เรื่องเมณฑกเศรษฐี
โดย chatchai.k  10 มิ.ย. 2564
หัวข้อหมายเลข 34391

[เล่มที่ 43] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 47

๑๐. เรื่องเมณฑกเศรษฐี [๑๙๑]

ขอความเบื้องตน หนาที่ 47

พระศาสดาเสด็จไปภัททิยนคร หนาที่ 47

เหตุที่ไดนามวาเมณฑกเศรษฐี หนาที่ 47

บุรพกรรมของทานเศรษฐี หนาที่ 48

เศรษฐีประสบฉาตกภัย หนาที่ 49

เศรษฐีถวายภัตแกพระปจเจกพุทธเจา หนาที่ 51

ทั้ง ๕ คนปรารถนาใหไดอยูรวมกัน หนาที่ 53

อานิสงสของการถวายทาน หนาที่ 55

เศรษฐีและคณะไปเกิดที่ภัททิยนคร หนาที่ 56

โทษของคนอื่นเห็นไดงาย หนาที่ 58

แกอรรถ หนาที่ 58



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 10 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎกขุททกนิกายคาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 47

๑๐. เรื่องเมณฑกเศรษฐี [๑๙๑]

ขอความเบื้องตน

พระศาสดา เมื่อทรงอาศัยภัททิยนครประทับอยูในชาติยาวัน (๑) ทรง ปรารภเมณฑกเศรษฐี ตรัสพระธรรมเทศนานี้วา "สุทสฺส วชฺชมฺเส" เปนตน

พระศาสดาเสด็จไปภัททิยนคร

ไดยินวา พระศาสดาเมื่อเสด็จเที่ยวจาริกไปในอังคุตตราปถชนบท ทั้งหลาย ทรงเห็นอุปนิสัยโสดาปตติผลของคนเหลานี้ คือ เมณฑกเศรษฐี ๑ ภรรยาของเศรษฐีนั้น ชื่อวานางจันทปทุมา ๑ บุตรชื่อธนัญชัยเศรษฐี ๑ หญิงสะใภชื่อนางสุมนเทวี ๑ หลานสาวชื่อวิสาขา ๑ ทาสชื่อปุณณะ ๑ จึงเสด็จไปสูภัททิยนคร ประทับอยูในชาติยาวัน เมณฑกเศรษฐีไดสดับ การเสด็จมาของพระศาสดาแลว

เหตุที่ไดนามวาเมณฑกเศรษฐี

ถามวา "ก็เพราะเหตุไร เศรษฐีนั่นจึงชื่อวา เมณฑกเศรษฐี" แกวา ไดยินวา แพะทองคําทั้งหลายประมาณเทาชาง มาและโคอุสภะ ชําแรกแผนดินเอาหลังดุนหลังกันผุดขึ้นในที่ประมาณ ๘ กรีส ที่ขางหลัง เรือนของเศรษฐีนั้น บุญกรรมใสกลุมดาย ๕ สีไวในปากของแพะเหลานั้น เมื่อมีความตองการดวยเภสัชมีเนยใส น้ํามัน น้ําผึ้ง และน้ําออยเปนตน หรือดวยวัตถุมีผาเครื่องปกปด เงินและทองเปนตน ชนทั้งหลานยอมนํา กลุมดายออกจากปากของแพะเหลานั้น เนยใส น้ํามัน น้ําผึ้ง น้ําออย


๑. ปาไมมะลิ ๒. ที่อื่นๆ วา สุมนาเทวี


ความคิดเห็น 2    โดย chatchai.k  วันที่ 10 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎกขุททกนิกายคาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 48

ผาเครื่องปกปด เงินและทอง ยอมไหลออกจากปากแพะแมตัวหนึ่ง ก็เปน ของเพียงพอแกชาวชมพูทวีป. จําเดิมแตนั้นมา เศรษฐีนั้นจึงปรากฏวา เมณฑกเศรษฐี.

