ขั้นฟังเพียงรู้ความจริงว่า ไม่ใช่เรา
โดย เมตตา  29 พ.ย. 2568
หัวข้อหมายเลข 51555

อ.ณภัทร: เรียกว่าเป็นบุญครับท่านอาจารย์ที่ยิ่งฟังแล้วก็ยิ่งพิจารณา ก็จะเห็นเลยว่า ความยากที่ท่านอาจารย์บอกว่า ต้องค่อยๆ นี่คือต้องค่อยๆ จริงๆ แล้วก็ต้องค่อยๆ ขัดเกลา เพราะว่า มันออกยากมากมันหนาแน่นมันเหนียว คือสะสมมาในสังสารวัฏฏ์ที่ยาวนาน การที่จะละแม้ได้ฟังว่า เห็น ไม่ใช่เรา มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งเพียงเกิดแล้วดับ ก็ยังเข้าไม่ถึงความที่จะรู้ในความเป็นธรรมะที่เป็น ธาตุรู้ จริงๆ ครับ

ท่านอาจารย์: ก็ลองคิดดูเท่าที่เราสามารถระรู้ได้ ยางมะตอยนี่มันเหนียวมันหนามันดำมันมืดไหม?

อ.ณภัทร: อย่างนั้นครับ

ท่านอาจารย์: ลงไปในถังยางมะตอยมืดมิดหมดตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า ทุกขณะที่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง แล้วจะขัดเกลาจนไม่เหลือเลย นานไหม? ถ้าไม่รู้ก็ประมาณไม่ได้เลย ถึงแม้รู้ก็ยิ่งรู้ก็ยิ่งค่อยๆ คลายการที่จะไปทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพื่อละ เพราะรู้ว่า ที่รู้อย่างนี้แหละทำให้ละความไม่รู้

เพราะฉะนั้น ก็มีหนทางเดียว คือต้องรู้สิ่งที่มีจริงถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอริยสัจจธรรม ธรรมะที่มีจริง เปลี่ยนไม่ได้ สัจจธรรมะ อริยะ สามารถที่จะถึงความเป็นประเสริฐโดยประการที่ไม่มีความสงสัย ไม่มีความไม่รู้ในความจริงของสิ่งที่มีจริงซึ่งเป็นสัจจธรรม อริยสัจจธรรม

ถ้าไม่ได้ฟัง โอกาสที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้มีไม่ได้เลยสักขณะเดียวในสังสารวัฏฏ์ คิดดู!! จะหนาแน่นไปอีกเท่าไหร่จากที่ได้สะสมความไม่รู้มาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้พิสูจน์ได้ ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ คือเห็น เดี๋ยวนี้กำลังเห็น อวิชชาห่อหุ้ม ความไม่รู้ทั้งห่อทั้งหุ้ม ปิดบังไว้นานเท่าไหร่แต่ละหนึ่ง

นี่ค่ะ ถึงจะเป็นผู้ที่รู้จริงๆ ว่า ความไม่รู้หนาแน่นปานใด และที่จะขัดเกลาจนไม่เหลือเลยไม่ใช่วันเดียว สองวัน จะทำอะไรได้เลยทั้งสิ้น แต่เป็นการเข้าใจขึ้นตามความเป็นจริงทีละเล็กทีละน้อยตามลำดับว่า ขั้นฟังเพียงแค่รู้ความจริงว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เราจะทำอะไรได้ นอกจากมีเหตุที่สามารถจะทำให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้นในสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นธรรมที่ละเอียดลึกซึ้งมาก ถ้าไม่ตรงความละเอียด และความลึกซึ้ง ก็เป็นคนพาลธรรม เป็นพาลธรรม

อ.ณภัทร: เพราะฉะนั้น พระธรรมแต่ละคำแต่ละคาถาแต่ละบทที่พระองค์ทรงแสดงมีคุณค่าอย่างยิ่งครับ เพราะว่าเป็นหนทางจริงๆ เพราะว่าหนทางนี้เป็นหนทางที่จะนำไปถึง แม้จะแสนไกลแต่ว่าเป็นหนทางที่ถูกต้อง แล้วก็เป็นหนทางที่ไม่ให้โทษมีแต่คุณ เพราะอย่างน้อยผู้ที่ฟังแล้วก็ประพฤติตามครับ ก็ค่อยๆ เห็นความยากเห็นความลึกซึ้งของพระธรรม แล้วก็ละความหวังความต้องการที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเร็วๆ เพราะว่าถ้าไม่ฟังไม่พิจารณาก็ไม่สามารถจะรู้อย่างนั้นได้ แต่เมื่อรู้ก็ค่อยๆ คลายความหวัง ค่อยๆ ละความหวังไปทีละน้อย แล้วก็รู้ว่า หนทางที่ควรจะอบรมเจริญปัญญาคืออย่างไร ตามที่พระองค์ทรงแสดง

