ใน ขุททกนิกาย ชาดก ... อุทยชาดก ท่านจะได้ฟังข้อความธรรมที่เทวบุตรได้มาเกื้อกูลแก่บุคคลซึ่งเคยเกี่ยวข้องกัน เป็นเรื่องของเทพบุตรซึ่งเป็นพระเจ้าอุทัยในอดีตชาติ ได้มาปรากฏพระองค์แก่พระมเหสีเพื่อเกื้อกูลธรรม ซึ่งเทพบุตรก็ได้กล่าวกับพระนางอุทัยผู้เป็นพระมเหสีในอดีตชาติ มีข้อความว่า
ดูกร พระนางผู้มีพระวรกายงามหาที่ติมิได้ มีช่วงพระเพลากลมกลึง ทรงวัตถาภรณ์อันสะอาด เสด็จขึ้นสู่ปราสาท ประทับนั่งอยู่พระองค์เดียว
ดูกร พระนางผู้มีพระเนตรงามดังเนตรของนางกินนร หม่อมฉันขอวิงวอน พระนาง เราทั้งสองควรอยู่ร่วมกันตลอดคืนหนึ่งนี้
นี่เป็นข้อความธรรมในพระไตรปิฎก ซึ่งท่านจะสังเกตได้ว่า บุคคลแต่ละอัธยาศัยในโลก พระธรรมทรงเกื้อกูลทั้งหมด บุคคลที่ยังติดในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ พระธรรมจะเกื้อกูลแม้บุคคลที่ยังข้องอยู่ในทางโลกให้ได้รู้สภาพธรรมและพิจารณาธรรมเพื่อจะได้ดำเนินชีวิตในทางธรรมได้
ซึ่งพระนางก็สงสัยจึงได้ตรัสตอบว่า
นครนี้มีคูรายรอบ มีป้อมและซุ้มประตูมั่นคง มีหมู่ทหารถือกระบี่รักษา ยากที่ใครๆ จะเข้าได้ ทหารนักรบหนุ่มก็ไม่มีมาเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านปรารถนามาพบข้าพเจ้าด้วยเหตุอะไรหนอ
ไม่ทราบว่าเป็นเทพบุตร ก็สงสัยว่าถ้าเป็นคนธรรมดาจะเข้ามาได้อย่างไร
เทพบุตรกล่าวว่า
ดูกร พระนางผู้เลอโฉม หม่อมฉันเป็นเทพบุตรมาในตำหนักของพระนาง ดูกรพระนางผู้เจริญ เชิญพระนางชื่นชมกับหม่อมฉันเถิด หม่อมฉันจะถวายถาดทองอันเต็มด้วยเหรียญทองแก่พระนาง
เป็นเรื่องของโลกซึ่งคิดว่าธรรมดาเงินนั้นก็ย่อมซื้อทุกสิ่งทุกอย่างได้ ซึ่งมนุษย์ทุกกาลสมัยก็อาจจะคิดอย่างนี้ได้ ในฐานะที่คิดว่าเงินมีอำนาจมาก
พระนางตรัสตอบว่า
นอกจากเจ้าชายอุทัยแล้ว ข้าพเจ้าไม่พึงปรารถนาเทวดา ยักษ์ หรือมนุษย์ผู้อื่นเลย ดูกร เทพบุตรผู้มีอานุภาพมาก ท่านจงไปเสียเถิดอย่ากลับมาอีกเลย
ซึ่งเทพบุตรก็กล่าวชักชวนต่อไป เพราะว่าเจตนาที่จะเกื้อกูลในทางธรรมเทพบุตรได้กล่าวชักชวนต่อไปว่า
ความยินดีอันใดเป็นที่สุดของผู้บริโภคกาม สัตว์ทั้งหลายประพฤติไม่สมควรเพราะเหตุแห่งความยินดีอันใด พระนางอย่าพลาดความยินดีในทางอันสะอาดของพระนางเลย หม่อมฉันขอถวายถาดเงินอันเต็มด้วยเหรียญเงินแก่พระนาง
ถ้อยคำของเทพบุตรน่าสงสัย คือ การเสนอมูลค่าเพื่อที่จะให้พระนางยินยอมนั้น แทนที่จะเพิ่มให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ กลับลดต่ำลง ซึ่งพระนางอุทัยก็สงสัยอย่างนั้นเหมือนกัน ฉะนั้นจึงได้ตรัสถามเทพบุตรว่า
ธรรมดาชายหมายจะให้หญิงเออออด้วยทรัพย์ ย่อมประมูลราคาขึ้นจนให้พอใจ ของท่านตรงกันข้าม ท่านประมูลราคาโดยลดลงดังที่เห็นประจักษ์อยู่
ซึ่งเทพบุตรก็ได้กล่าวธรรม ให้เหตุผลกับพระนางว่า