บุรพกรรมของทานเศรษฐี

ถามวา ก็บุรพกรรมของเศรษฐีนั้นเปนอยางไร แกวา ไดยินวา ในกาลแหงพระพุทธเจาทรงพระนามวาวิปสสี เศรษฐีนั้นเปนหลานของ กุฎมพีชื่ออวโรชะ ไดมีชื่อวา อวโรชะ ซึ่งมีชื่อพองกับลุง. ครั้งนั้น ลุงของเขาปรารภเพื่อจะสรางพระคันธกุฎีเพื่อพระศาสดา. เขาไปสูสํานัก ของลุงแลว กลาววา " ลุง แมเราทั้งสองจงสรางรวมกันทีเดียว" ในเวลาที่ถูกลุงนั้นหามวา "เราคนเดียวเทานั้นจักสรางไมใหสาธารณะกับดวย ชนเหลาอื่น" จึงคิดวา "เมื่อลุงสรางคันธกุฎีในที่นี้แลว เราควรไดศาลา รายในที่นี้" จึงใหคนนําเครื่องไมมาจากปา ใหทําเสาอยางนั้น คือ "เสา ตนหนึ่งบุดวยทองคํา, ตนหนึ่งบุดวยเงิน, ตนหนึ่งบุดวยแกวมณี" ให ทําขื่อ พรึง บานประตู บานหนาตาง กลอน เครื่องมุงแลอิฐแมทั้งหมด บุดวยวัตถุมีทองคําเปนตนเทียวใหทําศาลารายสําเร็จดวยรัตนะ ๗ประการ แดพระตถาคตในที่ตรงหนาพระคันธกุฎี ในเบื้องบนแหงศาลารายนั้น ไดมีจอมยอด ๓ ยอด อันสําเร็จแลวดวยทองคําอันสุกเปนแทงแกวผลึก และแกวประพาฬ. ใหสรางมณฑปประดับดวยแกว ในที่ทามกลางแหง ศาลาราย. ใหตั้งธรรมาสนไว. เทาธรรมาสนนั้นไดสําเร็จดวยทองคําสีสุก เปนแทง แมแคร๔ อันก็เหมือนกัน. แตใหกระทําแพะทองคํา ๔ ตัว ตั้งไวในภายใตแหงเทาทั้ง ๔ แหงอาสนะ. ใหกระทําแพะทองคํา ๒ ตัว ตั้งไวภายใตตั่งสําหรับรองเทา. ใหกระทําแพะทองคํา ๖ ตัว ตั้งแวดลอม มณฑป: ใหถักธรรมาสนดวยเชือกเสนเล็กสําเร็จดวยดายกอนแลว จึงให


ความคิดเห็น 3    โดย chatchai.k  วันที่ 10 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎกขุททกนิกายคาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 49

ถักดวยเชือกอันสําเร็จดวยทองคําในทามกลาง แลวใหถักดวยเชือกสําเร็จ ดวยแกวมุกดาในเบื้องบน; พนักแหงธรรมาสนนั้น ไดสําเร็จดวยไม จันทน. ครั้นใหศาลารายสําเร็จอยางนั้นแลว เมื่อจะกระทําการฉลองศาลา จึงนิมนตพระศาสดาพรอมดวยภิกษุ ๖ ลาน ๘ แสน ไดถวายทานตลอด ๔ เดือน. ในวันสุดทายไดถวายไตรจีวร. บรรดาภิกษุเหลานั้น จีวรมี คาพันหนึ่งถึงแกภิกษุผูใหมในสงฆแลว.

เขาทําบุญกรรม ในกาลแหงพระวิปสสีพุทธเจาอยางนั้นแลว เคลื่อน จากอัตภาพนั้น ทองเที่ยวไปในเทวดาและในมนุษยทั้งหลาย ในภัทรกัปนี้ เกิดในสกุลเศรษฐีมีโภคะมากในกรุงพาราณสีไดมีนามวา พาราณสีเศรษฐี

เศรษฐีประสบฉาตกภัย

วันหนึ่ง เศรษฐีไปสูที่บํารุงพระราชา พบปุโรหิต จึงกลาววา "ทานอาจารย ทานตรวจดูฤกษยามหรือ"

ปุโรหิต. ขอรับ ผมตรวจดู, เราทั้งหลายจะมีการงานอะไรอื่น?

เศรษฐี. ถาอยางนั้น ความเปนไปในชนบทจักเปนเชนไร?

ปุโรหิต. ภัยอยางหนึ่ง จักมี.

เศรษฐี. ชื่อวาภัยอะไร?

ปุโรหิต. ฉาตกภัย (๑) ทานเศรษฐี.

