ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๔๙
โดย khampan.a  29 เม.ย. 2561
หัวข้อหมายเลข 29701

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๔๙
~ การมีเมตตา หมายความว่าเพื่อประโยชน์แก่ผู้นั้นที่จะไม่เป็นอกุศล ถ้าใครก็ตามที่กำลังจะทำสิ่งที่ไม่ดี แล้วเราให้เขาทำ ให้เขาสมปรารถนาในสิ่งที่เขาทำ จะดีไหม? ก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

~ ถ้าไม่มีการฟังธรรม ไม่เข้าใจธรรม ชาวโลกหลง เข้าใจว่าสิ่งที่เป็นอกุศล เป็นกุศล เช่น ความเห็นผิดต่างๆ กราบไหว้บูชาสิ่งซึ่งไม่ได้นำประโยชน์อะไรมาให้เลย เคยเห็นคนไหว้จอมปลวกไหม เป็นกุศลหรือเปล่า?

~ ไม่สมควรเลยที่พระภิกษุจะขอเงินหรือว่ารับเงิน เพราะเหตุว่าเป็นอันตรายต่อตัวภิกษุนั้น การให้เงินแก่พระภิกษุ ไม่ใช่เป็นความเมตตาต่อเขา แต่เป็นอันตรายต่อเขาอย่างยิ่ง ถ้าไม่ปลงอาบัติ สิ้นชีวิตไปก็ไปเกิดในอบายภูมิ แล้วจะเมตตาให้เขาไปสู่อบายภูมิได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ความเข้าใจถูกต้อง ก็จะทำให้เราไม่ทำในสิ่งที่ผิดๆ แล้วคิดว่าเป็นสิ่งที่ถูก

~ ถ้าเข้าใจธรรมแล้ว เห็นคุณของพระรัตนตรัยเหนือสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น ใครจะคิดอย่างไร ใครจะว่ากล่าวอย่างไร แต่ประโยชน์ก็คือว่า ขอให้คนอื่นได้เข้าใจถูกในพระธรรมวินัย เพื่อที่จะดำรงพระธรรมวินัย (พระพุทธศาสนา) ซึ่งเป็นการทำลายความเห็นผิด ทำลายการประพฤติปฏิบัติผิด เพื่อความถูกต้อง แต่ว่าถ้าไม่มีการให้คนอื่นได้เข้าใจอย่างถูกต้อง ก็ช่วยกันทำผิดหลงผิดต่อไป ทำลายความเห็นถูกใช่ไหม ในเมื่อมีความเห็นผิด? เพราะฉะนั้น ก็ต้องพิจารณา ว่า การพูดธรรมวินัยให้คนอื่นได้เข้าใจถูก ผิดหรือ หรือว่าเป็นประโยชน์?

~ ใครรู้กิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) ละเอียดเท่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้าง สิ่งใดที่ไม่เหมาะไม่ควรที่คนอื่นไม่เห็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าสิ่งนั้นแหละ เป็นสิ่งที่ไม่สมควร เพราะว่าย่อมนำมาซึ่งกิเลสเพิ่มเติมขึ้น

~ การบวชไม่ง่าย ต้องมีความเคารพมั่นคงจริงๆ เพราะเหตุว่าไม่บวช ก็สามารถถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคลได้ เพราะเหตุว่า จะไม่บวช เพื่อไปทำให้พระพุทธศาสนาเศร้าหมอง ถ้าไม่สามารถที่จะกระทำให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัยได้

~ ถ้าไม่ฟังพระธรรม ไม่มีทางที่จะเข้าใจถูกเห็นถูก ก็จะเป็นทุกข์ ไปเรื่อยๆ

~ ความเข้าใจถูกเห็นถูก ค่อยๆ ละความเห็นผิด

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรักษาโรคที่กำลังเป็น คือ โรคความไม่รู้ โรคกิเลส โรคอกุศลทุกประเภท ด้วยยา คือ พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง

