
พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนพาลย่อมคิดว่าเราจักอยู่ในที่นี้ตลอดฤดูฝนจักอยู่ในที่นี้ ในฤดูหนาวและฤดูร้อนหารู้อันตรายไม่.
เรื่องพ่อค้ามีทรัพย์มาก พระไตรปิฎก คาถาธรรมบท เล่ม ๔๓
เรื่องย่อมีดังนี้ พ่อค้าขายผ้า จากเมืองพาราณสี บรรทุกผ้ามาขายที่เมืองสาวัตถี เมื่อถึงเมืองสาวัตถี ฝนตกหนัก น้ำท่วม ไม่ลด ตลอด 7 วัน เขาจึงพักที่ริมฝั่งอีกแม่น้ำ เมื่อน้ำไม่ลดเลย เขาคิดว่าการที่เขาจะกลับไปเมืองพาราณสีเสียเวลา การที่เราพักรอที่นี่จนกว่าน้ำลด และ ขายผ้าที่เมืองสาวัตถีตลอดฤดูฝน ฤดูหนาว ฤดูร้อน ตลอดปีแล้วค่อยกลับ
พระพุทธเจ้าเสด็จบิณฑบาตภายในพระนครสาวัตถี ทรงทราบความคิดของพ่อค้าผู้มีทรัพย์มากขายผ้า ทรงแย้มยิ้ม พระอานนท์ทราบการแย้มยิ้มของพระพุทธเจ้า ทูลถามถึงเหตุที่พระองค์ทรงแย้มยิ้ม พระพุทธเจ้าตรัสแสดงถึงความคิดของพ่อค้าที่จะขายผ้าตลอดปี และตรัสกับพระอานนท์ว่า เขาไม่รู้ว่าเขาจะมีอันตรายกับชีวิตของตน ท่านพระอานนท์ทูลถามอันตรายนั้นคืออะไร พระพุทธเจ้าตรัสว่าเขาจะมีอายุได้อีกเพียง 7 วันนับจากนี้ ท่านพระอานนท์จึงทูลว่าข้าพระองค์ขอไปบอกกับเขา พระพุทธเจ้าตรัสว่าถ้าเธอคุ้นเคยก็จงไปบอกเถิด ท่านพระอานนท์ได้ไปหาพ่อค้าและได้พูดถึงอันตรายของชีวิตของเขาว่าจะมีอายุได้เพียง 7 วัน พ่อค้าได้ฟังถึงความสลดใจ จึงนิมนต์พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขถวายทานตลอด 7 วัน และเมื่อถวายทานเสร็จ พระพุทธเจ้าได้ตรัสพระคาถากับพ่อค้าว่า
คนพาลย่อมคิดว่าเราจักอยู่ในที่นี้ตลอดฤดูฝนจักอยู่ในที่นี้ ในฤดูหนาวและฤดูร้อน หารู้อันตรายไม่.
อธิบายดังนี้ คนพาลคิดแต่จะมีชีวิตอยู่ทำงาน ใช้ชีวิตต่างๆ ไม่คิดว่าตนต้องมีความตายเป็นธรรมดา จึงใช้ชีวิตประมาท ด้วยการไม่เจริญกุศลประการต่างๆ ไม่อบรมปัญญา ไม่ศึกษาพระธรรม ในชีวิตประจำวันเลย หมกหมุ่น ประมาทกับการหาทรัพย์ ทำชีวิตให้เป็นสุข เมื่อเขาประมาทแล้ว เป็นคนพาล พาลเพราะไม่รู้ความจริง พาลเพราะทำแต่อกุศลธรรม พาลเพราะสักแต่ว่าใช้ชีวิตเพียงหายใจเข้าออก เมื่อประมาท ย่อมมีอบายเป็นที่ไปในภพหน้า เหมือนบุคคลสว่างมาแต่มืดไป ได้เกิดเป็นมนุษย์แต่ต้องกลับไปอบายภูมิ
เมื่อพ่อค้ามีทรัพย์มาก ฟังพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงจบ ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน เมื่อเขากลับไปที่พัก นอนบนที่นอน เกิดปวดหัวและก็จุติ ตาย ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต
จากพระธรรมเรื่องนี้ จึงเป็นเครื่องเตือนใจว่าความตายเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาเมื่อกรรมให้ผล ผู้ที่สะสมปัญญามา ก็ใช้ชีวิตเป็นปกติในชีวิตประจำวันที่มีกิจการงาน ในชีวิตคฤหัสถ์ แต่ก็อบรมปัญญาศึกษาพระธรรมได้ เจริญกุศลในชีวิตประจำวัน ดั่งเช่น พ่อค้ามีทรัพย์มากก็ได้มีโอกาสฟังพระธรรมเข้าใจจนถึงความเป็นพระโสดาบัน ปัญญาสามารถเกิดได้ จากการฟังพระธรรม ชีวิตผู้ประมาทก็แสวงหาทรัพย์ไป ลืมว่าต้องตาย และผู้ประมาทมาก ก็คือ ไปแสวงหาหนทางผิด คิดว่าเป็นหนทางถูก ไปสำนักปฏิบัติธรรมที่ไม่ทำให้รู้ความจริงในขณะนี้ ไปทำสมาธิที่ทำแล้วไม่เกิดปัญญารู้อะไร ได้แต่ความนิ่งสำคัญผิดว่าสงบ หมกมุ่นถูกหลอกจากโลภะให้อยากได้บุญ จึงไปทำสิ่งที่ผิดถวายเงินพระ (พระรับเงินอาบัติ) ทำกฐินเงิน สำคัญว่าได้บุญมาก แต่ไม่ได้บุญเป็นบาป นี่คือ ตัวอย่างผู้ประมาทเพราะไม่ได้ศึกษาพระธรรมอย่างละเอียด จึงหลงเชื่อตามเขา ก็เป็นคนพาลโดยไม่รู้ตัว แต่ผู้ไม่ประมาทก็สะสมปัญญาแบ่งเวลาให้พระธรรม ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในทางที่ถูกต้อง หลีกทางที่ผิดตามที่กล่าวมา และค่อยๆ เข้าใจความจริงในขณะนี้ แม้ขั้นการฟังว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ก็ค่อยๆ สะสมปัญญา มีชีวิตที่ประเสริฐในการได้เกิดมาเป็นมนุษย์
ทำงานจนลืมว่าต้องตาย แล้วก็จากไปไม่เหลือเลย ลืมว่าต้องตาย สุดท้ายสิ่งที่ติดไปได้ แค่ อกุศลและกุศล และจะจากไปด้วยความไม่รู้ (อวิชชา) หรือ จะจากไปด้วยการสะสมปัญญา อันนำพาชีวิตไปให้มีค่า พ้นทุกข์ได้แท้จริง
ยินดีในกุศลจิตครับ