ดูกร พระนางผู้มีพระวรกายงาม อายุ และวรรณะของหมู่มนุษย์ในมนุษย์โลก ย่อมเสื่อมลง ด้วยเหตุนั้นแล แม้ทรัพย์สำหรับพระนางก็จำต้องลดลง เพราะวันนี้พระนางชราลงกว่าวันก่อน
ดูกร พระราชบุตรีผู้มีพระยศ เมื่อหม่อมฉันกำลังเพ่งมองอยู่อย่างนี้ พระฉวีวรรณของพระนางย่อมเสื่อมไป เพราะวันคืนล่วงไปๆ
ดูกร พระราชบุตรีผู้มีปรีชา เพราะเหตุนั้นพระนางพึงประพฤติพรหมจรรย์เสียวันนี้ทีเดียว จะได้มีพระฉวีวรรณงดงามยิ่งขึ้น
ท่านที่เจริญสติปัฏฐานจะเข้าใจพยัญชนะนี้ได้ ที่เทพบุตรกล่าวว่า เมื่อหม่อมฉันกำลังเพ่งมองอยู่อย่างนี้ พระฉวีวรรณของพระนางย่อมเสื่อมไป ทางตาไม่ว่าจะเห็นอะไรก็ตาม สิ่งที่ปรากฏเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป จิตที่กำลังเห็นแม้ในขณะนี้ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ซึ่งยากที่จะเห็นได้ เพราะถ้าพูดถึงความเสื่อมของผิวพรรณ ถ้าไม่มีการเกิดดับของรูป ความเสื่อมของผิวพรรณก็มีไม่ได้ แต่รูปที่เกิดจะเป็นผิวพรรณอย่างไรก็ตาม เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปสืบต่อไป และก็ปรากฏความเสื่อม ถ้าไม่มีข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง ก็ไม่สามารถที่จะประจักษ์ความจริงข้อนี้ได้ ซึ่งพระนางอุทัยในขณะนั้น ยังเป็นผู้ที่พอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ
เทพบุตรกล่าวกับพระนางว่า
พระนางพึงประพฤติพรหมจรรย์เสียวันนี้ทีเดียว จะได้มีพระฉวีวรรณงดงามยิ่งขึ้นอีก
เพราะว่าทุกท่านจะต้องสิ้นชีวิต สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการวรรณะที่เลวในอบายภูมิก็ต้องเป็นผู้ที่เจริญกุศล จึงจะได้มีฉวีวรรณที่งดงามยิ่งขึ้นในสุคติภูมิ
พระนางตรัสถามว่า
เทวดาทั้งหลายไม่แก่เหมือนมนุษย์หรือ เส้นเอ็นในร่างกายของเทวดาเหล่านั้นไม่มีหรือ ดูกร เทพบุตรข้าพเจ้าขอถาม ท่านผู้มีอานุภาพมาก ร่างกายของเทวดาเป็นอย่างไร
เทพบุตรกล่าวว่า
เทวดาทั้งหลายไม่แก่เหมือนมนุษย์ เส้นเอ็นในร่างกายของเทวดาเหล่านั้นไม่มีฉวีวรรณอันเป็นทิพย์ของเทวดาเหล่านั้น ผุดผ่องยิ่งขึ้นทุกๆ วัน และโภคสมบัติก็ไพบูลย์ขึ้น
ซึ่งทั้งนี้ต้องเป็นไปตามวันเวลา และกำหนดอายุของเทวดา เพราะว่าในภูมิของเทวดานั้นไม่ปรากฏความชรา ภูมิของเทพไม่แก่ และไม่ปรากฏความเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างในภูมิของมนุษย์เลย
พระนางตรัสถามว่า
หมู่ชนเป็นอันมากในโลกนี้กลัวอะไรเล่าจึงไม่ไปเทวโลกกัน ก็หนทางไปเทวโลกบัณฑิตทั้งหลายกล่าวไว้หลายด้าน ดูกร เทพบุตรผู้มีอานุภาพมาก ข้าพเจ้าขอถามท่านว่า บุคคลตั้งอยู่ในหนทางไหนจึงจะไม่กลัวปรโลก
เทพบุตรกล่าวตอบว่า
บุคคลผู้ตั้งวาจาและใจไว้โดยชอบ ไม่กระทำบาปด้วยกาย อยู่ครองเรือนอันมีข้าวและน้ำมาก เป็นผู้มีศรัทธา อ่อนโยน จำแนกแจกทาน รู้ความประสงค์ ชอบสงเคราะห์ มีถ้อยคำกลมกล่อมอ่อนหวาน ผู้ตั้งอยู่ในคุณธรรมดังกล่าวมานี้ ไม่พึงกลัวปรโลก
