บันทึกการสนทนา (บางตอน) จากรายการ "แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ ๖๓๖-๖๓๙
มีข้อความดังนี้ :
สุ. ขอตอบคำถามของท่านผู้ฟัง พร้อมกับตอบจดหมายของพระคุณเจ้ารูปหนึ่งจากเพชรบุรี
ข้อความในจดหมายมีว่า
เมืองเพชรบุรี
๑๕ ก.ย. ๑๙
เจริญพรมายังอาจารย์สุจินต์ที่นับถือ
ขอถามปัญหาดังนี้
๑. พองหนอ ยุบหนอ ได้เห็นหนอ ได้ยินหนอ ฯลฯ ถ้าปฏิบัติวิปัสสนาแบบนี้ จะได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลหรือไม่ เพราะเหตุใด และพระปัญจวัคคีย์ฟังธรรมจากพระองค์ ถ้ากำหนดได้ยินหนอ ท่านทั้ง ๕ รูปจะได้บรรลุพ้นทุกข์หรือไม่ เพราะเหตุไร
๒. อาตมาเคยนั่งกำหนดพองหนอ ยุบหนอ แล้วเกิดปีติ ทำจิตใจให้สบายดี แล้วหลังจากนั้น มด ยุง ก็ไม่ฆ่า ซึ่งก่อนนั้นเคยฆ่า ถามอาจารย์ว่า จะบรรลุคุณธรรมอะไรบ้าง
๓. พอมีทุกข์ร้อนอะไรเกิดขึ้นแก่จิตใจ เจริญสติปัฏฐานในอิริยาบถต่างๆ ตามที่อาจารย์สุจินต์บรรยาย ทุกข์ที่เกิดแก่จิตนั้นหายได้จริง แสดงว่าสติปัฏฐานเมื่อเจริญแล้ว กำจัดอภิชฌาและโทมนัสได้จริงตามที่พระองค์บอก เมื่อมีทุกข์เกิดขึ้น จะไปนั่งคู้บัลลังก์ หลับตา แก้ทุกข์ก็ไม่ทัน เพราะยังไม่ถึงเวลา และไม่มีเวลาจะทำ ถึงทำเข้าจริงก็ทำได้เล็กๆ น้อยๆ ประเดี๋ยวก็เลิกทำ ไม่ทันดับทุกข์ที่เกิดขึ้น สู้เจริญอย่างอาจารย์สุจินต์บอกไม่ได้ ได้ผลดี ทันกับทุกข์ที่เกิดขึ้น และทำได้ทุกเวลา ไม่ต้องเวลาไปนั่งเข้าที่ ซึ่งในขณะนั้นทุกข์ก็กัดกินอย่างพอแรง
คำถามข้อ ๑ ที่ถามว่าพองหนอ ยุบหนอ ได้เห็นหนอ ได้ยินหนอ ฯลฯ ถ้าปฏิบัติวิปัสสนาแบบนี้ จะได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลหรือไม่ เพราะเหตุใด
เรื่องของปัญญาไม่ใช่เรื่องที่จะให้ใครคนหนึ่งคนใดรับรองชี้ขาด เพราะว่าถ้าคนหนึ่งบอกว่าถูก อีกคนหนึ่งบอกว่าผิด จะทำอย่างไร แต่เป็นเรื่องที่ท่านจะต้องศึกษาและพิจารณาในเหตุผลโดยละเอียด ซึ่งการปฏิบัตินี้ ไม่ว่าจะเป็นโดยข้อปฏิบัติใดก็ตาม ปฏิบัติแล้วปัญญารู้อะไร นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะว่าวิปัสสนาเป็นปัญญาที่รู้แจ้งชัดในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามปกติตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ข้อสำคัญที่สุด คือ ปฏิบัติแล้วรู้อะไร ที่ว่าเป็นปัญญา ต้องเป็นความรู้ เพราะฉะนั้น รู้อะไร นี่สำคัญที่สุด
ขณะที่กำลังนั่ง พองหนอ ยุบหนอ ได้เห็นหนอ ได้ยินหนอ ฯลฯ พองหนอรู้อะไร ยุบหนอรู้อะไร ได้เห็นหนอรู้อะไร ได้ยินหนอรู้อะไร ถ้าบอกว่า ไม่ทราบ ก็ไม่ใช่ปัญญา
อย่างทางตา สิ่งที่กำลังปรากฏมีจริง กำลังปรากฏ ปัญญารู้ในสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริงว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น และรู้ว่าสภาพรู้สิ่งที่ปรากฏทางตามีจริง กำลังเห็น คือ กำลังรู้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ธาตุรู้ หรืออาการรู้นั้น ไม่ใช่สีสันวัณณะที่ปรากฏทางตา เพราะฉะนั้น ในขณะที่เห็น มีสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคลอยู่ ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้ อีกอย่างหนึ่งเป็นสภาพที่สามารถปรากฏให้เห็นได้เฉพาะทางตาเท่านั้น ไม่ปรากฏทางอื่นเลย นี่คือการรู้ชัด ซึ่งจะต้องอาศัยการสังเกต ระลึก ศึกษาสิ่งที่กำลังปรากฏ
ถ้าท่านคิดว่า ได้เห็นหนอ ในขณะนั้นไม่ใช่การสังเกต สำเหนียก รู้ในสิ่งที่ปรากฏ เพราะว่าจิตในขณะนั้นกำลังรู้คำ เกิดตรึกถึงคำว่า ได้ คำว่า เห็น คำว่า หนอ ไม่ใช่เป็นการสังเกตรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา และสภาพที่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา
เรื่องของการอบรมเจริญปัญญาเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ประกอบด้วยเหตุผลถูกต้องตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่มีลักษณะปรากฏให้รู้แต่ละทาง
สำหรับท่านที่กล่าวว่า ท่านอบรมเจริญอานาปานสติ แต่การอบรมเจริญวิปัสสนาไม่เลือกอารมณ์ เป็นการศึกษาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามปกติตามความเป็นจริง เพื่อที่จะดับความเห็นผิด ความสงสัย ความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ
