ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๓๐
โดย khampan.a  17 ส.ค. 2568
หัวข้อหมายเลข 50700

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๓๐




~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงว่า ทั้งหมดที่มี ไม่ใช่เรา แล้วเมื่อไหร่จะรู้อย่างนั้นโดยละเอียดอย่างยิ่งในขณะนี้ตามปกติ เพราะว่าทรงแสดงหนทางที่จะทำให้ละความไม่รู้แล้วก็สามารถที่จะเข้าใจความจริงจนสามารถที่จะดับความเห็นผิดที่เคยยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่เกิดอีกเลยในสังสารวัฏฏ์
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่จะให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง มีหรือที่กุศลทั้งหลายจะเจริญขึ้น
~ พระธรรม น่าฟัง น่าศึกษา น่าเข้าใจมาก ถึงแม้จะเป็นเรื่องยาก แต่ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ จึงต้องเป็นผู้กล้าที่จะเข้าใจความจริง
~ รู้ประโยชน์ว่าฟังอะไรแล้วจะมีประโยชน์ในชีวิต ซึ่งใครก็ให้ไม่ได้เลยนอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ถ้าเรานอน เราจะไม่ได้เข้าใจอะไรเลย แต่ถ้าเราไม่นอนและฟัง ไม่ว่าขณะไหนเป็นประโยชน์เกินกว่าการนอนและการคิดเรื่องอื่นทั้งหมด นี่เป็นอารักขโคจร (รักษาไม่ให้เป็นอกุศล) ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ จะทำให้คิดถึงธรรมไม่ไปคิดถึงเรื่องอกุศล
~ การฟังธรรม เป็นมงคลสิ่งที่ประเสริฐในสังสารวัฏฏ์ เพราะว่าฟังแล้วเป็นอย่างไร เข้าใจสิ่งที่กำลังมีทีละเล็กทีละน้อยว่าไม่เหลือสักขณะเดียว ทุกขณะไม่ว่าเกิดเป็นอะไรทั้งหมดเพียงแค่เกิดแล้วดับเป็นขณิกมรณะ ตายทุกขณะ เสียใจไหม ร้องไห้ไหม หมดแล้ว ตายแล้วไม่กลับมาอีกแล้ว เป็นของธรรมดา แต่เบิกบานที่ในสังสารวัฏฏ์ที่มืดสนิทไม่เคยรู้ความจริงมาก่อนเลย แล้วก็ได้รู้ความจริงซึ่งใครก็เปลี่ยนไม่ได้ ต้องเป็นอย่างนี้แน่นอน
~ ต้องสะสมความมั่นคง ถึงจะไม่ห่างเหินจากการที่มีโอกาสจะได้ฟังอีก แม้จากโลกนี้ไปแล้ว สิ่งที่สะสมมาก็เป็นปัจจัยให้ได้ฟังอีก ชาติก่อนมีแน่สำหรับทุกคน เป็นใคร ผู้ที่เพิ่งจากไปเกิดแล้ว ก่อนจะเกิด เป็นใครก็ไม่รู้ เกิดแล้วก็จำไม่ได้ คนอื่นก็นั่งร้องไห้บ้าง เศร้าโศกบ้าง พรรณนาบ้าง แต่คนนั้นไม่รู้ เพราะเราจากโลกนั้นมา เราก็เห็นแล้ว ญาติพี่น้องในอดีตจะร้องไห้เพื่อนฝูงจะคิดอย่างไรทำอะไร ไม่มีโอกาสรู้เลยทั้งสิ้น แต่ไม่มีเรา อันนี้ยาก แสนยากกว่าจะรู้
