ใน สาเลยยกสูตร มีข้อความที่แสดงว่า การเป็นคนพูดเพ้อเจ้อประการหนึ่งนั้นคือ พูดในเวลาไม่ควรพูด
เรื่องของคำพูดที่ไม่เป็นประโยชน์ คือ บุคคลเป็นผู้กล่าวคำเพ้อเจ้อในขณะที่พูด ในเวลาไม่ควรพูด เพราะเหตุใด เพราะว่าขณะนั้นไม่มีประโยชน์เลย ไม่ใช่เวลา ไม่ใช่กาลที่ควรจะพูด ถึงแม้ว่าจะพูดก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ด้วยเหตุนั้น ถ้าพูดในขณะนั้นก็เป็นการกล่าวคำเพ้อเจ้อ ไม่ว่าจะเป็นบรรพชิตหรือฆราวาส ซึ่งยังไม่ได้ดับกิเลสหมดเป็นสมุจเฉท ก็ย่อมจะมีการปรากฏของขณะที่หลงลืมสติ และมีการพูดในเวลาที่ไม่ควรพูดได้
ขอกล่าวถึง อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต จิตตหัตถิสารีปุตตสูตร ข้อ ๓๓๑ ซึ่งมีข้อความว่า
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี ก็สมัยนั้น ภิกษุผู้เถระหลายรูปกลับจากบิณฑบาต ภายหลังภัต นั่งประชุมสนทนาอภิธรรมกถากันอยู่ที่โรงกลม ได้ทราบว่า ในที่ประชุมนั้น ท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตร เมื่อพวกภิกษุผู้เถระกำลังสนทนาอภิธรรมกถากันอยู่ พูดสอดขึ้นในระหว่าง ลำดับนั้น ท่านพระมหาโกฏฐิตะได้กล่าวกะท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตรว่า ท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตร เมื่อภิกษุผู้เถระกล่าวสนทนาอภิธรรมกถากันอยู่ พูดสอดขึ้นในระหว่าง ขอท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตร จงรอคอยจนกว่าภิกษุผู้เถระสนทนากันให้จบเสียก่อน ฯ
แสดงให้เห็นว่า ท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตรยังขัดเกลากิเลสไม่พอ กิเลสยังไม่หมด จึงมีการพูดสอดขึ้นในระหว่างที่ท่านพระเถระทั้งหลายกล่าวสนทนาอภิธรรมกถากันอยู่
เมื่อท่านพระมหาโกฏฐิตะกล่าวอย่างนี้แล พวกภิกษุผู้เป็นสหายของท่าน พระจิตตหัตถิสารีบุตรได้กล่าวกับท่านมหาโกฏฐิตะว่า
รับฟังเพิ่มเติม ...
สัมผัปปลาปวาจา