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัญญาของพระองค์ละเอียดไหม ลึกซึ้งไหม ยากที่จะรู้ได้ไหม ใครจะรู้เท่าพระองค์ได้ไหม แม้แต่เมื่อได้ฟังแล้ว ความรู้จากการที่พระองค์ได้ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีก็น้อยมาก จนกระทั่งกว่าจะเพิ่มขึ้น ถึงอย่างไรก็ไม่เท่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่ผู้ฟังซึ่งได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมก็ต่างกัน เป็นระดับอัครสาวกเป็นผู้เลิศในการที่ได้เข้าใจพระธรรม เป็นต้น และยังมหาสาวกมีความเข้าใจมากแต่ไม่ถึงความเป็นอัครสาวก แล้วก็ยังมีปกติสาวก

ทุกอย่างตามความเป็นจริงทั้งหมดเพื่อละความต้องการใดๆ เพราะทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย ทั้งสิ้น ไม่มีอะไรที่จะเกิดโดยไม่มีปัจจัยที่จะปรุงแต่งให้เป็นสิ่งนั้นในระดับนั้นได้

ด้วยเหตุนี้ เคารพสูงสุดในแต่ละคำที่ได้ฟังจากผู้ที่ได้ทรงตรัส มิเช่นนั้น ก็จะมืดสนิทแม้ปรากฏว่า สว่าง ก็ไม่รู้ว่าแค่เพียงกระทบตา แล้วตาอยู่ไหน? แล้วเห็นอยู่ไหน? แล้วสิ่งที่กระทบตามาปรากฏอยู่ไหน? แค่นี้ ไม่รู้เลย!! แล้วจะละได้อย่างไรในเมื่อไม่รู้ว่าอยู่ไหน??

อ.ณภัทร: ครับ ที่ท่านอาจารย์ถามกระผมว่า ธาตุรู้ มืดหรือสว่าง ผมก็ตอบว่า มืด แต่จะค่อยๆ สว่างขึ้นด้วยปัญญาอย่างนั้นไหมครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: อะไรสว่าง?

อ.ณภัทร: ปัญญาเป็นแสงสว่างครับ

ท่านอาจารย์: เหนือแสงสว่างใดๆ แม้ในความมืดความจริงก็ปรากฏได้ เพราะความจริงต้องปรากฏในความมืด

อ.ณภัทร: ครับ ความจริงต้องปรากฏในความมืด ขอท่านอาจารย์อธิบายความละเอียดตรงนี้ครับ

ท่านอาจารย์: ธาตุรู้มืด หรือสว่าง?

อ.ณภัทร: ธาตุรู้มืดครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ธาตุรู้ รู้ ใช่ไหม?

อ.ณภัทร: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: แล้ว ธาตุรู้ สว่างไหม?

อ.ณภัทร: ธาตุรู้ที่เป็นปัญญาสว่างครับ

ท่านอาจารย์: ยังๆ ๆ ๆ ๆ ยังไม่ตอบปัญญาค่ะ เพียงแค่ ธาตุีู้ สว่างไหม?

อ.ณภัทร: ไม่สว่าง มืดครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ธาตุรู้เกิดไม่เคยขาดเลยใช่ไหม?

อ.ณภัทร: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จะมืด หรือจะสว่าง?

อ.ณภัทร: ก็ต้องปรากฏในความมืด

ท่านอาจารย์: แล้วเดี๋ยวนี้สว่างใช่ไหม?

อ.ณภัทร: เดี๋ยวนี้สว่างทางตา

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ธาตุรู้ไม่ได้ปรากฏใช่ไหม?

อ.ณภัทร: ธาตุรู้ไม่ได้ปรากฏ หมายความว่า ทางตา หรือว่าอย่างไรครับ

ท่านอาจารย์: ไม่เรียกว่าทางตา หรืออะไรทั้งสิ้น แต่ตรงต่อความเป็นจริงว่า ธาตุรู้คืออะไร? มีลักษณะอย่างไร? เปลี่ยนได้ไหม? ไม่ต้องเลยไปไหนทั้งสิ้น

อ.ณภัทร: เปลี่ยนไม่ได้ครับ ต้องปรากฏในความมืดครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ธาตุรู้เกิดขึ้นมืด หรือสว่าง?

อ.ณภัทร: มืดครับ

ท่านอาจารย์: ธาตุรู้เกิดตลอดเวลาใช่ไหม ไม่เคยขาด?

อ.ณภัทร: ครับ ไม่เคยขาด

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น มืด หรือสว่างตลอดเวลา?

อ.ณภัทร: มืดตลอดครับ

ท่านอาจารย์: แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้ปรากฏอย่างนั้น ใช่ไหม?