ท่านจะกลัวหรือไม่กลัว พิสูจน์ได้จากชีวิตประจำวันของท่าน ถ้าท่านเป็นบุคคลผู้ตั้งวาจาและใจไว้โดยชอบ ไม่กระทำบาปด้วยกาย อยู่ครองเรือน อันมีข้าวและน้ำมาก เป็นผู้มีศรัทธา อ่อนโยน จำแนกแจกทาน รู้ความประสงค์ ชอบสงเคราะห์ มีถ้อยคำกลมกล่อมอ่อนหวาน ผู้ตั้งอยู่ในคุณธรรมดังกล่าวมานี้ ไม่พึงกลัวปรโลก
ถ้าฟังพยัญชนะที่กล่าวแล้วข้างต้น จะเห็นว่าเป็นกุศล เพราะว่าเป็นบุคคลผู้ตั้งวาจาและใจไว้โดยชอบในทางที่เป็นกุศล ไม่ใช่ในความเห็นผิด ถ้าเป็นไปในความเห็นผิด วาจาก็ผิด การกระทำทางกายก็ผิด ฉะนั้นชีวิตประจำวันจึงขึ้นอยู่กับใจที่เป็นกุศลและเป็นความเห็นถูก ซึ่งจะทำให้กุศลอื่นๆ เจริญขึ้น ฉะนั้น ท่านก็ตรวจสอบสภาพจิตใจของท่านได้ว่า เป็นผู้ที่ตั้งวาจาและใจไว้ชอบหรือไม่ หรือว่าได้กระทำบาปด้วยกายหรือเปล่า
ซึ่งเมื่อพระนางอุทัยได้ฟังธรรมจากเทพบุตรแล้ว ก็ใคร่ที่จะทราบว่า เทพบุตรนั้นเป็นใคร จึงตรัสถามว่า
ข้าแต่เทพบุตร ท่านพร่ำสอนข้าพเจ้าเหมือนมารดาบิดา ข้าแต่ท่านผู้มีผิวพรรณงามยิ่ง ข้าพเจ้าขอถาม ท่านเป็นใครหนอ มีร่างกายสง่างาม
เทพบุตรกล่าวตอบว่า
ดูกร พระนางผู้เลอโฉม ข้าพเจ้าเป็นพระเจ้าอุทัย มาในที่นี้เพื่อต้องการจะเปลื้องข้อผูกพัน ข้าพเจ้าบอกพระนางแล้วจะขอลาไป ข้าพเจ้าพ้นจากข้อผูกพันของพระนางแล้ว
เมื่อพระนางทราบว่า เทพบุตรนั้นคือพระเจ้าอุทัยในอดีต ด้วยความผูกพันในพระเจ้าอุทัย เพราะว่าพระนางยังเป็นมนุษย์อยู่ ฉะนั้น พระนางจึงได้ตรัสว่า
ข้าแต่พระลูกเจ้า ถ้าพระองค์เป็นพระเจ้าอุทัยเสด็จมา ณ ที่นี้ ข้าแต่พระราชบุตร ขอเชิญพระองค์จงโปรดพร่ำสอนหม่อมฉัน ด้วยวิธีที่เราทั้งสองจะได้พบกันใหม่อีกเถิด
แต่เพื่อที่จะให้พระนางหมดสิ้นความผูกพัน เทพบุตรจึงได้กล่าวธรรม อนุเคราะห์พระนางว่า
วัยล่วงไปเร็วยิ่งนัก ขณะก็เช่นนั้นเหมือนกัน ความตั้งอยู่ยั่งยืนไม่มี สัตว์ทั้งหลายย่อมจุติไปแน่แท้ สรีระไม่ยั่งยืนย่อมเสื่อมสลาย
ดูกร พระนางอุทัย เธออย่าประมาท จงประพฤติธรรม พื้นแผ่นดินทั้งสิ้นเต็มไปด้วยทรัพย์ ถ้าพึงเป็นของของพระราชาพระองค์เดียว ไม่มีผู้อื่นครอบครอง ถึงกระนั้นผู้ที่ยังไม่ปราศจากความกำหนัด ก็ต้องทิ้งสมบัตินั้นไป
ดูกร พระนางอุทัยเธอ อย่าประมาท จงประพฤติธรรม มารดา บิดา พี่ชายน้องชาย พี่สาว น้องสาว ภรรยา และสามี พร้อมทั้งทรัพย์ แม้เขาเหล่านั้น ต่างก็จะละทิ้งกันไป
ดูกร พระนางอุทัย เธออย่าประมาท จงประพฤติธรรม ดูกร พระนางอุทัยเธอพึงทราบว่า ร่างกายเป็นอาหารของสัตว์อื่นๆ พึงทราบว่า สุคติ และทุคติใน สังสาระเป็นที่พักชั่วคราว เธออย่าประมาท จงประพฤติธรรม
