่พึ่งที่ระลึก  วันที่ 29 มิ.ย. 2553

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 6    โดย ชีวิตคือขณะจิต  วันที่ 29 มิ.ย. 2553
สาธุ

ความคิดเห็น 7    โดย Jans  วันที่ 30 มิ.ย. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย patcharin  วันที่ 2 ก.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย เมตตา  วันที่ 3 ก.ค. 2553

ขอบคุณและขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย ผิน  วันที่ 3 ก.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย คุณ  วันที่ 4 ก.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 12    โดย Nareopak  วันที่ 4 ก.ค. 2553

ถ้าในปัจจุบันมีสำนักแบบสำนักของพระมหาปชาบดีโคตมีเถรีในสมัยพุทธกาล ก็คงตัดสินใจบวชเหมือนกัน แต่ตอนนี้ต้องสะสมการฟังธรรมจาก ท่านอาจารย์สุจินต์ ก่อนเพราะท่านยังมีเมตตา (อันหาประมาณไม่ได้) ในการบรรยายธรรมให้ผู้ที่ได้สะสมมาในการฟังธรรม เกิดความเข้าใจในธรรมยิ่งๆ ขึ้น

ขอกราบอนุโมทนาในกุศลจิตของท่านอาจารย์สุจินต์และวิทยากรทุกๆ ท่าน