ขณะนี้อะไรกำลังปรากฏ ทางตากำลังเห็น เพราะฉะนั้น จะศึกษาทางตาไหม จะสังเกต ระลึกให้รู้ว่า เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่ปรากฏทางตาเท่านั้น หรือว่าจะไม่ศึกษา ทอดทิ้งไป ละเลยไปเรื่อยๆ และหวังที่จะไปรู้อย่างอื่นซึ่งไม่มีลักษณะปรากฏตามความเป็นจริง แต่เป็นการนึกถึงลักษณะโดยการเข้าใจว่า ถ้าทำให้จิตจดจ้องที่ลักษณะนั้นแล้ว จะสามารถรู้ชัดในอริยสัจธรรมได้
แต่อริยสัจธรรม คือ ความเกิดดับของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ขณะนี้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏเกิดดับ แต่ไม่สังเกต จะประจักษ์ความเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ได้อย่างไร ทันทีที่เห็น เกิดดับ เมื่อไม่สังเกตจะประจักษ์ได้อย่างไร ทันทีที่ได้ยิน เกิดดับ เมื่อไม่สังเกตจะรู้ได้อย่างไรว่า สภาพธรรมนั้นเกิดดับ
เพราะฉะนั้น อริยสัจธรรม คือ ความเกิดดับของสภาพธรรมตามปกติที่กำลังปรากฏ และในขณะนี้ลมหายใจของใครปรากฏให้สติระลึกรู้บ้าง ตามความเป็นจริงเดี๋ยวนี้ ตามปกติ ลมหายใจของใครกำลังปรากฏให้สติระลึกรู้บ้าง มีไหม มีหรือ แต่ว่าตามปกติแล้ว หนึ่งในเท่าไร ลองคิดดู ขณะนี้ทางตากำลังเห็น อะไรปรากฏโดยไม่ต้องนึก ทางหู เสียงปรากฏ มีได้ยินที่กำลังรู้เสียงโดยไม่ต้องนึก ไม่ต้องทำอะไรเลย เป็นสภาพธรรมที่เป็นรูปหยาบจริงๆ
ในพระไตรปิฎกทรงแสดงลักษณะของรูปหยาบ คือ รูปที่สามารถปรากฏให้รู้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ลมหายใจมีจริง รู้ได้ทางกาย เป็นโผฏฐัพพารมณ์ แต่ว่าเป็นรูปที่ละเอียดกว่าโผฏฐัพพารมณ์อื่น เพราะว่าเป็นรูปที่เกิดเพราะจิตเป็นสมุฏฐาน และลักษณะของลมหายใจเป็นสติปัฏฐานของผู้ที่มีปัญญามาก เช่น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอริยสาวก ผู้มีปัญญาที่เป็นมหาบุรุษ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าท่านผู้หนึ่งผู้ใด โดยที่ไม่ได้ศึกษา ก็จะไปจับจ้อง จดจ้องอยู่ที่ลักษณะหนึ่งลักษณะใดโดยที่ไม่สังเกต ไม่สำเหนียก ไม่ศึกษารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริง
พอง กับยุบ มีอะไรปรากฏที่จะให้รู้ได้ ที่จะมีลักษณะตรงตามพระไตรปิฎก เพราะว่ารูปที่ได้ทรงแสดงไว้มี ๒๘ รูป รูปที่ปรากฏทางตา คือ สีสันวัณณะต่างๆ เป็นรูปหยาบรูปหนึ่ง รู้ได้เพราะว่าปรากฏให้เห็นได้ เสียงเป็นอีกรูปหนึ่ง ปรากฏทางหูให้รู้ได้ กลิ่นเป็นรูปหยาบอีกรูปหนึ่งซึ่งปรากฏให้รู้ได้ทางจมูก รสเป็นรูปหยาบอีกรูปหนึ่งซึ่งปรากฏให้รู้ได้ทางลิ้น เย็นร้อน อ่อนแข็ง ตึงไหว เป็นรูปหยาบ ๓ รูปที่ปรากฏให้รู้ได้ทางกาย
เป็นพอง เป็นยุบ หรือเปล่า เย็นเป็นเย็น อ่อนเป็นอ่อน ร้อนเป็นร้อน แข็งเป็นแข็ง ตึงเป็นตึง ไหวเป็นไหว ไม่ใช่อาการที่ทรงจำไว้ว่า เป็นลักษณะที่พองขึ้น และก็ยุบลง ในขณะที่พองขึ้น มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เย็นร้อน อ่อนแข็ง ตึงไหวในขณะนั้น แต่ไม่ใช่เป็นการทรงจำในอาการที่พองขึ้น ไม่ใช่อย่างนั้น และในขณะที่จะเป็นรูปที่ยุบลงไป หรือไม่ยุบลงไป หรืออย่างไรก็ตาม มหาภูตรูป ๔ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เย็นร้อน อ่อนแข็ง ตึงไหว รวมกันอยู่ สติระลึกรู้ในอาการของรูปที่ปรากฏ แต่ไม่ใช่ในอาการที่ยุบลงไป หรือว่าในลักษณะที่จำได้ว่าพองขึ้นมา ไม่ใช่อย่างนั้น
เพราะฉะนั้น ลักษณะของสภาพธรรมต้องตรงตามความเป็นจริง และสำหรับ อานาปานสติ ซึ่งเป็นลมหายใจที่เกิดเพราะจิตเป็นสมุฏฐาน จะปรากฏที่ช่องจมูก หรือที่กระทบกับริมฝีปากเบื้องบนเท่านั้น เป็นอารมณ์ที่สติจะระลึกรู้ที่เป็นลมหายใจ
ข้อความในอรรถกถาได้กล่าวไว้ชัดเจนว่า ไม่ให้ตามรู้ลักษณะของลมต่อจากนั้น หมายความว่า ถ้าบุคคลใดจะอบรมเจริญอานาปานสติ ที่เป็นลมหายใจจริงๆ ที่ควรแก่การระลึกรู้อย่างแท้จริงนั้น อยู่ในช่องจมูก หรือที่กระทบเบื้องบนริมฝีปาก เพราะเหตุว่าเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น ถ้าไม่ระลึกรู้ตรงที่เกิด ก็จะไม่ประจักษ์รูปที่ดับไปในขณะที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น การที่จะตามรู้ไปจนถึงข้างใน นั่นไม่ใช่การระลึกรู้ลักษณะของลมหายใจที่เป็นอานาปานสติ หรือแม้แต่ที่เป็นอานาปานสติสมาธิ ก็จะต้องระลึกรู้ลักษณะของลมที่ช่องจมูก หรือที่เบื้องบนริมฝีปาก