เศรษฐี. จักมี เมื่อไร

ปุโรหิต. จักมี โดยลวงไป ๓ ป แตปนี้

เศรษฐี ฟงคํานั้นแลวใหบุคคลทํากสิกรรมเปนอันมากรับ (ซื้อ)


(๑) ภัยคือความอดอยากหรือความหิว


ความคิดเห็น 4    โดย chatchai.k  วันที่ 10 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎกขุททกนิกายคาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 50

จําเพาะขาวเปลือกแมดวยทรัพยที่มีอยูในเรือน ใหกระทําฉาง ๑,๒๕๐ ฉาง บรรจุฉางทั้งหมดใหเต็มดวยขาวเปลือก เมื่อฉางไมพอ ก็บรรจุภาชนะ มี ตุม เปนตน ใหเต็มแลว ขุดหลุมฝงขาวเปลือกที่เหลือในแผนดิน ใหขยําขาวเปลือกที่เหลือจากที่ฝงไวกับดวยดิน ฉาบทาฝาทั้งหลาย

โดยสมัยอื่นอีก เศรษฐีนั้น เมื่อภัยคือความอดอยากถึงเขาแลว ก็บริโภคขาวเปลือกตามที่เก็บไว เมื่อขาวเปลือกที่เก็บไวในฉางและในภาชนะมีตุมเปนตน หมดแลว จึงใหเรียกชนผูเปนบริวารมา แลว กลาววา "พอทั้งหลาย ทานทั้งหลายจงไป จงเขาไปสูภูเขาแลวเปนอยู ประสงคจะมาสูสํานักของเรา ก็จงมาในเวลาที่มีภิกษาอันหาไดงาย ถาไมอยากจะมา ก็จงเปนอยูในที่นั้นเถิด" ชนเหลานั้นไดกระทําเหมือนอยางนั้นแลว สวนทาสผูทําการรับใช ๑ คนหนึ่ง ชื่อวา ปุณณะ เหลืออยูในสํานักของเศรษฐีนั้น รวมเปนคน ๕ คนเทานั้น คือ เศรษฐี ภรรยาของเศรษฐี บุตรของเศรษฐี บุตรสะใภของเศรษฐี กับ นายปุณณะนั้น (ที่ยังคงเหลืออยู) .

ชนเหลานั้น แมเมื่อขาวเปลือกที่ฝงไวในหลุมในแผนดินหมดสิ้นแลว พังดินที่ฉาบไวที่ฝาแลวแชน้ํา ยังอัตภาพใหเปนไปดวยขาวเปลือก ที่ไดแลวจากฝานั้น

ครั้งนั้น ภรรยาของเศรษฐีนั้น เมื่อความหิวครอบงําอยู เมื่อดินสิ้นไปอยู พังดินที่เหลืออยูในสวนแหงฝาทั้งหลายลง แลวแชน้ํา ไดขาวเปลือกประมาณกึ่งอาฬหกะ (๒) ตํา แลวถือเอาขาวสารประมาณทะนานหนึ่งใสไวในหมอใบหนึ่ง เพราะความกลัว แตโจรวา "ในเวลาเกิดฉาตกภัย


๑. เวยฺยาวจฺจกโร โดยพยัญชนะแปลวา ผูกระทําซึ่งกรรมแหงบุคคลผูขวนขวาย. ๒. อาฬหกะ หนึ่งคือ ๔ ทะนาน กึ่งอาฬหกะ = ๒ ทะนาน


ความคิดเห็น 5    โดย chatchai.k  วันที่ 10 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎกขุททกนิกายคาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 51

พวกโจรมีมาก" ปดแลวฝงตั้งไวในแผนดิน ลําดับนั้น เศรษฐีมาจากที่บํารุงแหงพระราชาแลว กลาวกะนางวา "นางผูเจริญ ฉันหิว อะไรๆ มีไหม" นางนั้น ไมไดกลาวถึงสิ่งที่มีอยูวา "ไมมี" กลาววา "นาย ขาวสารมีอยูทะนานหนึ่ง"

เศรษฐี. ขาวสารทะนานหนึ่งนั้น อยูที่ไหน

ภรรยา. ฉันฝงตั้งไว เพราะกลัวแตโจร

เศรษฐี. ถากระนั้น หลอนจงขุดมันขึ้นมา แลวหุงตมอะไรๆ เถิด

ภรรยา. ถาเราจักตมขาวตม ก็จักเพียงพอกัน ๒ มื้อ ถาเราจัก หุงขาวสวย ก็จักเพียงพอเพียงมื้อเดียวเทานั้น ฉันจักหุงตมอะไรละ นาย

เศรษฐี. ปจจัยอยางอื่นของพวกเราไมมี พวกเราตอบริโภคขาวสวยแลวก็จักตาย หลอนจงหุงขาวสวยนั่นแหละ

ภรรยาแหงเศรษฐีนั้น หุงขาวสวยแลว แบงใหเปน ๕ สวน คดขาวสวยสวนหนึ่งวางไวขางหนาของเศรษฐี