~ เมื่อมีปัญญาแล้วก็เห็นประโยชน์ของความอดทน เพราะถ้าไม่มีความอดทนแล้วสิ่งที่ยากลำบากจะสำเร็จได้ไหม อดทนที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพระองค์ทรงตรัสรู้อะไร อดทนที่จะเข้าใจความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ถ้าไม่มีความอดทน จะไม่มีทางเข้าใจพระปัญญาคุณและพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงได้เลย ด้วยเหตุนี้ การฟังพระธรรมแต่ละครั้ง อดทนที่เป็นกุศล เพราะเห็นว่าแทนที่จะไปอดทนทำธุรกิจอื่นๆ ก็อดทนที่จะเข้าใจธรรม เพราะเห็นคุณอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีความเข้าใจในพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งกว่าจะทรงแสดงแต่ละคำให้เรารู้จากการที่ได้ทรงตรัสรู้ เราก็ต้องรู้ว่าพระองค์ทรงอดทนนานเท่าไหร่ แล้วเราจะต้องอดทนนานเท่าไหร่ที่จะเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ถูกต้อง ไม่ใช่คิดเอง ไม่ใช่ไม่รู้แล้วก็ชวนกันทำสิ่งซึ่งไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ลบหลู่ คือ ไม่รู้คุณ แล้วยังทำลายคุณของผู้มีคุณให้หมดไป ลบหลู่ใครก็กระทำคุณของเขาให้หมดไปโดยการลบหลู่ของตน คุณเป็นของเขาแต่ผู้ลบหลู่ก็ยังไปคิดว่าตัวเองจะไปทำลายคุณของผู้มีคุณให้หมดไป ด้วยความไม่รู้ ด้วยกิเลส, ถ้าใครมีคุณ เราก็ต้องกล่าวสรรเสริญ คนที่ทุกคนสรรเสริญทั้งเมือง ทั้งประเทศ ทั้งโลก ก็คือผู้ที่ทรงคุณ ผู้ที่มีคุณความดี แสดงว่าคุณความดีเป็นที่สรรเสริญ แต่ถ้าใครก็ตามทำคุณของผู้อื่นให้หมดไป ก็คือ ลบหลู่เหมือนกับเขาไม่มีคุณเลย

~ ความผิดของผู้ที่ไม่เข้าใจพระธรรม ช่วยกันทำลายพระพุทธศาสนา ทั้งนั้น เพราะเหตุว่า ไม่ได้เข้าใจพระธรรม

~ พอใจแล้วก็แสวงหา เหนื่อยยากปานใดก็แล้วแต่ ไม่รู้เลยว่าเดือดร้อนแค่ไหน พอได้มาแล้วก็มีความติดข้องในสิ่งนั้น แต่ก็ต้องจากพลัดพรากสิ่งนั้นไป เพราะฉะนั้น ประโยชน์อะไรจากความที่ไม่ได้ติดข้องแล้วก็มีสิ่งที่เกิดขึ้นให้ติดข้อง และเพียงให้ติดข้องเกิดขึ้นปรากฏว่ามีแล้วก็ดับไป แต่ความติดข้องนั้นยังอยู่สะสมอยู่ในจิต พอที่จะทำให้เกิดความติดข้องในสิ่งอื่นต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบ

~ ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจแล้วก็ช่วยให้คนอื่นได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องด้วย

~ คนที่เข้าไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในครั้งนั้น ไปเพื่ออะไร เพื่อฟังพระธรรม ฟังคำแต่ละคำให้เกิดปัญญาความเข้าใจถูกของตนเอง เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องของตนเองในคำแต่ละคำที่ได้ฟัง

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ทรงมอบหมายให้พุทธบริษัทหนึ่งพุทธบริษัทใดเป็นผู้ที่รักษาคำสอนของพระองค์ แต่ต้องเป็นหน้าที่ของพุทธบริษัททุกคน

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ทุกสิ่ง เพราะฉะนั้น คำของผู้ที่ทรงตรัสรู้ ก็สามารถที่จะทำให้คนฟัง เกิดความเข้าใจถูกต้องได้ รู้ตามได้

~ ฟังพระธรรม ด้วยความเคารพ ทุกคำ ละเอียดลึกซึ้ง อย่างยิ่ง จะไม่มีความเข้าใจอย่างถูกต้องถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ถ้ามีความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น โลกเจริญแน่ เพราะคุณความดี

~ ถ้าไม่เข้าใจธรรม ก็จะไม่รู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก ก็เชื่อ ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรม เขาว่าอะไร ก็เชื่อเขา