คามิกะ เรื่องยุบหนอ พองหนอนี้ ท่านผู้เปรื่องปราชญ์คนหนึ่งว่ากันมาอย่างนี้ ผมก็ตามว่าท่านเอามาจากไหน วันหนึ่งพอดีผมไปฟังท่านยกบาลีขึ้นว่าทีเดียวว่า วา อสฺสสนฺโต อสฺสสามีติ ปชานาติ วา ปสฺสสนฺโต ปสฺสสามีติ ปชานาติ
ซึ่งในสติปัฏฐานท่านว่า หายใจเข้า ก็ให้รู้ว่าหายใจเข้า หายใจออก ก็ให้รู้ว่าหายใจออก ก็เป็นอานาปานสติกัมมัฏฐาน แปลกันมาอย่างนั้นไม่รู้กี่ร้อยกี่พันปีแล้ว
แต่ท่านผู้นี้ วา อสฺสสนฺโต อสฺสสามีติ ปชานาติ เมื่อพอง ก็ให้รู้ว่าพอง หายใจเข้าท่านไปแปลว่าพองเสีย ก็อาจจะเป็นได้ว่า เมื่อหายใจเข้าไปแล้ว ท้องมันโป่งขึ้นมา ก็เอาตรงนั้นน่ะเรียกว่า พอง แล้วไปสมมติว่าเป็นอานาปานสติกัมมัฏฐาน วา ปสฺสสนฺโต ปสฺสสามีติ ปชานาติ หายใจออกท้องมันยุบ ท่านก็ว่ายุบ คือ แปลคำว่า หายใจเข้าเป็นพอง หายใจออกเป็นยุบ
สุ. เรื่องของปัญญาเป็นเรื่องละเอียด เป็นเรื่องที่ท่านจะต้องตรงต่อลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่ว่าท่านจะอบรมเจริญปัญญาอย่างไร ควรที่จะได้พิจารณาก่อนว่า ข้อปฏิบัตินั้นๆ จะทำให้สามารถรู้แจ้งในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริงได้หรือไม่
กำลังเห็น ถ้านึกว่าได้เห็นหนอ จะมีประโยชน์อะไร จะรู้ลักษณะของนามธรรมอะไร จะรู้ลักษณะของรูปธรรมอะไร เพราะขณะนั้นไม่ใช่การสังเกตที่จะรู้ว่า สิ่งที่ปรากฏนี้เพียงปรากฏ และสภาพที่กำลังรู้สิ่งที่ปรากฏมีจริง เป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้ ถ้าโดยลักษณะนี้ ต้องไม่ใช่การไปนึกว่าได้เห็นหนอ หรือในขณะที่ได้ยินก็เหมือนกัน ถ้าขณะนี้ไม่ได้สังเกต ก็เริ่มสังเกตว่า เสียงเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ และยังมีธาตุรู้เสียง ซึ่งจะต้องสังเกตบ่อยๆ จนกระทั่งรู้ว่าธาตุที่รู้เสียงในขณะนั้นมี กำลังรู้เสียง ไม่ใช่ธาตุที่รู้สิ่งที่ปรากฏทางตา นี่เป็นการเพิ่มความรู้ขึ้นในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ โดยเป็นผู้ละเอียด ไม่ใช่นั่งนึกว่า พองหนอ ยุบหนอ หรือว่าได้เห็นหนอ ได้ยินหนอ ซึ่งไม่ใช่การสังเกต สำเหนียก ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ และจะต้องเข้าใจในเหตุผลว่า ท่านเลือก หรือท่านเจาะจงที่จะรู้อย่างนั้นเพื่ออะไร
ถ้าเป็นการเจาะจงเลือกที่จะรู้ พองหนอ ยุบหนอ ก็ไม่ใช่สติที่เป็นการเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางหนึ่งทางใด แต่เป็นสภาพของตัวตนที่ต้องการ ที่เจาะจง ที่ตั้งใจที่จะรู้พองหนอ ยุบหนอ แต่ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจลักษณะของสัมมาสติแล้ว ไม่มีการเลือกเลย เพราะว่าทางตาก็จะต้องศึกษา คือ สังเกต สำเหนียก จนกว่าจะเป็นความรู้ในลักษณะของธาตุรู้กับสิ่งที่ปรากฏ ทางหูก็จะต้องเป็นการสังเกต สำเหนียก ระลึกรู้ในลักษณะของธาตุรู้กับสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น ลักษณะของสติจะเกิดขึ้นเมื่อไร ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมใด ก็เป็นอนัตตาจริงๆ ไม่มีความเป็นตัวตนที่จะจัดแจง ที่จะจงใจ เพราะถ้าโดยลักษณะนั้น จะไม่ปรากฏความเป็นอนัตตาของสัมมาสติ
เพราะฉะนั้น ผู้ตรงและผู้ละเอียด จะทราบได้ว่า จะเกิดปัญญาความรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจได้บ้างหรือไม่ ถ้าไปนั่งนึกว่า พองหนอ ยุบหนอ หรือว่าได้ยินหนอ ได้เห็นหนอ
ผู้ฟัง เมื่อ ๒๐ ปีมาแล้ว ดิฉันได้เคยปฏิบัติ ตอนโน้นยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยเหมือนกัน ปฏิบัติอยู่เดือนกว่า อาจารย์ท่านก็ว่า ดิฉันสำเร็จพระโสดาบัน แต่ดิฉันเองพอออกมาจากห้องกัมมัฏฐานแล้ว ดิฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย และก็รู้ตัวด้วยว่า ไม่ใช่ เพราะดิฉันมาอ่านดู คุณสมบัติของพระโสดาไม่ครบ แต่ดิฉันตั้งใจเอาไว้ว่า สักวันหนึ่งถ้าหากมีเวลาดิฉันจะต้องพยายามแสวงหาธรรม และดิฉันก็เข้าใจว่า ขณะที่ไปทำนั้น ดิฉันก็ได้กุศล แต่ปัญญาไม่มีเลย ต่อมาได้ยินอาจารย์บรรยาย ดิฉันได้ฟังอาจารย์บรรยายมาได้ ๓ ปี ครั้งแรกดิฉันไม่ชอบธรรมอาจารย์ ชอบแต่เสียงอาจารย์ก็เลยฟัง และเพราะมีคนแนะนำให้ดิฉันฟังด้วย ดิฉันก็ฟัง พอฟังๆ เข้า ก็ค่อยๆ รู้สึกประทับใจกับคำบรรยายของอาจารย์ คือ ดิฉันเข้าใจคำพูดของอาจารย์ที่ว่า ระลึกรู้ตามความเป็นจริง เท่านี้ ดิฉันก็พยายามระลึกรู้ตามความเป็นจริง