เศรษฐีถวายภัตแกพระปจเจกพุทธเจา

ในขณะนั้น พระปจเจกพุทธเจาองคหนึ่งที่ภูเขาคันธมาทน ออกจากสมาบัติ ทราบวา ในภายในสมาบัติ ความหิวยอมไมเบียดเบียน เพราะผลแหงสมาบัติ แตวา เมื่อพระปจเจกพุทธเจาทั้งหลายออกจากสมาบัติแลว ความหิวมีกําลังยอมเกิดขึ้น เปนราวกะวาเผาพื้นทองอยู เพราะฉะนั้น พระปจเจกพุทธเจาเหลานั้น ตรวจดูฐานะที่จะได (อาหาร) แลว จึงไป

ก็ในวันนั้น ชนทั้งหลาย ถวายทานแกพระปจเจกพุทธเจาเหลานั้น แลว ยอมไดสมบัติ บรรดาสมบัติมีตําแหนงเสนาบดีเปนตนอยางใดอยาง


ความคิดเห็น 6    โดย chatchai.k  วันที่ 10 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎกขุททกนิกายคาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 52

หนึ่ง เพราะฉะนั้น พระปจเจกพุทธเจาแมนั้น ตรวจดูอยูดวยทิพยจักษุ ดําริวา ฉาตกภัย เกิดขึ้นแลวในชมพูทวีปทั้งสิ้น และในเรือนเศรษฐี เขาหุงขาวสุก (๑) อันสําเร็จดวยขาวสารทะนานหนึ่งเทานั้นเพื่อคน ๕ คน ชนเหลานั้นจักมีศรัทธา หรืออาจเพื่อจะทําการสงเคราะหแกเราหรือหนอ แล" เห็นความที่ชนเหลานั้นเปนผูมีศรัทธา ทั้งสามารถเพื่อจะทําการ สงเคราะห จึงถือเอาบาตรจีวรไปแสดงตนยืนอยูที่ประตู (เรือน) ขางหนาของเศรษฐี. เศรษฐีนั้น พอเห็นทานเขา ก็มีจิตเลื่อมใส คิดวา "เรา ประสบฉาตกภัยเห็นปานนี้ เพราะความที่เราไมใหทานแมในกาลกอน ก็แลภัตนี้พึงรักษาเราไวสิ้นวันเดียวเทานั้น สวนภัตที่เราถวายแลวแกพระผูเปนเจา จักนําประโยชนเกื้อกูลมาแกเราหลายโกฏิกัปป์" แลวนําถาดแหงภัตนั้นออกมา เขาไปหาพระปจเจกพุทธเจา ไหวดวยเบญจางคประดิษฐ นิมนตใหเขาไปสูเรือน เมื่อทานนั่งบนอาสนะแลว จึงลางเทา (ของทาน) วาง (ถาดภัต) ไวบนตั่งทอง แลวถือเอาถาดภัตนั้น มาตักลงในบาตรของพระปจเจกพุทธเจา เมื่อภัตเหลือกึ่งหนึ่ง พระปจเจกพุทธเจา เอามือปดบาตรเสีย

ทีนั้น เศรษฐีจึงกลาวกะพระปจเจกพุทธเจานั้นวา "ขาแตทาน ผูเจริญ นี้เปนสวนหนึ่งแหงขาวสุกที่เขาหุงไวเพื่อคน ๕ คน ดวยขาวสาร ทะนานหนึ่ง กระผมไมอาจเพื่อจะแบงภัตนี้ใหเปน ๒ สวน ขอทาน จงอยากระทําการสงเคราะหแกกระผมในโลกนี้เลย กระผมใครเพื่อจะถวายไมใหมีสวนเหลือ" แลวไดถวายภัตทั้งหมด ก็แลครั้นถวายแลว ไดตั้งความปรารถนาวา "ขาแตทานผูเจริญ ขาพเจาอยาไดประสบ


๑. แปลหักประโยคกรรมเปนประโยคกัตตุ


ความคิดเห็น 7    โดย chatchai.k  วันที่ 10 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎกขุททกนิกายคาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 53