อ.ณภัทร: ไม่ได้ปรากฏอย่างนั้นเลยครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ธาตุรู้ไม่ได้ปรากฏเลยใช่ไหม?

อ.ณภัทร: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: เห็นไหม พูดถึงธาตุรู้ตลอดเวลา แต่ธาตุรู้ไม่ได้ปรากฏเลย ถ้าธาตุรู้ปรากฏสว่างได้ไหม?

อ.ณภัทร: ได้ครับ

ท่านอาจารย์: ได้ไหม? ธาตุรู้ปรากฏ ไม่ใช่สว่างปรากฏนะ การฟังต้องละเอียดอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น ที่เราเคยคิดเคยเข้าใจผ่านผิว ไม่ได้ลึกซึ้งเลยทั้งสิ้น

อ.ณภัทร: ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต้องตรงระดับไหนที่จะเป็นสัจจธรรม อริยสัจจธรรมรอบที่ ๑ คือรู้ว่า ขณะนี้ธาตุรู้ไม่ได้ปรากฏในขณะที่สว่างอย่างนี้ ในขณะที่สว่างอย่างนี้ ธาตุรู้ไม่ได้ปรากฏเพราะอะไร?

อ.ณภัทร: ครับ

ท่านอาจารย์: เห็นไหม ยังไม่ต้องไปไหนหรอก ทุกวันๆ นี่แหละ ความไม่รู้นี่แหละ กว่าจะค่อยๆ มั่นคงที่จะเข้าใจให้ถูกต้อง

อ.ณภัทร: ครับ เพราะสติไม่ได้ระลึก

ท่านอาจารย์: เราไม่ได้พูดถึงสติ หรืออะไรเลยทั้งสิ้น ทีละคำๆ เราไปเอาคำที่เราไม่รู้จักมาพูดอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวสติ เดี๋ยวอะไรต่างๆ แต่ธาตุรู้สว่างไหม?

อ.ณภัทร: มืดครับ

ท่านอาจารย์: แล้วสติสว่างไหม?

อ.ณภัทร: สติก็มืดครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น อยู่ในโลกมืดใช่ไหม?

อ.ณภัทร: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: แล้วเวลานี้มันสว่าง มันอะไรกันล่ะ?

อ.ณภัทร: ครับ แล้วที่ท่านอาจารย์บอกว่ามันไม่ปรากฏเพราะอะไร

ท่านอาจารย์: ใช่ ขณะนี้ที่กำลังสว่าง ธาตุรู้ปรากฏหรือเปล่า?

อ.ณภัทร: ขณะที่สว่างขณะนี้ธาตุรู้ปรากฏหรือเปล่า

ท่านอาจารย์: เห็นไหม ต้องไตร่ตรองจนมั่นคงในความจริงว่า ลึกซึ้งปานใด

อ.ณภัทร: ครับ ธาตุรู้ไม่ได้ปรากฏ

ท่านอาจารย์: ธาตุรู้ปรากฏหรือเปล่า?

อ.ณภัทร: ไม่ได้ปรากฏครับ

ท่านอาจารย์: ตรงใช่ไหม?

อ.ณภัทร: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: ธาตุรู้มี มีสิ่งที่ปรากฏว่าสว่าง แต่ธาตุรู้ไม่สว่างแน่นอน

อ.ณภัทร: ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น อะไรสว่าง?

อ.ณภัทร: ปัญญาที่เข้าใจ

ท่านอาจารย์: ไม่ใช่ เดี๋ยวนี้แหละที่กำลังสว่าง สว่าง อยู่

อ.ณภัทร: ครับ ก็สิ่งที่ปรากฏทางตาครับ

ท่านอาจารย์: แล้วก็ได้พูดเพราะจำ แล้วก็ต้องรู้ว่ามันปรากฏทางตาใช่ไหม?

อ.ณภัทร: ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏทางตามีจริงไหม?

อ.ณภัทร: มีจริงๆ ครับ

ท่านอาจารย์: ทำไมรู้ว่ามีจริง?

อ.ณภัทร: เพราะปรากฏ เพราะมี เพราะเกิดขึ้น จึงรู้ว่ามีครับ

ท่านอาจารย์: เกิดขึ้นแน่นอน แต่เมื่อไหร่ปรากฏ?

อ.ณภัทร: ปรากฏเมื่อมีธาตุรู้รู้สิ่งที่ปรากฏทางตาครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ธาตุรู้ที่มืดนั่นแหละรู้สิ่งที่สว่าง

อ.ณภัทร: ครับ

ท่านอาจารย์: แสดงว่า ธาตุรู้ไม่ได้จำกัดเลย รู้ได้ทั้งหมดทุกอย่างเพราะเป็นธาตุรู้ แต่ธาตุรู้ก็หลากหลายต่างกันมาก กว่าจะรู้ว่าขณะนี้เอง แต่ละหนึ่งๆ ไม่เหมือนกัน สิ่งที่สว่างเป็นธาตุรู้หรือเปล่า?