แต่กว่าจะเข้าใจ ระลึกรู้ตามความเป็นจริง ดิฉันต้องใช้เวลาฟังถึง ๓ – ๔ เดือน ไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ให้ระลึกรู้ตามความเป็นจริง ระลึกรู้ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ระลึกรู้ที่เย็นร้อน อ่อนแข็ง ตึงไหว อะไรพวกนี้ ดิฉันดีใจอย่างหนึ่งว่า อยู่บ้านเฉยๆ ไม่ต้องออกไปเสียเวลาที่ไหน ก็เจริญสติได้โดยไม่เสียเงิน และอยู่ดูแลบ้านได้ ดิฉันก็ดีใจตรงนี้ ดิฉันพยายามฟังอาจารย์บรรยาย พอเจริญสติไป ต่อมาความเข้าใจก็เพิ่มขึ้น คือ เข้าใจคำพูดของอาจารย์ตรงคำว่า ระลึกรู้ตามความเป็นจริง คำนี้ ย้ำแล้วย้ำอีก ดิฉันฟังจนขึ้นใจ หลังจากนั้น มีความเข้าใจอีกอย่างหนึ่งเพิ่มขึ้นว่า หิริโอตตัปปะในจิตของตัวเองค่อยๆ ละเอียดขึ้น เมื่อก่อนนี้หยาบ ปาณาต่อหน้าคนอื่น อาย ทำไม่ได้ หลังจากนั้นก็เจริญสติมานานทีเดียว ต่อมาก็อายตัวเอง
ดิฉันคิดย้อนหลังเหมือนกัน เมื่อก่อนเคยทำพองหนอ ยุบหนอ กว่าจะรู้ว่า พองหนอนี่ ไม่มีอะไรจะรู้เรื่องเลย ไม่ได้อะไร ปัญญาอะไรก็ไม่ได้ ทีหลังมานี่ค่อยเข้าใจขึ้น คือ ระลึกรู้ตามความเป็นจริง เท่านี้ รู้สึกว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากความไม่เข้าใจอะไรเลย เข้าใจเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ รู้จักตัวเองขึ้น บางครั้งแม้แต่ขณะที่จิตเราจะพูดเรื่องนี้ เพราะอะไรจึงพูด จิตเป็นอะไร เป็นโลภะ เป็นโทสะ หรือเป็นโมหะ แม้แต่อยากจะได้อะไรสักอย่างหนึ่งจากใครสักคนหนึ่ง พอมีสติระลึกรู้ ก็รู้เลยว่า ที่จะกล่าวคำพูดคำนั้นก็เพราะอยากได้ของเขา อย่างนี้ก็มี
สุ. นี่คือประโยชน์ของการที่รู้จักตัวเองขึ้นจากการอบรมเจริญสติปัฏฐานระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเป็นขั้นๆ ถึงแม้ว่ายังไม่ประจักษ์ในความเป็นนามธรรมและรูปธรรม ซึ่งไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล แต่ก็เป็นการอบรมสติให้มีความชำนาญที่จะเกิดบ่อย และรู้สภาพของจิต ลักษณะของกุศลธรรมและอกุศลธรรมตามปกติตามความเป็นจริง โดยไม่เข้าข้างตัวเอง เช่น เมื่อมีความละอาย ไม่กล้ากระทำสิ่งที่ไม่ดีเวลาที่คนอื่นอยู่ นั่นละอายเพราะอายคนอื่น แต่เวลาที่คนอื่นไม่อยู่ก็ยังทำได้ นั่นก็เป็นขั้นหนึ่ง และภายหลังเมื่อมีการอบรมมากขึ้น รู้ว่าสิ่งใดที่เป็นโทษ ควรละอาย ก็ละอายตนเอง ถึงแม้ว่าไม่มีคนอื่น เกิดความละอายที่ละเอียดขึ้น นี่ก็เป็นประโยชน์
เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ในชีวิตของแต่ละคนนี้วิจิตรมาก ไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศลประการใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหิริโอตตัปปะ หรือว่าโลภะ โทสะ โมหะ การพูดเพราะความอยากจะได้ของคนอื่น นี่เป็นผู้ที่ตรง ชีวิตประจำวัน รู้หรือเปล่า ถ้าไม่รู้ หลงลืมสติ แต่ถ้ารู้ จะรู้จักตัวเองชัดขึ้น ละเอียดขึ้น สติเริ่มศึกษาระลึกรู้ แต่ว่ายังไม่พอ จะต้องศึกษาในลักษณะของสภาพธรรมซึ่งเกิดสลับกันอย่างรวดเร็ว และในที่สุดก็จะปรากฏว่า เป็นสภาพธรรมซึ่งเกิดขึ้นมีลักษณะต่างกันแต่ละทาง ตามความเป็นจริง
สำหรับข้อความที่ท่านผู้ฟังกล่าวถึงเมื่อสักครู่นี้ ก็ตรงกับคำถามข้อที่ ๒ ของพระคุณเจ้าจากเมืองเพชรบุรี ซึ่งท่านเขียนมามีข้อความว่า อาตมาเคยนั่งกำหนดพองหนอ ยุบหนอ แล้วเกิดปีติ ทำจิตใจให้สบายดี แล้วหลังจากนั้น มด ยุง ก็ไม่ฆ่า ซึ่งก่อนนั้นเคยฆ่า ถามอาจารย์ว่า จะบรรลุคุณธรรมอะไรบ้าง
เพียงไม่ฆ่ามด ไม่ฆ่ายุง ก็จะบรรลุคุณธรรมแล้วหรือ ถ้าอย่างนั้น วันนี้ทุกท่านบรรลุแน่ อย่าฆ่ามด อย่าฆ่ายุงเสียเท่านั้นเอง ก็จะบรรลุคุณธรรมแล้ว
การที่จะได้บรรลุคุณธรรมอะไรบ้าง ก็ควรที่จะได้สอบสวนตนเองว่า ท่านต้องการคุณธรรมอะไร ต้องการจะบรรลุเป็นโสดาบันโดยปัญญาไม่ได้รู้อะไรเลย เพียงแต่ให้ได้ชื่อว่าเป็นพระโสดาบันเท่านั้น หรือว่าท่านจะเป็นผู้ตรง เพราะว่าการเป็นพระโสดาบันนั้น หมายความถึงความเจริญของปัญญาถึงขั้นที่จะดับกิเลส คือ การยึดถือสภาพธรรมเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ไม่เกิดอีกเลย
ทางตา พระโสดาไม่สงสัยในลักษณะของสภาพเห็น กับสิ่งที่เพียงปรากฏ และในการรู้ความหมายของสิ่งที่ปรากฏไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ พระโสดาบันไม่สงสัย เพราะว่าได้อบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม
ที่ถามว่า ไม่ฆ่ามด ฆ่ายุง ซึ่งก่อนนั้นเคยฆ่า จะได้บรรลุคุณธรรมอะไรบ้าง
ตามความเป็นจริง จะต้องสอบสวนใคร่ครวญพิจารณาด้วยตนเองว่า ทำไมถึงไม่ฆ่า ที่ไม่ฆ่าเพราะอะไร รู้หรือเปล่า หรือเกิดไม่อยากจะฆ่าเท่านั้น หรือเพราะอยากเป็นพระโสดาบัน เพราะได้ทราบมาว่าพระโสดาบันท่านไม่ฆ่า ก็เลยจะไม่ฆ่า
เมื่อปัญญาเกิดขึ้น ย่อมละอวิชชาและกิเลสเป็นลำดับ การที่จะคิดริษยา การที่จะคิดเบียดเบียนคนอื่นให้เดือดร้อนย่อมไม่มี จะมีได้อย่างไรเมื่อประจักษ์แจ้งในเหตุในผลในลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน แต่มีปัจจัยที่เกิดขึ้นเป็นไปต่างๆ ทั้งฝ่ายกุศลและอกุศล และฝ่ายธรรมที่เป็นผล คือ วิบากเพราะฉะนั้น ก็ย่อมจะไม่มีปัจจัยที่จะให้มีเจตนาฆ่าเกิดขึ้นได้
แต่ถ้าโดยลักษณะที่ว่า เคยนั่งกำหนดพองหนอ ยุบหนอ แล้วเกิดปีติ ทำจิตใจให้สบายดี แล้วหลังจากนั้นมดยุงก็ไม่ฆ่า
ไม่ได้กล่าวถึงปัญญา ความรู้ลักษณะของสภาพธรรมเลย เพราะว่าไม่ได้อบรมเจริญความรู้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจตามปกติตามความเป็นจริง
สำหรับคำถามข้อ ๓ ที่ถามว่า พอมีทุกข์ร้อนอะไรเกิดขึ้นแก่จิตใจ เจริญสติปัฏฐานในอิริยาบถต่างๆ ตามที่อาจารย์สุจินต์บรรยาย ทุกข์ที่เกิดแก่จิตนั้นก็หายได้จริง แสดงว่าสติปัฏฐานเมื่อเจริญแล้ว กำจัดอภิชฌาและโทมนัสได้จริงตามที่พระองค์บอก เมื่อมีทุกข์เกิดขึ้นจะไปนั่งคู้บัลลังก์ หลับตา แก้ทุกข์ก็ไม่ทัน เพราะยังไม่ถึงเวลา และไม่มีเวลาจะทำ ถึงทำเข้าจริง ก็ทำได้เล็กๆ น้อยๆ ประเดี๋ยวก็เลิกทำ ไม่ทันดับทุกข์ที่เกิดขึ้น สู้เจริญอย่างอาจารย์สุจินต์บอกไม่ได้ ได้ผลดี ทันกับทุกข์ที่เกิดขึ้น และทำได้ทุกเวลา ไม่ต้องเวลาไปนั่งเข้าที่ ซึ่งในขณะนั้นทุกข์ก็กัดกินอย่างพอแรง
นี่เป็นความสังเกตของพระคุณเจ้า ที่ว่า พอมีอะไรทุกข์ร้อนอะไรเกิดขึ้นแก่จิตใจ เจริญสติปัฏฐานในอิริยาบถต่างๆ ทุกข์ที่เกิดนั้นหายได้จริง แต่นี่ไม่ใช่จุดประสงค์ของการที่จะให้ทุกข์หาย จุดประสงค์ คือ รู้สภาพของทุกข์ คือ ความเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรม เพราะฉะนั้น อย่าให้เกิดความต้องการที่จะให้ทุกข์หายไปเป็นเครื่องอิงอาศัยที่จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม มิฉะนั้นแล้วก็จะเจริญสติเฉพาะเวลาที่เกิดความทุกข์ขึ้น ส่วนเวลาที่เป็นสุข เวลาสนุกสนาน เวลาเบิกบาน ถ้าสติไม่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้น จะรู้ได้อย่างไรว่า ไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคลเลย เป็นแต่เพียงลักษณะของสภาพธรรมแต่ละลักษณะที่ต่างกันตามเหตุตามปัจจัยเท่านั้น
เพราะฉะนั้น ที่พระคุณเจ้าเขียนมาว่า แสดงว่าสติปัฏฐานเมื่อเจริญแล้ว กำจัดอภิชฌาและโทมนัสได้จริงตามที่พระองค์บอก ยังเผินไป ยังไม่พอ ข้อสำคัญคือรู้อะไร อย่าเพิ่งพอใจในผลอย่างอื่น อย่าเพิ่งคิดว่า นั่นเป็นผลของการเจริญสติปัฏฐาน เพราะว่าผลของการเจริญสติปัฏฐานจริงๆ ต้องเป็นปัญญาที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏโดยสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน คือ สภาพที่เป็นนามธรรมไม่ใช่รูปธรรม สภาพที่เป็นรูปธรรมไม่ใช่นามธรรม
ที่กล่าวว่า การที่จะไปเข้าที่ ถึงทำเข้าจริงก็ทำได้เล็กๆ น้อยๆ ประเดี๋ยวก็เลิก ทำ ไม่ทันดับทุกข์ที่เกิดขึ้น จริงไหม วันหนึ่งๆ จะเข้าที่ได้บ่อยไหม เทียบกับปกติธรรมดา ถ้าปัญญาเกิดแล้ว ถึงออกมาปัญญาก็ต้องเกิด เรื่องอะไรปัญญาจะไปเกิดเฉพาะเวลาเข้าที่ ออกมานอกที่ปัญญาไม่เกิด มีที่พิเศษสำหรับปัญญาที่จะเกิดเฉพาะตอนเข้าที่ ซึ่งนั่นไม่ใช่ลักษณะของปัญญา
ถ้าเป็นปัญญาจริง รู้ลักษณะของสภาพธรรมแล้ว จะเปลี่ยนให้เป็นความไม่รู้ เป็นไปไม่ได้ และการเข้าที่ จะมีได้บ่อยไหม เพราะว่าทุกคนต้องมีธุรกิจ มีกิจการงานในชีวิตประจำวัน แล้วแต่ชีวิตของแต่ละท่านสะสมมาที่จะเป็นอย่างไร ก็จะต้องมีธุระการงาน หน้าที่ ภาระต่างๆ ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ถ้าท่านยังมีภาระ มีกิจธุระที่จะต้องทำ ก็เข้าที่ได้น้อยนิดเดียว และถ้าเข้าที่แล้วปัญญาเกิดเฉพาะตอนเข้าที่ ออกนอกที่แล้วปัญญาไม่เกิด ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ปฏิบัติอย่างนั้น ไม่ใช่ปัญญาที่สามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมได้ เพราะฉะนั้น การอบรมเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติ จะทำให้ปัญญาสามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริงตามปกติได้