ฉาตกภัยเห็นปานนี้ ในที่ขาพเจาเกิดอีกเลย ตั้งแตบัดนี้ไป ขาพเจาพึงสามารถเพื่อจะใหภัตอันเปนพืชแกชาวชมพูทวีปทั้งสิ้น ไมพึงทําการงาน เลี้ยงชีพดวยมือของตนเอง ในขณะที่ขาพเจาใชใหคนชําระฉาง ๑,๒๕๐ ฉางแลว สนานศีรษะนั่งอยูที่ประตูแหงฉางเหลานั้นแลว แลดูในเบื้องบน เทานั้น ธารแหงขาวสาลีแดง พึงตกลงมายังฉางทั้งหมดใหเต็มเพื่อ ขาพเจา และผูนี้นั่นแหละจงเปนภรรยา ผูนี้นั่นแหละจงเปนบุตร ผูนี้ นั่นแหละจงเปนหญิงสะใภ ผูนี้นั่นแหละจงเปนทาสของขาพเจา ใน สถานที่ขาพเจาเกิดแลวๆ "

ทั้ง ๕ คนปรารถนาใหไดอยูรวมกัน

ฝายภรรยาของเศรษฐีนั้น ก็คิดวา "เมื่อสามีของเราถูกความหิวเบียดเบียนอยู เราก็ไมอาจเพื่อจะบริโภคได" จึงถวายสวนของตนแก พระปจเจกพุทธเจา แลวตั้งความปรารถนาวา "ขาแตทานผูเจริญ จําเดิมแตนี้ ดิฉันไมพึงประสบฉาตกภัยเห็นปานนี้ ในสถานที่ดิฉันเกิดแลว อนึ่ง แมเมื่อดิฉันวางถาดภัตไวขางหนา ใหอยูซึ่งภัตแกชาวชมพูทวีปทั้งสิ้น ดิฉันยังไมลุกขึ้นเพียงใด ที่แหงภัตที่ดิฉันตักแลวๆ จงเปนของบริบูรณ อยูอยางเดิมเพียงนั้น ทานผูนี้แหละจงเปนสามี ผูนี้แหละจงเปนบุตร ผูนี้แหละจงเปนหญิงสะใภ ผูนี้แหละจงเปนทาส (ของดิฉัน) " แมบุตร ของเศรษฐีนั้น ก็ถวายสวนของตนแกพระปจเจกพุทธเจาแลว ตั้งความ ปรารถนาวา "จําเดิมแตนี้ไป ขาพเจาไมพึงประสบฉาตกภัยเห็นปานนี้ อนึ่ง เมื่อขาพเจาถือเอาถุงกหาปณะหนึ่งพัน แมใหกหาปณะ แกชาวชมพูทวีปทั้งสิ้นอยู ถุงนี้จงเต็มอยูอยางเดิม ทานทั้งสองนี้นั่นแหละจงเปนมารดาบิดา หญิงคนนี้จงเปนภรรยา ผูนี้จงเปนทาส ของขาพเจา"


ความคิดเห็น 8    โดย chatchai.k  วันที่ 10 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎกขุททกนิกายคาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 54

แมลูกสะใภของเศรษฐีนั้น ถวายสวนของตนแกพระปจเจกพุทธเจาแลว ก็ตั้งความปรารถนาวา "จําเดิมแตนี้ไป ดิฉันไมพึงพบเห็นฉาตกภัยเห็นปานนี้ อนึ่ง เมื่อดิฉันตั้งกระบุงขาวเปลือกกระบุงหนึ่งไวขางหนา แมใหอยูซึ่งภัตอันเปนพืชแกชาวชมพูทวีปทั้งสิ้น ความหมดสิ้นไปอยาปรากฏ ทานทั้งสองนี้นั่นแหละจงเปนแมผัวและพอผัว ผูนี้นั่นแหละจงเปนสามี ผูนี้นั่นแหละจงเปนทาส (ของดิฉัน) " แมทาสของเศรษฐีนั้น ก็ถวาย สวนของตนแกพระปจเจกพุทธเจาแลว ก็ตั้งความปรารถนาวา "จําเดิม แตนี้ไป ขาพเจาไมพึงพบเห็นฉาตกภัยเห็นปานนี้ คนเหลานี้ทั้งหมดจง เปนนาย และเมื่อขาพเจาไถนาอยู รอย ๗ รอย ประมาณเทาเรือโกลน คือ 'ขางนี้ ๓ รอย ขางโนน ๓ รอย ในทามกลาง ๑ รอย จงเปนไป" นายปุณณะนั้น ปรารถนาตําแหนงเสนาบดีก็สามารถจะไดในวันนั้นเทียว แตวา ดวยความรักในนายทั้งหลาย เขาจึงตั้งความปรารถนาวา "คนเหลานี้นั่นแหละจงเปนนายของขาพเจา" ในที่สุดแหงถอยคําของชนทั้งหมด พระปจเจกพุทธเจากลาววา "จงเปนอยางนั้นเถิด" แลวกระทําอนุโมทนาดวยคาถาของพระปจเจกพุทธเจา แลวคิดวา "เรายังจิตของชนทั้งหลายเหลานี้ใหเลื่อมใส ยอมควร" จึงอธิษฐานวา "ชนเหลานี้ จงเห็นเราจนถึงภูเขาคันธมาทน" ดังนี้ แลวก็หลีกไป แมชนเหลานั้น ไดยืนแลดูอยูเทียว พระปจเจกพุทธเจานั้นไปแลว แบงภัตนั้นกับดวยพระปจเจกพุทธเจา ๕๐๐ องค ดวยอานุภาพแหงพระปจเจกพุทธเจานั้น ภัตนั้นเพียงพอแลวแกพระปจเจกพุทธเจาทั้งหมด ชนแมเหลานั้นไดยืน แลดูอยูทีเดียว


