
ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
[เล่มที่ 32] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม 1 ภาค 1 - หน้า 270 - 272
ก็สมัยนั้น พระศาสดาของเราทั้งหลายบรรลุพระปรมาภิสัมโพธิญาณแล้ว ประกาศพระธรรมจักรอันบวร เสด็จถึงกรุงราชคฤห์โดยลำดับ. ครั้งนั้น พระอัสสชิเถระในจำนวนภิกษุปัญจวัคคีย์ ในระหว่างภิกษุทั้งหลาย ที่ทรงส่งไปประกาศคุณของพระรัตนตรัยว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเที่ยวไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก ดังนี้ ในสมัยที่กล่าวว่า พระอรหันต์ ๖๑ องค์ อุบัติขึ้นแล้วในโลก ดังนี้ ท่านหวนกลับมายังกรุงราชคฤห์ ในวันรุ่งขึ้น ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตรยังกรุงราชคฤห์ แต่เช้าตรู่. สมัยนั้น อุปติสสปริพาชกทำภัตกิจแต่เช้ามืด แล้วเดินไปอารามปริพาชก ได้เห็นพระเถระจึงคิดว่า ชื่อว่าบรรพชิตเห็นปานนี้เราไม่เคยเห็นเลย ภิกษุนี้คงจะเป็นภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ในบรรดาภิกษุผู้เป็นอรหันต์ หรือผู้บรรลุอรหัตตมรรคในโลก ถ้ากระไร เราควรเข้าไปหาภิกษุนี้แล้วถามปัญหาว่า ท่านผู้มีอายุ ท่านบวชจำเพาะใคร หรือใครเป็นศาสดาของท่าน หรือว่าท่านชอบใจธรรมของใคร. ลำดับนั้น เขาได้มีความคิดว่า มิใช่กาลที่จะถามปัญหากะภิกษุนี้ๆ เข้าไปยังละแวกบ้านเที่ยวบิณฑบาตอยู่ ไฉนหนอเราพึงติดตามภิกษุนี้ไปข้างหลังๆ เพราะการติดตามภิกษุนี้ไปนั้น เป็นทางที่ผู้ต้องการเข้าไปรู้แล้ว. อุปติสสปริพาชก เห็นพระเถระได้บิณฑบาตแล้ว ไปยังโอกาสแห่งหนึ่ง และรู้ว่าพระเถระนั้นต้องการจะนั่ง จึงได้ลาดตั่งปริพาชกของตนถวาย แม้ในเวลาเสร็จภัตกิจ ก็ได้ถวายน้ำ ในคณโฑน้ำของตนแก่พระเถระนั้น กระทำอาจริยวัตรอย่างนี้แล้ว กระทำปฏิสันถารอ่อนหวาน กับพระเถระผู้กระทำภัตกิจเสร็จแล้ว ถามว่า ท่านผู้มีอายุ อินทรีย์ทั้งหลายของท่านผ่องใสนักแล ฉวีวรรณบริสุทธิ์ผุดผ่อง ผู้มีอายุ ท่านบวชจำเพาะใคร หรือใครเป็นศาสดาของท่าน หรือว่าท่านชอบใจธรรมของใคร. พระเถระกล่าวว่า ผู้มีอายุ พระมหาสมณะศากยบุตร ออกบวชจากศากยตระกูลมีอยู่ เราบวชจำเพาะพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น และพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นศาสดาของเรา เราชอบใจธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น. ลำดับนั้น อุปติสสปริพาชก จึงถามพระเถระนั้นว่า ก็พระศาสดาของท่านผู้มีอายุ มีวาทะอย่างไร กล่าวอย่างไร. พระเถระคิดว่า ธรรมดาปริพาชกทั้งหลายนี้ เป็นปฏิปักษ์ต่อพระศาสนา เราจักแสดงความลึกซึ้งในพระศาสนาแก่ปริพาชกนี้ เมื่อจะถ่อมตนว่า เรายังเป็นผู้ใหม่จึงกล่าวว่า ผู้มีอายุ เราแลเป็นผู้ใหม่บวชยังไม่นาน เพิ่งมาสู่มาสู่พระวินัยนี้ เราไม่อาจแสดงธรรมโดยพิสดารได้ก่อน. ปริพาชกคิดว่า เราชื่อว่า อุปติสสะ ท่านจงกล่าวน้อยหรือมากตามความสามารถ การแทงตลอดธรรมนั่นด้วยร้อยนับพันนัย เป็นภาระของเรา จึงกล่าวว่า
อปฺปํ วา พหุํ วา ภาสสฺสุ อตฺถํเยว เม พฺรูหิ
อตฺเถเนว เม อตฺโถ กึ กาหสิ พฺยญฺชนํ พหุํ
ท่านจงกล่าวเถิด น้อยก็ตามมากก็ตาม จงกล่าวเฉพาะแต่ใจความแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องการใจความเท่านั้น. ท่านจะทำพยัญชนะให้มากไปทำไม.
เมื่อกล่าวอย่างนี้แล้ว พระเถระจึงกล่าวคาถาว่า เย ธมฺมา เหตุปฺ ปภวา (ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด) ดังนี้เป็นต้น. ปริพาชกฟังเฉพาะ ๒ บทแรกเท่านั้น ก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรคอันสมบูรณ์ ด้วยนัยพันหนึ่ง. ทำ ๒ บทหลังให้จบลง ในเวลาเป็นพระโสดาบันแล้ว.
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น