ธรรมที่เทพบุตรกล่าวกับพระนาง เป็นสิ่งที่ควรจะได้พิจารณาเพื่อประโยชน์ คือการละคลายความที่เคยผูกพันในสัตว์ ในบุคคล ซึ่งเทพบุตรกล่าวว่า
วัยล่วงไปเร็วยิ่งนัก ขณะก็เช่นนั้นเหมือนกัน ========
... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 287
ท่านที่เจริญสติปัฏฐาน ไม่ใช่เป็นแต่เพียงผู้ที่นั่งพิจารณาธรรมว่าชีวิตนี้จะต้องหมดสิ้นไป จะต้องแก่ จะต้องเจ็บ และจะต้องตาย นั่นไม่พอสำหรับการที่จะได้รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง ถ้าจิตระลึกถึงความไม่เที่ยงของนาม ของรูป เหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตที่เกิดขึ้นปรากฏ แม้ขณะที่จิตน้อมระลึกอย่างนั้น การอบรมสติเป็นปกติ ก็จะต้องระลึกรู้ว่า แม้ขณะนั้นก็เป็นนามธรรมที่นึก หรือตรึกคิดอย่างนั้นเพื่อที่จะได้รู้ว่าแม้ความคิดเพียงคำหนึ่งก็ดับ และเกิดขึ้นสืบต่อไปเรื่อยๆ จึงจะประจักษ์ว่าเป็นนามธรรม เป็นรูปธรรม
เพราะฉะนั้น การฟังธรรมมีประโยชน์หลายขั้น คือ ขั้นที่ท่านกำลังหลงลืมสติเมื่อได้ฟังธรรมก็ฟังด้วยสติ และถ้าได้ทราบเรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน สติก็จะเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมในขณะนั้น จึงจะประจักษ์สภาพธรรมตามความเป็นจริง ที่ว่าวัยล่วงไปเร็วยิ่งนัก ขณะก็เช่นนั้นเหมือนกัน ซึ่งทุกขณะก็เกิดดับไปอย่างรวดเร็วมาก ถ้าสติไม่เจริญ ไม่อบรม จะไม่สามารถรู้สภาพธรรมที่เกิดดับอย่างรวดเร็วในขณะนี้ตามความเป็นจริง แม้แต่ขณะที่กำลังนั่ง และเห็น และได้ยินนามธรรมและรูปธรรมก็เกิดดับนับไม่ถ้วนทีเดียว ขณะนี้ระลึกตามปกติ เกิดแทรกคั่นขึ้นได้ว่า เป็นแต่เพียงนามธรรมและรูปธรรม หรือว่าทางหูก็ได้ ทางจมูก ทางลิ้นทางกาย ทางใจ ได้ทุกขณะ
ข้อความที่เทพบุตรกล่าวกับพระนางที่ว่า พื้นแผ่นดินทั้งสิ้นเต็มไปด้วยทรัพย์ ถ้าพึงเป็นของๆ พระราชาพระองค์เดียว ไม่มีผู้อื่นครอบครอง ถึงกระนั้นผู้ที่ยังไม่ปราศจากความกำหนัด ก็ต้องทิ้งสมบัตินั้นไป เป็นความจริงหรือไม่ ตัวท่านเองเป็นจริงอย่างนั้นไหม ความต้องการในทรัพย์มีขีดขั้นความพอเพียงไหม ได้มาแล้วก็ยังไม่พออีก จนกระทั่งว่า ผู้ที่เต็มไปด้วยความยินดี ความต้องการในทรัพย์สมบัตินั้นถึงแม้ว่าจะได้ครองโลก คือ พื้นแผ่นดินทั้งสิ้นที่เต็มไปด้วยทรัพย์นี้แล้ว เป็นของบุคคลนั้นเพียงคนเดียว ไม่มีคนอื่นครอบครอง ก็ยังไม่หมดความปรารถนา ยังไม่หมดความต้องการ บุคคลนั้นก็ยังต้องทิ้งทรัพย์สมบัตินั้นไป ทั้งๆ ที่ยังพอใจ และครองทรัพย์สมบัตินั้นอยู่ แต่ก็ไม่สามารถที่จะครอบครองได้ตลอดไป จะต้องทิ้งทรัพย์สมบัตินั้นไป