~ สังสารวัฏฏ์ การเกิดแล้วเกิดอีก แต่ไม่ซ้ำ วนเวียนไปตามการที่มีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นที่เราบอกว่าแต่ละคน ก็คือแต่ละเห็น แต่ละจิตแต่ละคิดแต่ละจำ ทั้งหมดตามการสะสมมา แล้วก็ดับ ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้จริงๆ จะติดข้องน้อยลงไหม จะโกรธน้อยลงไหม สิ่งที่โกรธ ไม่เหลือ แล้วไปนั่งโกรธอะไร
*** ~ ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ ละความไม่รู้ซึ่งเหมือนขยะมากมายมหาศาลในจิต แน่น เพราะเหตุว่าสะสมมาแสนโกฏิกัปป์ แต่ไม่ปรากฏว่าไม่ใช่เรา และไม่รู้ด้วยว่ามากมายแค่ไหน จนกว่าปรากฏเมื่อไหร่ รู้เมื่อนั้น***
~ ทั้งตัวที่เคยเป็นเราตั้งแต่เกิดจนถึงทุกวันนี้ ก็เป็นแค่ธาตุรู้กับธาตุไม่รู้ ที่เกิดดับอยู่ตลอดเวลา จนกว่าจะถึงกำหนดเวลาของการเป็นบุคคลนี้ของกรรมนี้สิ้นสุดให้ผลอีกต่อไปไม่ได้ ซึ่งใครก็ไม่รู้ล่วงหน้าไม่มีเครื่องหมายใดๆ ทั้งสิ้นกำลังเห็นหลังเห็นแล้วก็ตายได้ กำลังคิดหลังคิดแล้วก็ตายได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้น ทุกอย่างเป็นอนัตตา ไม่ใช่เป็นอัตตาที่จะไปเลือกไปกะเกณฑ์ได้เลย
~ ทุกขณะที่เกิดเป็นอนัตตา ไม่มีใครรู้ว่าขณะต่อไปจะคิดหรือจะเห็น ฉันใด ขณะต่อไปจะเป็นจุติจิตขณะสุดท้ายหรือจะเป็นจิตอื่นไม่สามารถจะรู้ได้ เพราะฉะนั้น เป็นธรรม ต้องไม่ลืมว่าทุกอย่างเป็นธรรม เพื่อที่จะละความเป็นเรา
~ สิ่งที่เป็นสาระเป็นประโยชน์ที่สุด ไม่ใช่ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรือว่าความติดข้องในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แต่เป็นความเข้าใจ ยามยาก ยามลำบาก ยามทุกข์ใจ ลาภช่วยได้ไหม? ยศ สรรเสริญ สุข ช่วยได้ไหม? ก็ไม่ได้เลย แต่ว่าความเข้าใจธรรม ไม่ว่าจะกำลังเป็นทุกข์ เจ็บไข้ได้ป่วย หรือว่าได้รับภัยพิบัติต่างๆ ขณะนั้นปัญญาก็ไม่ได้ทำให้เกิดความทุกข์เลย เพราะว่าสามารถที่จะเข้าใจความจริงในขณะนั้นได้ จนถึงที่สุดว่า ทุกอย่างไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย ทั้งหมดก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย

*** ~ โอกาสของกุศลที่จะเกิดขึ้นเป็นโอกาสที่ประเสริฐ เพราะเหตุว่าขณะนั้นอกุศลเกิดไม่ได้***

*** ~ โกรธใครบ้างไหม? โกรธ ประมาทหรือเปล่า? ถ้าไม่ประมาทก็เห็นโทษของอกุศลคือความโกรธ ไม่มีประโยชน์อะไรเลยเริ่มตั้งแต่โกรธอะไรก่อน จะได้รู้ โกรธใครหรือเปล่า? โกรธเรื่องอะไร? สิ่งนั้นไม่มีเลย หมดแล้วยังโกรธ***
*** ~ เป็นความจริงที่จะต้องจากที่จะพลัดพรากไป หมดสิ้นด้วยความตาย ในชีวิตนี้ขณะนี้ท่านก็พอจะระลึกได้ว่า ผู้เป็นที่รักเหล่านั้น ใครจากพรากไปบ้างแล้ว และหายไปไหน ไม่เหลือเลย เหลือแต่เยื่อใยหรือว่าความผูกพันซึ่งก็จะเป็นความผูกพันเป็นความติดข้อง เป็นโลภะ เป็นสภาพธรรมที่เพิ่มขึ้นจากภพหนึ่งชาติหนึ่งเรื่อยๆ ***
~ มีโอกาสเจริญกุศลขณะใด ก็ควรจะรีบ หรือว่าเกิดปีติโสมนัสที่จะได้เจริญกุศล ในขณะที่ท่านสามารถ ที่จะเจริญกุศลได้ เพราะชีวิตไม่แน่ว่าท่านจะมีโอกาสได้เจริญกุศลต่อไปหรือไม่ อาจจะหมดโอกาส ด้วยประการหนึ่งประการใดก็ได้
~ ไม่มีอะไรที่จะกลับคืนมาได้เลย ชีวิตของพระโพธิสัตว์แต่ละพระชาติ เคยเป็นทั้งคนยากจนเข็ญใจขอทานไร้ทรัพย์ จนกระทั่งถึงเป็นพระเจ้าแผ่นดินมีสมบัติมากมาย แต่ละท่านที่นี่ ก็เคยเป็นมาแล้วทั้งนั้น แต่ก็กลับไปเป็นอย่างนั้นอีกไม่ได้เลย มีแต่ไปไปไปเรื่อยๆ ชาตินี้เป็นคนนี้จากชาติก่อนไปคือมาสู่ชาตินี้ และจากชาตินี้ก็ไปสู่ชาติอื่นแล้วก็ไปต่อไปไม่มีวันจบ
~ กิเลสคืออะไร (กิเลสเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต) และมีประโยชน์ไหม (กิเลสไม่มีประโยชน์) ถ้าไม่มีกิเลสเลยแสนสบายแสนสุขไม่เดือดร้อนเลยจริงๆ แต่เพราะเหตุว่าอยู่กับกิเลสจนชินมากเลย ไม่มีกิเลสอยู่ไม่ได้ ตรงกันข้ามกันแล้วใช่ไหม คนที่มีกิเลสถ้าไม่มีกิเลสอยู่ไม่ได้ แต่คนที่เห็นโทษของกิเลสก็จะรู้ว่าเมื่อไหร่ไม่มีกิเลสเมื่อนั้นไม่มีความสุขใดที่จะเทียบเท่าได้เลย
~ ทุกคนจะไม่พ้นจากความโศกเศร้าเสียใจเป็นทุกข์เดือดร้อน เมื่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการ เคยร้องไห้ไหม บางคนร้องไห้ทุกคืนก็มีใช่ไหม แล้วแต่ชีวิตที่จะลำบากหรือว่าจะเป็นอย่างไรก็บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะฉะนั้น ธรรมทุกคำที่ได้ยิน เป็นความจริงในชีวิตประจำวันซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าแม้แต่การเกิดก็บังคับไม่ได้ การเห็นบังคับไม่ได้
~ ความเห็นถูกตามความเป็นจริงเท่านั้นที่จะค่อยๆ ชำระล้างความเห็นผิดและกิเลสอื่นๆ


ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ 729


... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...



ความคิดเห็น 1    โดย swanjariya  วันที่ 17 ส.ค. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง


ความคิดเห็น 2    โดย chatchai.k  วันที่ 17 ส.ค. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ


ความคิดเห็น 3    โดย มังกรทอง  วันที่ 17 ส.ค. 2568

ธรรมมีมานัสพร้อม รับฟัง
อันเกิดกุศลดัง ธาตุรู้
จิตเจตสิกเป็นพลัง เสริมส่ง หนุนแฮ
กราบอาจารย์สุจินต์ผู้ เปี่ยมด้วยเมตตา


ความคิดเห็น 4    โดย jaturong  วันที่ 18 ส.ค. 2568

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย nattawan  วันที่ 20 ส.ค. 2568

ยินดีในกุศลวิริยะค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย มังกรทอง  วันที่ 13 พ.ย. 2568

สนทนาธรรมเกิดขึ้น กุศลมี ฟังธรรมะในดิถี ถูกต้อง อาจารย์สุจินต์ศรี เป็นหลัก จิตเจตสิกรูปสอดคล้อง มั่นแฟ้นคำจริง