อังคุตตรนิกาย ข้อ ๑๙๐ มีข้อความว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย กายกรรมที่สมาทานให้บริบูรณ์ตามทิฏฐิ ๑ วจีกรรมที่ สมาทานให้บริบูรณ์ตามทิฏฐิ ๑ มโนกรรมที่สมาทานให้บริบูรณ์ตามทิฏฐิ ๑ เจตนา ๑ ความปรารถนา ๑ ความตั้งใจ ๑ สังขาร ๑ ของบุคคลผู้มีความเห็นชอบธรรมทั้งหมดนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อผลที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะทิฏฐิเจริญ
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนพันธุ์อ้อยก็ดี พันธุ์ข้าวสาลีก็ดี พันธุ์ผลจันทน์ก็ดี บุคคลหมกไว้ในดินที่ชุ่มชื้น รสดิน รสน้ำที่มันถือเอาทั้งหมด ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นของหวาน น่ายินดี ของชื่นใจ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะพืชพันธุ์ดี ฉันใด กายกรรมที่สมาทานให้บริบูรณ์ตามทิฏฐิ ๑ วจีกรรมที่สมาทานให้บริบูรณ์ตามทิฏฐิ ๑ มโนกรรมที่สมาทานให้บริบูรณ์ตามทิฏฐิ ๑ เจตนา ๑ ความปรารถนา ๑ ความตั้งใจ ๑ สังขาร ๑ ของบุคคลผู้มีความเห็นชอบธรรมทั้งหมดนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อผลที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะทิฏฐิเจริญ ฉันนั้นเหมือนกันแล
ท่านผู้ฟังเป็นเมล็ดสะเดา เมล็ดบวบขม เมล็ดน้ำเต้าขม หรือเป็นพันธุ์อ้อยพันธุ์ข้าวสาลี พันธุ์ผลจันทน์ เป็นเรื่องที่น่าคิดพิจารณาที่จะต้องให้เป็นสัมมาทิฏฐิอยู่เสมอ เพื่อให้พ้นจากความเห็นผิด เพราะว่าความเห็นผิดนี่ไม่ยากเลยสำหรับผู้ที่มีอวิชชาและตัณหา ย่อมมีความพอใจยินดีที่จะเห็นผิดไปต่างๆ นาๆ แต่การที่จะให้พ้นไปจากความเห็นผิดได้นั้น ต้องอาศัยโยนิโสมนสิการ การพิจารณาเหตุผลที่ถูกต้องสมควรจริงๆ จึงจะทำให้ท่านพ้นจากความเห็นผิดได้ ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 229