ผู้ฟัง จดหมายของพระคุณเจ้ารูปนี้ รู้สึกว่า ท่านพอใจในข้อปฏิบัติของ ยุบหนอ พองหนอ และพอใจในข้อปฏิบัติที่อาจารย์ได้บรรยายไปแล้วด้วย คือ ข้อปฏิบัติทั้งสอง ท่านก็เห็นว่าดี เพราะท่านได้กล่าวในจดหมายว่า ขณะที่นั่งวิปัสสนา นั่งไปสักพักหนึ่งก็ไม่ตบยุง ในเมื่อทุกขเวทนาเกิดขึ้น ท่านก็มาพิจารณาทุกขเวทนา ทุกขเวทนานั้นก็ได้บรรเทา แสดงว่าท่านพอใจในข้อปฏิบัติทั้งสอง ซึ่งมีมากทีเดียว เช่น รายการวิทยุทุกวันนี้ เขาฟังทุกๆ รายการตั้งแต่เช้าจนมืด ถามว่ารายการไหนดี ก็ตอบว่า ดีทั้งนั้น ซึ่งคำตอบอย่างนี้มีมากมาย
การบรรยายธรรมของพระพุทธเจ้าทุกวันนี้มีมาก ที่ยกหัวข้อของพระผู้มีพระภาคขึ้นมาตั้ง แต่อธิบายตามความคิดความเห็นของตนเอง ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ปฏิบัตินั้นไขว้เขวได้ ไม่ตรง อีกอย่างหนึ่ง จดหมายทั้ง ๒ ฉบับนั้น มีคำว่า ทำ ฉบับแรกก็ถามว่าเจริญสติปัฏฐานทำอย่างไร ให้อาจารย์บอกว่าจะทำอย่างไร ฉบับของพระท่านก็ถามว่า การบรรลุอริยสัจธรรมจะต้องทำอย่างไร ซึ่งอาจารย์ก็ได้อธิบายไปแล้ว แก้ไขชี้แจงไป แต่อาจารย์อธิบายได้นิ่มนวลมาก ใช้คำว่ายังไม่ตรง แต่ผมอยากจะพูดว่า ถ้าตราบใดที่ใช้คำว่า ทำ ก็หมายถึงว่าข้อปฏิบัติของท่านนั้นยังไม่ถูก ผู้ที่ปฏิบัติถูกแล้ว จะไม่ใช้คำว่า ทำ เพราะว่าธรรมทั้งหลาย มีนามธรรม เป็นต้น นามธรรมนี้ไม่มีรูปร่างที่จะมาจับตรงนี้ใส่ตรงโน้น พระผู้มีพระภาคทรงให้อบรมอินทรีย์ ๕ อินทรีย์ ๕ เป็นเจตสิก ๕ ดวง ซึ่งไม่มีรูปร่างสัณฐานที่จะมาจับรวมกันใส่รวมกัน เพราะฉะนั้น ในพระไตรปิฎกทั้งหมดไม่มีคำว่า ทำ ถ้าใครผู้ใดใช้คำว่า ทำวิปัสสนาหรือนั่งวิปัสสนา ผู้นั้นปฏิบัติผิด ผมพูดตรงๆ อย่างนี้ พูดนุ่มนวลอ้อมค้อมไม่ค่อยจะเป็น
จากข้อความในจดหมายของพระคุณเจ้าฉบับนี้ ข้อปฏิบัติที่อาจารย์อธิบายไปนั้นท่านก็ว่าดี ข้อปฏิบัติของยุบหนอพองหนอท่านก็ว่าดี แสดงว่าท่านแยกข้อปฏิบัติที่ถูกหรือที่ผิดนั้นไม่ได้ เพราะฉะนั้น ผมอยากจะให้ท่านทั้งหลายควรจะฟังให้มาก เข้าใจในพยัญชนะและอรรถให้ละเอียดก่อนแล้วจึงนำไปปฏิบัติ จึงจะมีหวังในการปฏิบัติในมรรคมีองค์ ๘ ได้ถูกต้อง
สุ. ข้อความในจดหมายของพระคุณเจ้าตอนหนึ่ง แสดงถึงความเห็นถูกในการที่จะเป็นผู้ที่มีปกติเจริญปัญญา ข้อความมีว่า เมื่อมีทุกข์เกิดขึ้น จะไปนั่งคู้บัลลังก์ หลับตาแก้ทุกข์ก็ไม่ทัน เพราะยังไม่ถึงเวลา และไม่มีเวลาจะทำ ถึงทำเข้าจริง ก็ทำได้เล็กๆ น้อยๆ ประเดี๋ยวก็เลิกทำ ไม่ทันกับทุกข์ที่เกิดขึ้น
ขณะนี้ถ้าท่านผู้ใดมีจิตใจกระสับกระส่าย กระวนกระวาย ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้ทันที จะทำให้รู้ว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ละคลายการยึดถือสภาพธรรมที่กระสับกระส่ายกระวนกระวายเดือดร้อนได้ ไม่เดือดร้อนแล้ว เพราะเป็นแต่เพียงลักษณะของสภาพธรรมชนิดหนึ่งซึ่งเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น ไม่ต้องรอไปเข้าที่เสียก่อน จึงจะดับความกระวนกระวายกระสับกระส่ายเดือดร้อนใจในขณะนี้ เพราะว่าไม่ทันแล้ว กว่าจะไปเข้าที่ กว่าจะไปหามุมสงบ ความกระสับกระส่ายกระวนกระวายเดือดร้อนก็มากมายเหลือเกิน โดยที่ปัญญาไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนั้นตามความเป็นจริง
ผู้ฟัง ผมขอยกพระสูตรๆ หนึ่ง ซึ่งอาจจะเกื้อกูลแก่ผู้ปฏิบัติได้มาก คือ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ธรรมซึ่งละได้ด้วยกาย มิใช่ละด้วยวาจามีอยู่ ธรรมซึ่งละด้วยวาจา มิใช่ละด้วยกายมีอยู่ ธรรมซึ่งละด้วยกายไม่ได้ ละด้วยวาจาไม่ได้ พึงรู้ชัดด้วยปัญญาแล้วจึงละได้ ซึ่งท่านอธิบายว่า คือ กายทุจริตต้องละด้วยกาย วจีทุจริตต้องละด้วยวาจาไม่ใช่ละด้วยกาย ส่วนมโนทุจริตนั้นต้องละด้วยปัญญา ไม่ใช่ละด้วยกายและวาจา ซึ่งมโนทุจริตก็มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น และมีสภาพธรรมอีกหลายอย่าง เช่น อิสสา มัจฉริยะ และอะไรๆ อีกหลายอย่าง
เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า การจะละกิเลสนั้น ต้องอาศัยปัญญา และวิธีที่จะอบรมปัญญานั้นอบรมอย่างไร อันนี้สำคัญ การที่จะอบรมปัญญานั้น เมื่อปัญญาจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยสติ สติจึงมีความสำคัญในการเจริญปัญญา ก่อนที่จะเจริญสติอบรมปัญญานั้น อบรมกันอย่างไร เจริญกันอย่างไร ข้อนี้ต้องฟังให้ดี ต้องศึกษาให้ดี ให้ละเอียด เพราะสติก็ดี ปัญญาก็ดี ที่ผมกล่าวแล้วเมื่อครู่นี้ ไม่ใช่วัตถุสิ่งของที่จะจับใส่รวมกันไปได้ จับไม่ได้ เพราะฉะนั้น วิธีที่จะอบรม จะเจริญนั้น จะเจริญอย่างไร อบรมอย่างไร ก็ต้องอาศัยการฟังให้เข้าใจ เมื่อฟังให้เข้าใจแล้ว จึงนำข้อความที่ได้ฟังได้เข้าใจแล้วไปปฏิบัติตามที่ได้ศึกษาได้เข้าใจมานั้น จึงจะได้ข้อปฏิบัติที่ถูก
เวลานี้มีพระที่เขาเรียกกันว่า พระสายกัมมัฏฐาน ซึ่งมีมากด้วย ติเตียนการศึกษา ท่านกล่าวว่า ถ้าศึกษามากแล้ว ก็จะเป็นทิฏฐิ เป็นมานะ ไม่สามารถที่จะปฏิบัติได้มรรคผลนิพพาน คำกล่าวนี้ผมเคยได้ยินมามากรูปเสียด้วย อย่างนี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ความเห็นของแต่ละบุคคล ผมของแนะนำเท่านี้
สุ. เรื่องของการอบรมภาวนาเป็นเรื่องละเอียด ซึ่งจะต้องพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะบริบูรณ์จริงๆ จึงจะเป็นผลที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ถ้ามีการปฏิบัติอย่างใดก็ตามที่ทำให้ขาดสติสัมปชัญญะ หมายความว่าข้อปฏิบัตินั้นเป็นข้อปฏิบัติผิด โดยเฉพาะเรื่องอานาปานสติเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก เพราะว่าสามารถจะเป็นข้อปฏิบัติทั้งในการเจริญสมถภาวนาหรือวิปัสสนาภาวนาก็ได้ แต่จะต้องเป็นข้อปฏิบัติที่ต่างกัน เมื่อเหตุต่างกัน ผลก็ต้องต่างกันด้วย ซึ่งทั้งการเจริญสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนาจะต้องเป็นผู้ที่ประกอบพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ จึงจะเป็นการอบรมเจริญปัญญา เพราะฉะนั้น ข้อปฏิบัติใดทำให้ขาดสติสัมปชัญญะ นั่นเป็นผลที่ไม่ถูก จะชื่อว่าเป็นการเจริญอบรมภาวนาปัญญาไม่ได้
ใน สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ข้อ ๑๓๒๖ กัปปินสูตร ที่ได้เคยกล่าวถึงแล้ว มีข้อความที่พระผู้มีพระภาคตรัสถามพระภิกษุทั้งหลายว่า เห็นท่านพระมหากัปปินะนั่งตัวตรง ไม่หวั่นไหวเอนเอียงบ้างหรือไม่ ซึ่งภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า แม้ท่าน ผู้มีอายุนั้น นั่งอยู่ท่ามกลางสงฆ์ หรือนั่งในที่ลับรูปเดียว ในเวลานั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายมิได้เห็นความไหว หรือความเอนเอียงแห่งกายของท่านผู้มีอายุนั้นเลย
ซึ่งพระผู้มีพระภาคตรัสต่อไปว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เมื่ออานาปานสติสมาธิ อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้วอย่างไร ความไหวหรือความเอนเอียงแห่งกายก็ดี ความหวั่นไหวหรือความกวัดแกว่งแห่งจิตก็ดี ย่อมไม่มี
ภิกษุในธรรมวินัยนี้อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ที่เรือนว่างก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า (พึงขยายเนื้อความให้พิสดารตลอดถึง ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้พิจารณาเห็นโดยความสละคืน หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้พิจารณาเห็นโดยความสละคืน หายใจเข้า)
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เมื่ออานาปานสติสมาธิ อันภิกษุเจริญ กระทำให้มากแล้วอย่างนี้แล ความไหวหรือความเอนเอียงแห่งกายก็ดี ความหวั่นไหวหรือความกวัดแกว่งแห่งจิตก็ดี ย่อมไม่มี
นี่เป็นผล สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ สมบูรณ์พร้อมทั้งปัญญา ไม่มีกวัดแกว่ง เอนเอียงหวั่นไหวทั้งกายและจิต นี่เป็นผลภายนอกที่ปรากฏ แต่ว่าภายในจริงๆ จะต้องมีปัญญาที่รู้ลักษณะของลมหายใจอย่างถูกต้อง ตรงที่เกิดและที่ดับ แต่ไม่ใช่ตามรู้ในขณะที่หายใจเข้าสุดที่ไหน และหายใจออกสุดสิ้นที่ไหน
มีแสดงไว้อย่างแน่นอนว่า ไม่ให้ตามรู้ เพราะถ้าเป็นการตามรู้แล้ว จิตจะไม่สงบ เพราะว่าจิตย่อมหวั่นไหวไปด้วยความต้องการที่จะรู้ในอาการที่ไหวไปของลมว่า ที่สิ้นสุดของลมภายในอยู่ที่ไหน และที่สิ้นสุดในขณะที่หายใจออกอยู่ที่ไหน