ความคิดเห็น 9    โดย chatchai.k  วันที่ 10 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎกขุททกนิกายคาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 55

อานิสงสของการถวายทาน

ก็เมื่อเวลาเที่ยงลวงไปแลว ภรรยาเศรษฐีลางหมอขาวแลวปดตั้งไว ฝายเศรษฐีถูกความหิวบีบคั้น นอนแลวหลับไป เศรษฐีนั้นตื่นขึ้นใน เวลาเย็น กลาวกะภรรยาวา "นางผูเจริญ ฉันหิวเหลือเกิน ขาวตัง ๑ กนหมอมีอยูบางไหมหนอ" ภรรยานั้น แมทราบความที่ตนลางหมอตั้ง ไวแลว ก็ไมกลาววา "ไมมี" "คิดวาเราเปดหมอขาวแลวจึงจะบอก" ดังนี้แลว จึงลุกขึ้นไปสูที่ใกลหมอขาวแลวเปดหมอขาว

ในขณะนั้นเอง หมอขาวเต็มดวยภัต มีสีเชนกับดอกมะลิตูม ไดดุนฝาละมีตั้งอยูแลว ภรรยานั้นเห็นภัตนั้นแลว เปนผูมีสรีระอันปติถูกตองแลว กลาวกะเศรษฐีวา "จงลุกขึ้นเถิดนาย ดิฉันลางหมอขาวปดไว แตหมอขาวนั้นนั่นเต็มดวยภัต มีสีเชนกับดวยดอกมะลิตูม ชื่อวา บุญทั้งหลายควรที่จะกระทํา ชื่อวาทานควรจะให ขอทานจงลุกขึ้นเถิด นาย บริโภคเสียเถิด" ภรรยานั้นไดใหภัตแกบิดาและบุตรทั้งสองแลว เมื่อบิดาและบุตรนั้นบริโภคเสร็จแลว นางนั่งบริโภคกับดวยลูกสะใภแลว ไดใหภัตแกนายปุณณะ ที่แหงภัตอันชนเหลานั้นตักแลวๆ ยอมไมสิ้นไป ปรากฏเฉพาะตรงที่ตักดวยทัพพีคราวเดียวเทานั้น

ในวันนั้นนั่นแล ฉางเปนตน ก็กลับเต็มแลวโดยทํานองที่เต็มในกอนนั่นแล นางใหกระทําการโฆษณาในเมืองวา "ภัตเกิดขึ้นแลวในเรือนของเศรษฐี ผูมีความตองการดวยภัตอันเปนพืชจงมารับเอา" มนุษยทั้งหลาย ถือเอาภัตอันเปนพืชจากเรือนของเศรษฐีนั้นแลว แม ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้น ก็อาศัยเศรษฐีนั้น ไดชีวิตแลวนั่นแล


๑. เมล็ดขาวอันไฟไหมทั้งหลาย.


ความคิดเห็น 10    โดย chatchai.k  วันที่ 10 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎกขุททกนิกายคาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 56

