ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๔๑
~ ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน ตอนเย็นๆ ณ พระวิหารเชตวัน ณ พระวิหารเวฬุวัน ก็มีพุทธบริษัทไปเฝ้าเพื่อฟังพระธรรม จุดประสงค์ในการทรงแสดงพระธรรมก็เพื่อให้ผู้ฟังพิจารณาและเกิดปัญญาของตนเอง เพราะว่าพระองค์ดับกิเลสหมดแล้ว พระปัญญาสมบูรณ์ที่สุดแล้ว ไม่มีกิจที่จะต้องกระทำส่วนพระองค์ นอกจากสัตตูปการคุณ คือ การทรงแสดงธรรมเพื่ออุปการะแก่สัตว์โลก เพื่อให้ผู้ฟังเกิดปัญญา เพราะฉะนั้น แม้ในสมัยนี้ เหตุการณ์ครั้งนั้นผ่านล่วงเลยมาถึง ๒,๕๐๐ กว่าปี ผู้ที่เคยสนใจฟังพระธรรมก็ยังไม่ทิ้งโอกาส เวลาที่มีพระธรรมที่ได้เคยทรงแสดงไว้ ณ ที่ใด ก็ฟังและพิจารณา แต่ข้อสำคัญคือให้รู้ว่าเพื่อปัญญาของตนเองเกิดขึ้น เข้าใจเหตุและผลโดยสมบูรณ์ โดยไม่ผิด เพราะว่าเป็นเรื่องของเหตุและผลทั้งสิ้น
~ เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม ไม่ทรงหวังอะไรทั้งสิ้นจากใคร เพียงให้เขาได้รู้ความจริง ความเป็นกัลยาณมิตรที่ประเสริฐสุด เพียงให้เขาได้เข้าใจความจริงที่พระองค์ทรงแสดงธรรม ไม่ใช่เพื่ออะไรทั้งสิ้น นี่คือพระมหากรุณา
~ ธรรมที่ได้ยินได้ฟังอยู่หรือที่จะได้ยินต่อไปหรือว่าที่ได้ยินมาแล้วก็ตาม ท่านจะต้องไตร่ตรองจริงๆ ให้ได้ความเข้าใจที่แท้จริง จึงจะได้ประโยชน์ที่เกิดจากธรรมที่ได้ฟัง มิฉะนั้นแล้ว ท่านอาจหลงผิด เชื่อผิด ปฏิบัติผิดได้โดยง่าย แต่ถ้าท่านพิจารณาไตร่ตรองในเหตุผลโดยรอบคอบ ก็ย่อมเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
~ ไม่มีสักขณะเดียวที่ไม่ใช่ธรรมหรือว่าพ้นจากธรรม กว่าจะถึงความเข้าใจธรรม ก็จะต้องเป็นผู้ที่อดทน เป็นผู้ที่ตรง เป็นผู้ที่มั่นคง ว่า ถ้าไม่ได้ยินได้ฟังคำเหล่านี้ ไม่มีวันไหนในสังสารวัฏฏ์ที่จะรู้ความจริงได้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม
*** ~ คิดว่าธรรมไม่ลึกซึ้ง ไม่ต้องฟังมาก ไม่ต้องพิจารณามาก ปฏิบัติอย่างไรๆ เข้าใจอย่างไรๆ ก็ถูกทั้งนั้น นั่นคือ ผู้ที่ประมาทธรรม***
~ คำพูดทำให้บุคคลนั้นดูน่าเกลียดไปได้ ทั้งๆ ที่รูปร่างภายนอกอาจจะน่าดู แต่ว่าเวลาพูดเต็มไปด้วยกิเลส มีการโอ้อวดหรือว่าเต็มไปด้วยความริษยา ผูกอาฆาตต่างๆ รูปงามนั้นก็เป็นรูปที่ไม่งามเสียแล้ว เพราะว่าขณะนั้นมีกิเลสทำให้เกิดอกุศลจิตที่กล่าววาจาที่เป็นอกุศลได้
~ ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดจริงๆ ถ้าท่านไม่ศึกษาโดยตลอด ไม่พิจารณาไตร่ตรองสอบทานเทียบเคียงโดยแยบคายโดยละเอียดจริงๆ จะเข้าใจสภาพธรรมผิดได้โดยง่าย แต่เพราะเหตุที่ธรรมเป็นสภาพที่มีจริง คงทนต่อการพิสูจน์ ผู้ที่ได้ตรัสรู้สภาพธรรมนั้นถูกต้องตามความเป็นจริง จึงได้ทรงแสดงลักษณะของสภาพธรรมนั้นไว้ เพราะฉะนั้น ท่านผู้ฟังที่ต้องการจะทราบเหตุผลตามความเป็นจริงของสภาพธรรม ก็จะต้องศึกษาจริงๆ พิจารณาไตร่ตรองในเหตุผลจริงๆ จึงจะสามารถเข้าใจสภาพธรรมได้ถูกต้อง ไม่เข้าใจผิด ไม่คลาดเคลื่อนได้