เรื่องของการเจริญอานาปานสติสมาธิ เป็นเรื่องของผู้ที่มีปัญญาดังเช่น มหาบุรุษทั้งหลายจริงๆ อันมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นต้น ซึ่งข้อความใน สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ทุติยวรรคที่ ๒ อิจฉานังคลสูตร ข้อ ๑๓๖๓ มีว่า
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ไพรสณฑ์ชื่ออิจฉานังคละ ใกล้อิจฉานังคลนคร ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมา แล้วตรัสว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราปรารถนาจะหลีกเร้น (พักผ่อน) อยู่สักสามเดือน ใครๆ ไม่พึงเข้ามาหาเรา เว้นแต่ภิกษุผู้นำบิณฑบาตรูปเดียว
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสพระผู้มีพระภาคแล้ว ใครๆ ไม่เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค เว้นแต่ภิกษุผู้นำบิณฑบาตรูปเดียว
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่เร้น โดยล่วงสามเดือนนั้นแล้ว ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมา แล้วตรัสว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกจะพึงถามเธอทั้งหลายอย่างนี้ว่า ดูกร ผู้มีอายุทั้งหลาย พระสมณโคดมอยู่จำพรรษาด้วยวิหารธรรมข้อไหนมาก เธอทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงตอบพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกนั้นอย่างนี้ว่า ดูกร ผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคอยู่จำพรรษาด้วยสมาธิอันสัมปยุตต์ด้วยอานา-ปานสติมาก
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าทุกท่านจะมีความสามารถที่จะเจาะจงเลือกเจริญอานา-ปานสติสมาธิได้ เช่นในขณะนี้ จะรู้รูปหยาบหรือว่ารูปละเอียด ปัญญาเลือกได้ไหมว่า รูปหยาบที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้จะไม่รู้ แต่จะรู้ลมหายใจที่ละเอียดกว่า เลือกได้ไหม ในเมื่อทางตายังไม่ได้สังเกต ยังไม่ได้รู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมซึ่งเป็นรูปหยาบตามความเป็นจริง แต่ถึงแม้ว่าจะว่าเป็นรูปหยาบ หรือรู้ว่าทรงแสดงไว้ว่าเป็นรูปหยาบ แต่ก็ยังไม่ได้เห็น ไม่ได้รู้ว่า รูปหยาบนั้นเป็นอย่างไร เพราะว่าพอเห็น ก็เห็นเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของแล้ว
อวิชชามีมาก ทำให้ปิดบังแม้รูปหยาบก็ยังไม่เห็น เพราะฉะนั้น จะไปเจาะจงเลือกเฟ้นเจริญอานาปานสติได้อย่างไร และเมื่ออานาปานสติเป็นการระลึกรู้ลมหายใจ ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ละเอียดมาก เพราะว่าเมื่อจิตละเอียดขึ้น ลมหายใจก็ยิ่งละเอียด ยากแก่การที่จะรู้ได้ ถ้าไม่มีปัญญาจริงๆ ไม่ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะบริบูรณ์จริงๆ จะให้สมาธิตั้งมั่นที่ลมหายใจเป็นอานาปานสติสมาธิไม่ได้
เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะอบรมเจริญข้อปฏิบัติอย่างไร ต้องศึกษาในข้อปฏิบัตินั้นโดยละเอียดจริงๆ ถ้าไม่ศึกษาเรื่องของอานาปานสติสมาธิโดยละเอียด เพียงแต่ว่าได้รับคำชี้แจง หรือคำสั่งว่าให้ทำอย่างไรเท่านั้น ประกอบด้วยปัญญาหรือเปล่า ถ้าไม่ประกอบด้วยปัญญา ก็ไม่ใช่ทั้งสมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนา
ถ้าได้รับคำสั่งให้ทำอย่างหนึ่งอย่างใด ให้จดจ้องที่หนึ่งที่ใด ปัญญารู้อะไร เป็นปัญญาหรือเปล่า ซึ่งถ้าไม่ใช่ปัญญา ผลคือว่า แทนที่จะประกอบด้วยสัมปชัญญะสมบูรณ์ ก็เป็นความหวั่นไหว ความเอนเอียงของกาย และปรากฏประสบการณ์ แปลกๆ ไม่ใช่ปกติตามความเป็นจริง ซึ่งนั่นไม่ใช่ผลของการอบรมเจริญปัญญาที่เป็นสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนาเลย
เพราะฉะนั้น เพียงแต่จะทำ โดยที่ไม่อบรมเจริญความเข้าใจให้ถูกต้อง ในข้อปฏิบัติ ในเหตุในผลเสียก่อน แทนที่ปัญญาจะเจริญขึ้น ก็เป็นการสะสมกิเลสอกุศลธรรมมากกว่าการที่จะละกิเลส เพราะว่าไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง
ขอเชิญติดตามฟังได้ที่ลิงก์ด้านล่าง ;
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 636
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 637
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 638
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 639
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