เศรษฐีและคณะไปเกิดที่ภัททิยนคร

เศรษฐีนั้นเคลื่อนจากอัตภาพนั้นแลว บังเกิดในเทวโลก ทองเที่ยว อยูในเทวโลกและมนุษยโลก ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในสกุลเศรษฐี ในภัททิยนคร แมภรรยาของเขาบังเกิดในสกุลมีโภคะมาก เจริญวัยแลว ก็ไดไปสูเรือนของทานเศรษฐีนั้นนั่นเอง แพะทั้งหลายมีประการดังกลาว แลว อาศัยกรรมในกาลกอนของเศรษฐีนั้นผุดขึ้นแลวที่ภายหลังเรือน แมบุตรก็ไดเปนบุตรของทานเหลานั้นแหละ หญิงสะใภก็ไดเปนหญิงสะใภเหมือนกัน ทาสก็ไดเปนทาสเทียว ตอมาวันหนึ่ง ทานเศรษฐีใครจะทดลองบุญของตน จึงใหคนชําระฉาง ๑,๒๕๐ ฉาง สนานศีรษะแลว นั่งที่ประตู แหงนดูเบื้องบน ฉางแมทั้งหมดเต็มแลวดวยขาวสาลีแดง มีประการดังกลาวแลว เศรษฐีนั้นใครจะทดลองบุญแมของชนที่เหลือ จึงกลาวกะภรรยาและบุตรเปนตนวา "เธอทั้งหลาย จงทดลองบุญแมของพวกเธอเถิด" ลําดับนั้น ภรรยาของเศรษฐีนั้น ประดับแลวดวยเครื่องอลังการทั้งปวง เมื่อมหาชนกําลังแลดูอยูนั้นแล ใชใหคนตวงขาวสารทั้งหลาย ใหหุงขาวสวยดวยขาวสารเหลานั้น นั่งบนอาสนะอันเขาปูลาดแลวที่ซุมประตู ถือทัพพีทองคํา แลวใหปาวรองวา "ผูมีความตองการดวยภัตจงมา แลวไดใหจนเดิมภาชนะที่ชนผูมาแลวๆ รับเอา เมื่อนางนั้นใหอยูแมจนหมดวัน ก็ปรากฏเฉพาะตรงที่ตักดวยทัพพีเทานั้น ก็ปทุมลักษณะเกิดเต็มฝามือขางซาย จันทรลักษณะเกิดเต็มฝามือขางขวา เพราะนางจับหมอขาวดวยมือซาย จับทัพพีดวยมือขวา แลวถวายภัตจนเต็มบาตรของภิกษุสงฆ แมของพระพุทธเจาในปางกอนทั้งหลาย ดวยประการดังนี้แล ก็เพราะเหตุที่นางถืออาธมกรกกรองน้ําถวายแกภิกษุสงฆ์


ความคิดเห็น 11    โดย chatchai.k  วันที่ 10 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎกขุททกนิกายคาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 57

เที่ยวไปๆ มาๆ ; ฉะนั้นจันทรลักษณะจึงเกิดเต็มฝาเทาเบื้องขวาของนาง, ปทุมลักษณะจึงเกิดจนเต็มฝาเทาเบื้องซายของนางนั้น. เพราะเหตุนี้ ญาติทั้งหลายจึงขนานนามของนางวา "จันทปทุมา" (๑)

แมบุตรของเศรษฐีนั้น สนานศีรษะแลว ถือเอาถุงกหาปณะพันหนึ่ง กลาววา "ผูมีความตองการดวยกหาปณะทั้งหลายจงมา" แลวไดใหจน เต็มภาชนะที่ชนผูมาแลวๆ รับเอา. กหาปณะพันหนึ่งก็คงมีอยูในถุงนั่น เอง. แมลูกสะใภของเศรษฐีนั้น ประดับดวยเครื่องอลังการทั้งปวง ถือ เอากระบุงขาวเปลือกแลว นั่งที่กลางแจง กลาววา "ผูมีความตองการ ดวยภัตอันเปนพืช จงมา" แลวไดใหจนเต็มภาชนะที่ชนผูมาแลวๆ รับเอา. กระบุง (ขาวเปลือก) ก็คงเต็มอยูตามเดิมนั่นเอง. แมทาสของ เศรษฐีนั้น ประดับแลวดวยเครื่องอลังการทั้งปวง เทียมโคทั้งหลายที่ แอกทองคําดวยเชือกทองคําถือเอาดามปฏักทองคํา ใหของหอมอันบุคคล พึงเจิมดวยนิ้วทั้ง ๕ แกโดยทั้งหลาย สวมปลอกทองคําที่เขาทั้งหลาย ไปสู นาแลวขับไป. รอย ๗ รอยคือ "ขางนี้ ๓ รอยขางโนน ๓ รอย ใน ทามกลาง ๑ รอย" ไดแตกแยกกันไปแลว. ชาวชมพูทวีปถือเอาสิ่งของ บรรดาภัต พืช เงินทองเปนตน ตามที่ตนชอบใจจากเรือนของเศรษฐี เทานั้น