~ เป็นชาวพุทธที่เคารพในพระรัตนตรัย จะฟังคำของใคร นอกจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ เห็นประโยชน์ของความดีมากแค่ไหน ถ้าเห็นว่าความดี มีประโยชน์มาก มีหรือที่จะรีรอ (ในการทำความดี) เพราะฉะนั้น ก็เป็นไปตามความเข้าใจทั้งหมด ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

~ ความดีเกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีเหตุปัจจัย

~ กำลังของอกุศล มากมายมหาศาลแค่ไหน ประมาทไม่ได้เลย ขณะที่กำลังไม่ประมาทชั่วขณะนั้นเท่านั้นที่ไม่ประมาท แต่ขณะต่อไปก็ประมาทแล้ว (ถ้าเป็นอกุศล)

~ กิเลสทั้งหลาย จะหมดไปได้ ก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจ

~ ไม่ไปทางผิด เพราะทางผิดไม่ทำให้เข้าใจอะไร

~ การฟังพระธรรม แม้จะเข้าใจไม่มาก ซึ่งก่อนจะรู้ความจริง ถ้าไม่มีความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยอย่างนี้แล้วจะถึงความเจริญบริบูรณ์ได้อย่างไร เพราะฉะนั้น จึงรู้ว่ามีหนทางเดียว ซึ่งไม่ใช่ใครด้วย แต่ความเข้าใจถูกต่างหากที่เกิดขึ้นจากการฟัง มีความเข้าใจ ไตร่ตรอง แม้เพียงเล็กน้อย ค่อยๆ ปรุงแต่งไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีความเห็นถูกในคำที่ได้ฟังและในสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น ขาดการฟังไม่ได้ แม้จะน้อยเหลือเกิน แต่ก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละนิดๆ

~ ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่มีขณะไหนเลยที่ขาดจิต เพราะเหตุว่า จิตเกิดแล้วดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด นี่คือความเป็นธรรมดาของธรรม ว่า ต้องเป็นอย่างนี้ ตราบใดที่ไม่ใช่จุติจิตของพระอรหันต์ ทันทีที่จิตนั้นดับ ต้องเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันที ตั้งแต่เกิดจนถึงเดี๋ยวนี้ จิตไม่เคยขาดเลยและต่อไปจนถึงตาย แม้ตายไปแล้วก็ไม่ขาดจิต เพราะเมื่อจุติจิตเกิดขึ้นแล้วดับไปก็มีจิตอื่นที่ทำกิจอื่นเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่น (คือ ปฏิสนธิจิต เกิดสืบต่อทันที)

~ ประโยชน์ยิ่งใหญ่ คือ ความเข้าใจธรรม ถ้าสามารถเข้าใจได้ ประโยชน์มหาศาล ทั้งตนเองและผู้อื่น

~ มาถึงยุคสมัยที่ชักชวนกันบวช โดยไม่รู้ว่าบวชทำอะไรได้และทำอะไรไม่ได้ และบวชเพื่ออะไร ถ้าบวชโดยที่ไม่ศึกษาธรรม ควรบวชไหม? แล้วก่อนบวชเข้าใจธรรม ไหม? ถ้าไม่เข้าใจธรรม ควรบวชไหม? อยู่ดีๆ ไม่รู้อะไรแล้ว ไปบวช ลองคิดดูว่า ทำลายพระพุทธศาสนา ใช่ไหม? เต็มบ้านเต็มเมือง บวชกันทุกปี หรือ อาจจะตลอดปีก็ได้ แล้วชักชวนกันไปบวช เสียเงินเสียทอง

