ปัญหา...เรื่องพระรับเงิน-ทอง
โดย lovedhamma  14 เม.ย. 2561
หัวข้อหมายเลข 29648

พอดีผมได้มีโอกาสเปิดดูคลิปๆ หนึ่งในยูทูป มีพระท่านหนึ่งได้ออกมาประกาศว่าการที่ทางมูลนิธิว่ากล่าวโจมตีพระที่รับเงินทองว่าเป็นพระทุศีล มหาโจร หรือยกให้เป็นเปรต ท่านบอกว่า พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสบอกเลยว่า พระภิกษุรับปัจจัยเงินทองจะเป็นพระทุศีล...ไม่ใช่พระภิกษุ เป็นมหาโจร-เปรต ตรัสแค่เพียงว่า ปัจจัยเงินทองเป็นธรรมที่ไม่ควรแก่สมณะ เชื้อสายศากยบุตร คือเป็นแค่สิ่งที่ไม่ควรแก่สมณะ ไม่ได้ปรับโทษให้หนักถึงกับเป็นมหาโจร เปรต (...) เลย ท่านได้บอกอีกว่าทางมูลนิธิไม่เข้าใจอย่างแท้จริง แล้วก็ไปปรับโทษแก่ภิกษุ สามเณร หนักจนเกินไป เป็นการที่ทางมูลนิธิกล่าวเองโดยไม่เข้าใจพระวินัยบัญญัตินี้อย่างแท้จริง จากที่พระรูปนี้ได้กล่าวมาทางมูลนิธิจะให้ความเห็นยังไงครับ คือ เชื่อว่าบางท่านอาจจะได้เห็นคลิปที่พระรูปนี้ท่านได้โพสท์บอกแล้วก็ได้



ความคิดเห็น 1    โดย khampan.a  วันที่ 15 เม.ย. 2561

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ (อปายสูตร) หน้า ๓๒๗

“คนเป็นอันมาก อันผ้ากาสาวะพันคอ มีธรรมอันลามก ไม่สำรวม คนลามกเหล่านั้น ย่อมเข่าถึงนรก เพราะกรรมอันลามกทั้งหลาย, ก้อนเหล็กร้อน เปรียบด้วยเปลวไฟ อันผู้ทุศีลบริโภคแล้ว ยังประเสริฐกว่า, ผู้ทุศีล ไม่สำรวม บริโภคก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น จะประเสริฐอะไร”


มหาโจร

คือ หลอกลวง ไม่จริงใจ ไม่ได้บวชเพื่อขัดเกลากิเลส วัตถุสิ่งของต่างๆ ชาวบ้านถวายแก่ภิกษุผู้มีศีล แต่ถ้าภิกษุผู้รับ ไม่มีศีล ไม่ได้น้อมประพฤติตามพระธรรมวินัย ก็เท่ากับไปขโมยของของผู้มีศีลมาเป็นของตน ย่อมเป็นมหาโจรในคราบของภิกษุ

ทุศีล

คือ ล่วงละเมิดลิกขาบทเป็นนิตย์ ไม่เห็นโทษโดยความเป็นโทษ สูงสุดของความทุศีล คือ ขาดจากความเป็นภิกษุ ต้องอาบัติปาราชิก แต่แม้ไม่ถึงขั้นปาราชิก ถ้าหากล่วงละเมิดพระวินัยบัญญัติต่างๆ ไม่เห็นโทษ ขาดการสำรวมระวัง ก็เป็นภิกษุทุศีล เช่น ภิกษุที่รับเงิน ไม่เห็นโทษ ก็คือ ภิกษุทุศีล

ภิกษุเปรต

คือ พระภิกษุที่ล่วงละเมิดพระวินัยแล้วไม่เห็นโทษไม่แก้ไข หากมรณภาพลงในขณะนั้น ชาติต่อไป ก็คือ เกิดในอบายภูมิเท่านั้น เกิดเป็นเปรต ก็ได้

จะเห็นได้ว่าพระธรรมวินัย ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อการกำจัดกิเลสที่แต่ละบุคคลได้สะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ แต่ถ้าไม่ได้ศึกษา ไม่ได้เข้าใจถูกต้องตรงตามพระธรรมวินัยแล้วโอกาสที่จะกระทำผิด ก็ย่อมจะมีได้ หรือในอีกกรณีหนึ่ง คือ ทั้งๆ ที่รู้ว่า เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ตรงตามพระธรรมวินัย แต่ก็มีเจตนาที่จะล่วงละเมิดสิกขาบทนั้นๆ เพราะกำลังของกิเลส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ความไม่ละอาย ความไม่เกรงกลัวต่ออกุศล นั่นเอง สำหรับเงินและทองนั้น เป็นสิ่งที่ไม่สมควรแก่เพศพระภิกษุ โดยประการทั้งปวง เป็นเครื่องเศร้าหมองของบรรพชิตจริงๆ ทำให้เกิดความติดข้อง เป็นห่วงกังวล และไม่ต่างอะไรกับคฤหัสถ์ เพราะพระภิกษุ รับเงินและทองไม่ได้ เป็นอาบัติ ไม่มีข้ออ้างหรือข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น ชีวิตพระภิกษุ เป็นชีวิตที่ขัดเกลาเป็นอย่างยิ่ง เงินทองไม่จำเป็นสำหรับพระภิกษุ พระภิกษุผู้ที่ไม่ละอาย ไม่เคารพยำเกรงในพระธรรมวินัย ก็มีการล่วงสิกขาบทต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ การรับเงินรับทอง

พระภิกษุจะเกี่ยวข้องกับเงินทองไม่ได้เลยโดยประการทั้งปวง พระภิกษุ รับเงินเพื่อตนเอง ก็อาบัติ รับเงินเพื่อผู้อื่นก็อาบัติ รับเงิน เพื่อทำสิ่งอื่น ก็อาบัติ, พระภิกษุในพระธรรมวินัยจะต้องประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย เท่านั้น จะประพฤตินอกพระธรรมวินัย ไม่ได้ ไม่ว่าจะบวชนานแล้วหรือพึ่งบวช ก็จะประพฤตินอกพระธรรมวินัยไม่ได้ ถ้าอยากมีเงินมีทอง อยากใช้เงินทอง ก็ต้องเป็นคฤหัสถ์ ไม่ใช่ภิกษุ การล่วงพระวินัยบัญญัติ มีโทษ จะเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่ได้ เพราะเหตุว่า มีโทษ และถ้ามรณภาพลงในขณะที่มีอาบัติอยู่ จะไปไหน? คำตอบตามพระธรรมวินัย คือ ไปอบายภูมิ ครับ

... อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...


ความคิดเห็น 2    โดย แต้ม  วันที่ 16 เม.ย. 2561

ตามภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า เลี่ยงบาลี ผมเคยถามนักเรียนที่ผมสอนว่า พระจำเป็นต้องใช้เงินหรือไม่ นักเรียนร้อยละ 90 ตอบว่าไม่จำเป็น เด็กๆ ยังรู้เลยว่าไม่ควรมีหรือรับเงิน แต่ผู้ใหญ่สอนให้เด็กเห็นว่าต้องถวายเงินพระ จึงเป็นเรื่องที่แก้ได้ยากหรือแก้ไม่ได้อีกต่อไป


ความคิดเห็น 3    โดย thilda  วันที่ 17 เม.ย. 2561

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