~ ตลอดชีวิตเป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม คือ เป็นสภาพรู้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ และสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตาไม่ใช่นามธรรม แต่เป็นรูปธรรมชนิดหนึ่ง สภาพธรรมที่ปรากฏทางหู คือ เสียง ก็เป็นรูปธรรม เพราะเสียงไม่สามารถรู้อะไรได้เลย แต่ที่เสียงปรากฏได้ เพราะขณะนั้นมีสภาพรู้เสียง กำลังรู้ในเสียงที่ปรากฏ ซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนทั้งสิ้น นี่เป็นการศึกษาขั้นการฟัง เป็นปริยัติ
~ ไม่มีอะไรที่จะประเสริฐเท่ากับการรู้แจ้งความจริงของธรรมทั้งหลายซึ่งเป็นสัจจธรรมที่พระผู้มีพระภาคเองทรงแสวงหาตลอดเวลาที่เป็นพระโพธิสัตว์ และเมื่อได้ทรงตรัสรู้แล้วก็ทรงแสดงหนทางจริงที่จะทำให้สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมและดับกิเลสได้จริงๆ แต่ต้องเป็นผู้ที่ตรงและจริงใจ
~ จริงใจต่อพระธรรมหรือเปล่า ถ้าเป็นผู้ที่จริงใจต่อพระธรรม
ก็คือศึกษาพระธรรมด้วยความจริงใจ เพื่อเข้าใจพระธรรมให้ถูกต้อง นี่คือความจริงใจในการศึกษาพระธรรม การศึกษาพระธรรมไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลย ไม่ใช่เพื่อลาภ ไม่ใช่เพื่อสักการะ ไม่ใช่เพื่อสรรเสริญ แต่เพื่อให้เข้าใจพระธรรมให้ถูกต้อง ให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏให้ถูกต้อง เพื่ออะไร เพื่อขัดเกลากิเลส เพื่อละความไม่รู้
*** ~ ใครที่ทำผิด รู้ว่าทำไม่ดี เกิดสติระลึกได้ก็ทำกุศล เพราะว่าได้ทำอกุศลมาแล้ว อย่างหลายคนเคยฆ่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยมามาก ศึกษาธรรมแล้วก็เลิก และทำกุศลเพิ่มขึ้น การระลึกถึงอกุศลที่ได้ทำแล้วเป็นปัจจัยให้ทำกุศลได้***
~ การขัดเกลากิเลสเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก เพราะต้องเข้าใจเรื่องของสภาพธรรมโดยละเอียด โดยถูกต้อง ถ้าใครศึกษาพระธรรมโดยไม่รอบคอบ หรือมีการเข้าใจผิดในพระธรรม การขัดเกลากิเลสก็ย่อมเป็นไปไม่ได้
~ วันหนึ่งๆ จะเห็นได้ว่า กุศลจิตที่เกิดขึ้นกระทำกุศลกรรมต่างๆ นั้นเป็นไปตามฉันทะ (ความพอใจ) ของแต่ละบุคคลที่ได้สะสมมาซึ่งบางท่านอาจจะช่วยเหลือบุคคลอื่น หรือว่าบางท่านอาจจะให้ทานวัตถุสิ่งของเป็นประโยชน์แก่คนอื่น กุศลธรรมเป็นปรมัตถธรรม เป็นสภาพธรรมที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เกิดขึ้นเป็นไป ตามเหตุตามปัจจัย ตามฉันทะ ทั้งในเรื่องของทาน ในเรื่องของศีล ในเรื่องการไตร่ตรองเหตุผลในธรรมซึ่งจะต้องไตร่ตรองให้ได้เหตุผลจริงๆ มิฉะนั้นอาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อนไปได้
~ ข้อสำคัญที่สุด คือ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเป็นเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงและทนต่อการพิสูจน์ อย่างเช่นเห็นมีจริง และทนต่อการพิสูจน์ คือ ถ้าใครพิสูจน์ได้ก็จะรู้ว่า สภาพที่เห็นเป็นอย่างไร ไม่ใช่ตัวตนอย่างไร ทุกอย่างที่เป็นชีวิตประจำวัน เป็นสิ่งที่มีจริงและทนต่อการพิสูจน์ ไม่ต้องสร้างหรือทำอะไรขึ้นเพื่อจะรู้ แต่รู้ว่าสภาพธรรมที่เกิดในขณะนี้ ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทั้งสิ้น จึงไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