~ ความจริงต้องเป็นความจริง ผู้บวชให้ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ได้เงินหรือเปล่า? (รับเงิน, ได้เงิน) แล้วอย่างนี้หรือคือพระพุทธศาสนา วิกฤติระดับไหน? วิกฤติ จนไม่เหลือ เพราะอะไร เพราะช่วยกันทำลาย ส่งเสริมการทำลาย ถ้าไม่มีการพูดให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ประเทศชาติก็ล่มสลาย เพราะเหตุว่าคุณธรรม ก็ไม่มี มีการทุจริตทุกระดับ มาจากไหน มาจากความไม่รู้ความจริง ว่า อะไรเป็นโทษ อะไรเป็นคุณ อะไรเป็นสิ่งที่ควร อะไรเป็นสิ่งที่ไม่ควร เพราะฉะนั้น เราก็รู้ใช่ไหมว่า "ประเทศชาติและพระศาสนา" ถ้าไม่มีพระศาสนา จะดำรงรักษาความเป็นชาติที่ดีไว้ได้อย่างไร ก็ต้องล่มสลาย เพราะเหตุว่า ถ้าไม่เข้าใจธรรม อกุศลก็เจริญ (คือ เกิดมากขึ้น พอกพูนขึ้น) แล้วประเทศชาติจะอยู่ได้อย่างไร

~ ถ้าภิกษุผู้รับเงินรับทองเมื่อไหร่ จะต่างอะไรกับคนธรรมดา จะต่างอะไรกับชาวบ้าน จะต่างอะไรกับคฤหัสถ์

~ คนที่บวชโดยไม่เข้าใจธรรม รับเงินและทอง เขาไปอบายแน่นอน
~ ถ้าพฤติกรรมทั้งหมด เหมือนคฤหัสถ์ทุกประการ ต่างกันแต่เพียงจีวร ผ้าที่ใส่ คนนั้นก็ไม่ใช่พระภิกษุ เพราะพฤติกรรม คือ คฤหัสถ์

~ เป็นภิกษุ เพื่อขัดเกลากิเลส คำนี้คำเดียว ถ้าเป็นไปเพื่อพอกพูนกิเลส นั่น ไม่ตรงแล้ว ไม่ใช่ภิกษุแล้ว ใครส่งเสริมให้ทำสิ่งที่ผิด นั่นก็คือ ช่วยกันทำลายพระพุทธศาสนา

~ ศึกษาธรรมให้เข้าใจ เห็นความต่างกันของเพศคฤหัสถ์กับบรรพชิต มีทางใดที่คฤหัสถ์ซึ่งเป็นพุทธบริษัทได้ฟังธรรมแล้วเข้าใจแล้ว สามารถที่จะเป็นประโยชน์แก่พุทธบริษัทด้วยกัน ก็กระทำทุกอย่างที่จะกระทำได้ ด้วยความหวังดีที่จะดำรงพระพุทธศาสนาต่อไป ไม่อย่างนั้นก็จะมีแต่การทำลาย เพราะเหตุว่า ไม่ได้เข้าใจพระธรรมและพระวินัย

~ โทษของผู้ที่ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแค่ไหน ไม่ใช่เห็นผิดเฉพาะตน แต่ยังแพร่กระจายความคิดเห็นที่ผิดๆ ให้คนอื่นหลงทาง เท่ากับเป็นการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ วิริยะ (ความเพียร) ไม่มีใครทำ ไม่มีใครสร้างวิริยะ เหมือนไม่มีใครสร้างเวทนาเจตสิก เพราะฉะนั้น เราจะไปใช้วิริยะน่ะผิด เราทำไม่ได้ เราใช้วิริยะไม่ได้ วิริยะก็ต้องเกิดเพราะปัจจัยของเขา เหมือนความรู้สึกซึ่งต้องเกิดเพราะปัจจัย

~ ขอให้ทุกคนคิดถึงแต่ละขณะที่มีค่า ที่เกิดเป็นมนุษย์ และมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ซึ่งจะมีเวลาต่อไปอีกไม่นานเลย

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๔๘

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 29 เม.ย. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 2    โดย pakati58  วันที่ 29 เม.ย. 2561

สาธุ

การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด


ความคิดเห็น 3    โดย peem  วันที่ 29 เม.ย. 2561

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย thilda  วันที่ 29 เม.ย. 2561

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย มกร  วันที่ 30 เม.ย. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย jaturong  วันที่ 30 เม.ย. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 9    โดย ปาริชาตะ  วันที่ 30 เม.ย. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย panasda  วันที่ 30 เม.ย. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย j.jim  วันที่ 1 พ.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 12    โดย kukeart  วันที่ 1 พ.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 13    โดย kullawat  วันที่ 9 พ.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 14    โดย Triratna  วันที่ 1 มิ.ย. 2561

ขออนุโมทนาครับ .สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