ขอให้ท่านที่เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน ได้เห็นความลึกซึ้ง ได้เห็นความเหนียวแน่นของความยินดีพอใจซึ่งไม่หมดในทุกๆ วัน และลองพิจารณาโดยละเอียดว่า จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไหม ท่านอาจจะมีความต้องการน้อยกว่าคนอื่น ถ้าพิจารณาแล้วจะมีบุคคลอื่นที่มีความต้องการมากเหลือเกินที่ปรากฏให้เห็น ให้ได้ยิน ขอให้สติระลึกได้ พิจารณาโดยละเอียดว่า แม้ความต้องการของท่านที่รู้สึกว่าจะน้อยกว่าคนอื่นนั้น พอบ้างไหม หรือว่าเพิ่มขึ้น แม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ นิดๆ หน่อยๆ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ นอกจากจะพอใจในทรัพย์ ความพอใจในบุคคล ในสังขารซึ่งเป็นที่รักนั้น ก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลยในภพหนึ่งๆ ถ้าสามารถที่จะระลึกถอยไปได้ พอใจในสัตว์ ในสังขารซึ่งเป็นที่รัก ในญาติพี่น้อง ในมิตรสหาย ในอดีตชาติผ่านๆ มาแล้ว ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างสำหรับท่านที่เป็นบิดามารดา ท่านก็มีความผูกพันในบุตร ต่อไปก็มีความผูกพันในหลาน ทีละคน สองคน เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นเรื่องที่ว่าจากผู้นี้ ก็ไปสู่ผู้นั้น ทุกภพ ทุกชาติไป
สำหรับข้อความที่เทพบุตรกล่าวว่า
มารดา บิดา พี่ชาย น้องชาย พี่สาว น้องสาว ภรรยา และสามี พร้อมทั้งทรัพย์ แม้เขาเหล่านั้น ต่างก็จะละทิ้งกันไป
เป็นความจริงที่จะต้องจาก ที่จะพลัดพรากไป หมดสิ้นด้วยความตายในชีวิตนี้ขณะนี้ท่านก็พอจะระลึกได้ว่า ผู้เป็นที่รักเหล่านั้น ใครจากพรากไปบ้างแล้ว และหายไปไหน ไม่เหลือเลย เหลือแต่เยื่อใย หรือว่าความผูกพันซึ่งก็จะเป็นความผูกพันเป็นความติดข้อง เป็นโลภะ เป็นสภาพธรรมที่เพิ่มขึ้นจากภพหนึ่งชาติหนึ่งเรื่อยๆ ถ้าท่านไม่เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานจนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้หมดสิ้นเป็นสมุจเฉทจริงๆ ตามลำดับขั้น โลภะไม่มีทางที่จะหมดไปได้โดยวิธีอื่น
และข้อความที่เทพบุตรกล่าวว่า
สุคติ และทุคติในสังสาระ เป็นที่พักชั่วคราว
เป็นความจริง เพราะไม่มีท่านผู้ใดจะอยู่ที่นี่ตลอดไปในโลกนี้ ทุกภพ ทุกภูมิแล้วแต่ว่า จะอยู่มาก อยู่น้อย อยู่นาน อยู่เร็ว ก็เป็นแต่เพียงที่พักชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งเมื่อพระนางได้ฟังธรรมที่เทพบุตรกล่าวแล้ว พระนางก็ได้ตรัสกับเทพบุตรนั้นว่า
เทพบุตรพูดดีจริง ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายน้อย ทั้งลำเค็ญ ทั้งนิดหน่อย ทั้งประกอบไปด้วยทุกข์ หม่อมฉันจะสละสุรุนธนนคร แคว้นกาสีออกบวช อยู่แต่ลำพัง ผู้เดียว
จบอุทยชาดกที่ ๔
ธรรมดาของเทพก็เหมือนมนุษย์ มีผู้ที่มีความเห็นถูก มีผู้ที่มีความเห็นผิด ส่วนใหญ่ที่จะเกื้อกูลในธรรม ก็เป็นเทพบุตรที่มีความเห็นถูกซึ่งได้มาปรากฏกับมนุษย์ในครั้งนั้น ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 287