[เล่มที่ 42] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้าที่ 453
พระศาสดา ทรงสดับกถาของภิกษุเหล่านั้นแล้ว ตรัสว่า
"ภิกษุทั้งหลาย ทั้งสองสามีภริยานั้น ย่อมเรียกบุตรของตนเท่านั้นว่า 'บุตร' ดังนี้แล้ว จึงทรงนำอดีตนิทานมา ทรงแสดงความที่พระองค์เป็นบุตรของพราหมณ์ผัวเมียทั้งสองนั้นสิ้น ๓,๐๐๐ ชาติ ว่า "ภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล พราหมณ์นี้ได้เป็นบิดาของเรา ๕๐๐ ชาติติดๆ กัน เป็นอาของเรา ๕๐๐ ชาติ เป็นลุง ๕๐๐ ชาติ ถึงพราหมณีนั้นก็ได้เป็นมารดาของเรา ๕๐๐ ชาติติดๆ กัน เป็นน้าของเรา ๕๐๐ ชาติ เป็นป้าของเรา ๕๐๐ ชาติ เราเป็นผู้เจริญแล้วในมือของพราหมณ์ ๑,๕๐๐ ชาติ เจริญแล้วในมือพราหมณี ๑,๕๐๐ ชาติอย่างนี้" แล้วได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ ว่า :-
"ใจย่อมจดจ่อ แม้จิตก็เลื่อมใสในบุคคลใด เขาย่อมสนิทสนมในบุคคลแม้นั้น ซึ่งตนไม่เคยเห็น โดยแท้ ความรักนั้นย่อมเกิด เพราะอาศัยเหตุ ๒ ความรักนั้นย่อมเกิด เพราะอาศัยเหตุ ๒ ประการ อย่างนี้ คือ เพราะการอยู่ร่วมกันในกาลก่อน ๑ เพราะการเกื้อกูลกันในปัจจุบัน ๑ เปรียบเหมือนดอกบัวเกิดในน้ำได้ (เพราะอาศัยเปือกตมและน้ำ) ฉะนั้น."
ฯลฯ
สาธุ
ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าความรักเกิดขึ้นเมื่อใด เมื่อได้อ่านแล้วคิดตามจึงได้รู้ว่า เป็นเพราะเหตุ เพราะปัจจัยโดยทั่วไปมีความรักกับเพื่อนร่วมภพร่วมชาติปราถนาให้ชีวิตทุกชีวิตมีความสุขใจสุขกายตามอัตราของตนที่พึงมี มีแต่ความรักแต่ไม่อยากครอบครอง ไม่อยากเศร้าหมอง ถ้ามีใครต้องจาก โดยไม่อยากให้จิตต้องผูกพันกันมากมายแต่เมื่ออยู่ในสังคมได้ช่วยเกื้อกูลกัน รักใคร่ห่วงใยกันจึงมีขึ้นเป็นธรรมดา เมื่อถึงเวลาจาก ไม่อยากให้เขาละจากโลกนี้ไปใจจึงเศร้าหมอง ถึงได้เข้าใจว่าการพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักย่อมเป็นทุกข์เช่นนี้นี่เอง ถ้าไม่มีความรัก ไม่เกิดความผูกพันเหมือนไม่มีหัวใจอย่างไรก็ไม่รู้สิ ท่านใดรู้หรือถึงฝั่งแล้ว ช่วยแสดงอาการและลักษณะว่าไม่รักและผูกพันจักอยู่ในโลกนี้ได้ฉันใดกัน ...
ขออนุโทนาจิตที่เป็นกุศลแด่สรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ยินดีในกุศลจิตค่ะ