เศรษฐีผูมีอานุภาพมากอยางนั้น สดับวา "ไดยินวา พระศาสดา เสด็จมาแลว" จึงคิดวา "เราจักกระทําการรับเสด็จพระศาสดา" ออก ไปอยู พบพวกเดียรถียในระหวางทาง, แมถูกพวกเดียรถียเหลานั้นหาม


(๑) หมายความวา มีลักษณะเหมือนพระจันทรและดอกปทุม


ความคิดเห็น 12    โดย chatchai.k  วันที่ 10 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎกขุททกนิกายคาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 58

อยูวา "คฤหบดีทานเปนผูกิริยวาทะ๑ จะไปสูสํานักของพระสมณโคดม ผูเปนอกิริยวาทะ๓ เพราะเหตุไร? ก็มิไดเชื่อถอยคําของพวกเดียรถียเหลานั้น เทียวไปแลว ถวายบังคมพระศาสดาแลว นั่ง ณ สวนสุดขางหนึ่ง.

โทษของคนอื่นเห็นไดงาย

ลําดับนั้น พระศาสดาตรัสอนุบุพพีกถาแกเศรษฐีนั้น. ในเวลาจบ เทศนา เศรษฐีนั้นบรรลุโสดาปตติผล แลวกราบทูลความที่ตนถูกพวก เดียรถียกลาวโทษแลวหามไวแดพระศาสดา. ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสกะ ทานเศรษฐีนั้นวา "คฤหบดีขึ้นชื่อวาสัตวเหลานั้นยอมไมเห็นโทษของตน แมมาก, ยอมโปรยโทษของชนเหลาอื่นแมไมมีอยูกระทําใหมี ราวกะบุคคล โปรยแกลบขึ้นในที่นั้นๆ ฉะนั้น" ดังนี้แลว จึงตรัสพระคาถานี้วา:-

๑๐. สุทสฺส วชฺชมฺเส อตฺตโน ปน ทุทฺทส ปเรส หิ โส วชฺชานิ โอปุนาติ ยถาภุส อตฺตโน ปน ฉาเหติ กลึว กิตวา สโ

"โทษของบุคคลเหลาอื่นเห็นไดงาย ฝายโทษ ของตนเห็นไดยาก; เพราะวา บุคคลนั้น ยอมโปรย โทษของบุคคลเหลาอื่น เหมือนบุคคลโปรยแกลบ แตวายอมปกปด (โทษ) ของตน เหมือนพรานนก ปกปดอัตภาพดวยเครื่องปกปดฉะนั้น"

แกอรรถ

บรรดาบทเหลานั้น บทวา สุทสฺส ความวา โทษคือความพลั้ง


๑. ผูกลาววากรรมอันบุคคลทําแลว ชื่อวาเปนอันทํา. ๒. ผูกลาววา กรรมอันบุคคลทําแลว วา ไมเปนอันทํา


ความคิดเห็น 13    โดย chatchai.k  วันที่ 10 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎกขุททกนิกายคาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 59

พลาดของบุคคลอื่น แมมีประมาณนอย อันบุคคลเห็นไดงาย คืออาจเพื่อ จะเห็นไดโดยงายทีเดียว, สวนโทษของตน แมใหญยิ่งอันบุคคลเห็นไดยาก

บทวา ปเรส หิ ความวา เพราะเหตุนั้นนั่นแล บุคคลนั้นยอม โปรยโทษทั้งหลายของชนเหลาอื่นในทามกลางสงฆเปนตน เหมือนบุคคล ยืนบนที่สูงแลวโปรยแกลบลงอยูฉะนั้น

อัตภาพชื่อวา กลิ ดวยสามารถที่ประพฤติผิดในนกทั้งหลาย ในคํา วา กลึว กิตวา สโ (๑) นี้

เครื่องปกปด มีกิ่งไมที่พอหักไดเปนตน ชื่อวา กิตวา (ในคําวา "กิตวา" นี้) นายพรานชื่อวา สโ (ในคําวา "สโ" นี้) อธิบายวา

นายพรานนกประสงคจะจับนกฆา ยอมปกปดอัตภาพดวยเครื่องปกปด ฉันใด บุคคลยอมปกปดโทษของตนฉันนั้น

ในกาลจบเทศนา ชนเปนอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปตติผลเปนตน ดังนี้แล

เรื่องเมณฑกเศรษฐี จบ


(๑) แกอรรถตอนนี้ บางอาจารยเห็นวาใชวินิจฉัย


ความคิดเห็น 14    โดย chatchai.k  วันที่ 10 มิ.ย. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น