[เล่มที่ 11] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 109
พระพุทธพจน์นี้ โดยไม่แยกประเภท มีหนึ่ง คือรส โดยแยกประเภท มีประเภท ๒ อย่าง เป็นต้น คือ เป็นพระธรรมอย่าง ๑ เป็นวินัยอย่าง ๑ เป็นต้น อันคณะผู้เชี่ยวชาญ มีพระมหากัสสป เป็นประมุขเมื่อจะสังคายนา ได้กำหนดประเภทนี้ก่อนแล้ว จึงสังคายนาว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นปฐมพุทธพจน์ นี้เป็นมัชฌิมพุทธพจน์ นี้เป็นปัจฉิมพุทธพจน์ นี้เป็นวินัยปิฎก นี้เป็นสุตตันตปิฎก นี้เป็นอภิธรรมปิฎก นี้เป็นทีฆนิกาย นี้เป็นมัชฌิมนิกาย นี้เป็นสังยุตตนิกาย นี้เป็นอังคุตตรนิกาย นี้เป็นขุททกนิกาย นี้เป็นองค์ ๙ มีสุตตะเป็นต้น นี้เป็นพระธรรมขันธ์ ๘๔,๐๐๐ ด้วยประการฉะนี้ และใช่ว่า ท่านจะกำหนดประเภทนี้ เท่านั้นอย่างเดียว สังคายนาแล้วหาก็ไม่ แต่ท่านยังกำหนดประเภทแห่งสังคหะแม้อื่นๆ ซึ่งมีประการมิใช่น้อย เป็นต้นว่า อุทานสังคหะ วัคคสังคหะ เปยยาลสังคหะ และนิปาตสังคหะ มีเอกนิบาต และทุกนิบาต เป็นต้น สังยุตตสังคหะ และปัญญาสสังคหะ เป็นต้น ที่ปรากฏอยู่ในปิฎก ๓ สังคายนาแล้ว ใช้เวลา ๗ เดือน ด้วยประการฉะนี้. ก็ในอวสานแห่งการสังคายนาพระพุทธพจน์นั้น แผ่นดินใหญ่นี้ได้สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นหวั่นไหว เป็นอเนกประการทั่วไปจนถึงน้ำรองแผ่นดิน เป็นประหนึ่งว่าเกิดความปราโมทย์ให้สาธุการว่า ศาสนาของพระทศพลนี้ พระมหากัสสปเถระ ได้ทำให้สามารถมีอายุยืนไปได้ตลอดกาลประมาณ ๕,๐๐๐ ปี และได้ปรากฏมหัศจรรย์ทั้งหลายมิใช่น้อย ด้วยประการฉะนี้. สังคายนาใดในโลกเรียกกันว่า ปัญจสตาเพราะพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ ได้ทำไว้ และเรียกกันว่า เถริกา เพราะพระสงฆ์ชั้นพระเถระ ทั้งนั้นได้ทำไว้ สังคายนานี้ชื่อปฐมมหาสังคายนา ด้วยประการฉะนี้.
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ยินดีในกุศลจิตค่ะ