วันมาฆบูชา วันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓
โดย มศพ.  23 ก.พ. 2567
หัวข้อหมายเลข 47451

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย


วันมาฆ
บูชา
(วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓)
วันมาฆบูชา เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ มีเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในวันนี้ คือ เป็นวันจาตุรงคสันนิบาต ซึ่งมีการประชุมพร้อมกันด้วยองค์ ๔ ประการ ได้แก่

๑. เป็นวันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่ำ ประกอบด้วยมาฆนักษัตร

๒. ภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป ประชุมกันที่พระวิหารเวฬุวัน (อารามแห่งแรกในพระพุทธศาสนาพระเจ้าพิมพิสารเป็นผู้ถวาย) โดยเป็นการมาตามธรรมดาของตนๆ ไม่มีใครนัดหมาย

๓. ภิกษุทั้ง ๑,๒๕๐ รูป ไม่มีแม้สักรูปเดียวที่เป็นปุถุชน หรือพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ผู้สุกขวิปัสสกะ ภิกษุทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา ๖ ทั้งนั้น

๔. ภิกษุทั้ง ๑,๒๕๐ รูป มิได้ปลงผมด้วยมีดโกนบวชแม้แต่รูปเดียว ทั้งหมดล้วนเป็นเอหิภิกขุ (คือได้รับการอุปสมบทจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยพระองค์ทรงเปล่งพระวาจาว่า เอหิ ภิกขุ = เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวไว้ดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อกระทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด)

ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ นี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ซึ่งเป็นพระโอวาทคำพร่ำสอนที่เป็นไปเพื่อทำให้พ้นจากการตกไปในสังสารวัฏฏ์ แก่พระภิกษุทั้งหลาย มีพระคาถาว่า การไม่ทำบาปทั้งปวง การยังกุศลให้ถึงพร้อม การยังจิตของตนให้ผ่องใส นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นต้น สำหรับโอวาทปาติโมกข์นั้น เป็นพระโอวาทคาถาที่พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ทรงแสดงเหมือนกัน ไม่มีความแตกต่างกัน

อีกเหตุการณ์หนึ่ง ก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์แก่ภิกษุทั้งหลายนั้น ท่านพระสารีบุตรได้บรรลุเป็นพระอรหันต์เมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาชื่อว่าทีฆนขสูตร ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ทีฆนขปริพาชก ผู้เป็นหลานของท่านพระสารีบุตร ณ ถ้ำสูกรขาตา เขาคิชฌกูฏ เขตพระนครราชคฤห์ ดังนั้น ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ นี้ จึงเป็นวันที่ท่านพระสารีบุตรได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ และในวันดังกล่าวนี้เป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานตำแหน่งพระอัครสาวกแก่พระอัครสาวกทั้งสอง (ท่านพระสารีบุตร,ท่านพระมหาโมคคัลลานะ) อีกด้วยก่อนที่พระองค์จะได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์

อีกประการหนึ่ง วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ (ก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ในวันเพ็ญเดือน ๖) เป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปลงอายุสังขาร ใกล้จะปรินิพพาน ตามข้อความในพระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพานสูตร ดังนี้ว่า “จากนี้ล่วงไปสามเดือน ตถาคตจักปรินิพพาน ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระสติสัมปชัญญะ ทรงปลงอายุสังขาร ณ ปาวาลเจดีย์” และ ตามข้อความในมธุรัตถวิลาสินี อรรถกถาขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ดังนี้ว่า “โดยนักษัตรคือดาวฤกษ์เดือนมาฆะ (เดือน ๓) พระองค์ทรงประชุมพระสาวก และ ทรงปลงอายุสังขาร”
ดังนั้น จึงควรอย่างยิ่งที่พุทธศาสนิกชนจะได้น้อมระลึกถึงพระมหากรุณาคุณของสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อสัตว์โลกทั้งปวง พร้อมทั้งประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง ด้วยการเป็นผู้ไม่ทำบาป คือ ไม่ทำอกุศล ถึงแม้จะเล็กน้อยเพียงใด ก็ไม่ควรทำ อีกทั้งเป็นผู้ไม่ประมาทในการเจริญกุศลสะสมความดีทุกประการ เพราะในขณะที่จิตเป็นกุศลนั้น อกุศลใดๆ ก็เกิดขึ้นไม่ได้ในขณะนั้น และประการที่สำคัญขาดไม่ได้เลย คือ ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา ด้วยความตั้งใจ ใส่ใจด้วยดี ไม่ประมาทในทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ดีแล้ว


... ขอความเจริญมั่นคงในกุศลธรรมจงมีแด่ทุกท่าน ...



ความคิดเห็น 1    โดย nattawan  วันที่ 23 ก.พ. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย swanjariya  วันที่ 23 ก.พ. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง


ความคิดเห็น 3    โดย jaturong  วันที่ 23 ก.พ. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 4    โดย Wisaka  วันที่ 27 ก.พ. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