อ.ณภัทร: ไม่ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: มีจริงไหม?

อ.ณภัทร: มีจริงๆ ครับ

ท่านอาจารย์: เมื่อไหร่?

อ.ณภัทร: เมื่อปรากฏกับธาตุรู้ว่าสิ่งนั้นมีครับ

ท่านอาจารย์: เท่านั้นใช่ไหม?

อ.ณภัทร: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: ถ้าธาตุรู้ไม่เกิดขึ้นรู้สิ่งที่สว่าง สิ่งที่สว่างก็ปรากฏไม่ได้ใช่ไหม?

อ.ณภัทร: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น สิ่งที่สว่างมีเยอะ หรือมีเป็นเพียงหนึ่งที่สว่าง?

อ.ณภัทร: เพียงหนึ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้นครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น โลกปรากฏตามความเป็นจริงหรือเปล่า?

อ.ณภัทร: โลกไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง

ท่านอาจารย์: เริ่มรู้ใช่ไหม?

อ.ณภัทร: เริ่มรู้เพราะได้ฟังคำของพระองค์ครับ

ท่านอาจารย์: มั่นคงไหมที่จะรู้ว่า ธาตุรู้ไม่สว่าง

อ.ณภัทร: ครับ

ท่านอาจารย์: และสว่างปรากฏไม่ได้ ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น เราใช้คำว่า เห็นสิ่งที่สว่าง

อ.ณภัทร: ครับ

ท่านอาจารย์: แล้วเราอยู่ในโลกไหนเดี๋ยวนี้?

อ.ณภัทร: อยู่ในโลกสลับกันครับ อยู่ในโลกมืดแล้วก็สว่างครับ

ท่านอาจารย์: อย่างนั้นหรือ เห็นมันสว่างตลอดเวลามิใช่หรือ? ตอนไหนล่ะมันมืด?

อ.ณภัทร: คือตอนที่รู้จักธาตุรู้ ก็จะรู้ว่า ขณะนั้นไม่สว่างครับ

ท่านอาจารย์: ตอนไหนที่มันมืด?

อ.ณภัทร: ตอนที่รู้จักธาตุรู้ที่กำลังมีขณะนั้นครับ

ท่านอาจารย์: นี่มีไหม ที่มันมืดระหว่างสลับกับสว่าง มันมีไหม?

อ.ณภัทร: ยังไม่ได้เกิดขึ้นอย่างนั้นครับ

ท่านอาจารย์: มันเกิดอยู่แล้วแต่ไม่ปรากฏ เพราะอวิชชา ความไม่รู้ ไม่สามารถจะรู้ได้ในความสว่างของสิ่งที่ปรากฏทางตา โลกหนึ่งเปลี่ยนไม่ได้โลกเดียวที่สว่าง โลกอื่นไม่สว่างเลยทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้น ความจริงมืดมากกว่า หรือสว่างมากกว่า

อ.ณภัทร: มืดมากกว่าแน่นอนครับ

ท่านอาจารย์: ก็ไม่เคยปรากฏเลยใช่ไหม?

อ.ณภัทร: ก็ไม่เคยปรากฏเลยครับ

ท่านอาจารย์: ปรากฏเฉพาะกับปัญญาที่ถึงระดับประจักษ์แจ้งความจริงเท่านั้น เพราะฉะนั้น ปัญญาจึงมีหลายระดับ อริยสัจจธรรมจึงมีถึง ๓ รอบ ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้มั่นคง ก็ไปนั่งทำอะไร มันรู้ไม่ได้ เพราะปัญญาเท่านั้นที่สามารถจะรู้ชัดในความต่างของความเป็นจริง

ถ้าเป็นปัญญาที่ถึงระดับประจักษ์แจ้งความจริง ต้องในขณะที่มืดมากกว่าใช่ไหม?

อ.ณภัทร: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: แล้วมากกว่าระดับไหน?

อ.ณภัทร: ต้องมากกว่าเยอะครับ เพราะว่าเห็นแล้วก็คิด แล้วคิดนั้นก็อยู่ในความมืด ซึ่งไม่ใช่เห็น

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น กว่าจะเป็นโลกของจุดเดียวที่สว่าง

อ.ณภัทร: น้อยมากครับ

ท่านอาจารย์: ไม่มีๆ ยังไม่ปรากฏเลย

อ.ณภัทร: ครับ

ท่านอาจารย์: เห็นไหมว่า โลกไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง เป็นคำตรัสของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เปลี่ยนได้ไหม? ในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงตรัสรู้ความจริงนี้ได้

อ.ณภัทร: ครับ

: กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.ณภัทร ด้วยความเคารพค่ะ



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 29 พ.ย. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