*** ~ เห็นความบอบบางของชีวิตว่าชีวิตขึ้นอยู่กับเพียงลมหายใจแผ่วๆ เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรที่มากกว่านี้เลย และถ้าพิจารณาชีวิตที่ขึ้นอยู่กับลมหายใจแผ่วๆ จะเห็นความไม่มั่นคงของทุกสิ่งทุกอย่างที่กระทบกับตาบ้าง หูบ้าง จมูกบ้าง ลิ้นบ้าง กายบ้าง ใจบ้างด้วย***
***คิดดู จะจากโลกนี้ไปแล้ว อะไรๆ ก็ไม่สามารถจะเอาไปได้ที่เป็นวัตถุทรัพย์สิ่งของ ถ้าเราสะสมอกุศลธรรมไว้มาก คือ โทสะ ชาติต่อไปเราก็จะเป็นคนที่มักโกรธ แต่ถ้าเราสะสมเมตตาเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ชาติหน้าก็ไม่มีปัญหาต้องมาถาม ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา รู้ความจริงนี้หรือยัง ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ถ้าเรามีเมตตาขณะนี้ ต่อไปก็มีปัจจัยที่จะให้เมตตาเกิดขึ้น***
~ ปัญญาเป็นสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับอกุศลธรรม ซึ่งอกุศลธรรมทั้งหลาย เป็นศัตรู เพราะฉะนั้น ปัญญาเปรียบเสมือนมิตรที่แท้จริง เพราะว่าไม่เคยทำร้ายจิตแต่ประการใดเลย
~ เวลาใดที่โกรธใครก็ตาม ขณะนั้นเป็นบุญหรือเปล่า ไม่เป็น เวลาที่ให้อภัย และเข้าใจว่า ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะโกรธ การโกรธนั้นไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย ทั้งเขาทั้งเรา เวลาที่เราโกรธก็ไม่ได้ทำให้คนที่เราโกรธดีขึ้น และใจของเราในขณะนั้น ก็รุ่มร้อน ขณะนั้นไม่ใช่บุญ เพราะฉะนั้น ถ้ามีเมตตาและไม่โกรธ ขณะนั้นเป็นบุญไหม? ไม่โกรธเป็นบุญ เพราะฉะนั้น รู้แล้วว่าบุญอยู่ที่ไหน วันหนึ่งๆ อยากจะได้บุญมากสักเท่าไร หาเองได้ คือ ไม่ต้องไปทำอะไรให้ลำบากสักนิดเดียว ขณะใดที่ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ขณะนั้นเป็นบุญ
~ เสียเวลาจริงๆ เสียประโยชน์ของตนเองจริงๆ ในขณะที่โกรธคนอื่น ตนเองเท่านั้นที่เดือดร้อนเพราะความโกรธของตนเอง
~ พระธรรมจะชี้ให้เห็นตามความเป็นจริงว่า อกุศลเป็นอกุศล แยบยลหลากหลายและละเอียดมากด้วย ยากที่จะรู้ได้ แต่ปัญญาสามารถรู้ทุกอย่างถูกต้องตามความเป็นจริงได้ ขณะนั้นเบิกบานที่ได้รู้ความจริงและได้พ้นจากการไม่รู้ความจริง
~ คำที่ไพเราะ คือ คำจริง ถ้าเป็นคำไม่จริง เป็นคำเท็จ แม้ฟังดูเหมือนจะไพเราะ แต่เมื่อไม่จริงแล้ว ย่อมไม่ใช่ความไพเราะ
~ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิต ก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๔๐


... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
เดี๋ยวนี้เป็นธรรม
ไม่มีสักขณะเดียวที่ไม่ใช่ธรรมหรือว่าพ้นจากธรรม กว่าจะถึงความเข้าใจธรรม ก็จะต้องเป็นผู้ที่อดทน เป็นผู้ที่ตรง เป็นผู้ที่มั่นคง ว่า ถ้าไม่ได้ยินได้ฟังคำเหล่านี้ ไม่มีวันในสังสารวัฏฏ์ที่จะรู้ความจริงได้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ
อนุโมทนาค่ะ