ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “ตณฺหาทุติย ”
โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย
ตณฺหาทุติย เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านตามภาษาบาลีว่า ตัน - หา - ทุ - ติ - ยะ ] มาจากคำว่า ตณฺหา (ความอยาก, ความต้องการ, ความติดข้อง, ตัณหา) กับคำว่า ทุติย แปลว่า เพื่อนสอง รวมกันเป็น ตณฺหาทุติย แปลว่า ผู้มีตัณหาเป็นเพื่อนสอง เป็นอีก ๑ คำที่แสดงถึงความเป็นจริงของธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่งคือตัณหาหรือโลภะ สภาพที่ติดข้องต้องการ เกิดกับใคร ผู้นั้นก็มีตัณหาเป็นเพื่อนซึ่งเป็นเพื่อนฝ่ายที่ไม่ดีอยู่ด้วยที่คอยให้ติดข้องต้องการในสิ่งต่างๆ เป็นสภาพที่กางกั้นไม่ให้กุศลเกิดขึ้นได้ และทำให้จมอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ไม่ทำให้พ้นจากทุกข์ไปได้เลย
ข้อความในอัฏฐสาลินี อรรถกถา พระอภิธรรมปิฎก ธัมมสังคณีปกรณ์ ได้กล่าวถึงความเป็นจริงของตัณหา ที่เป็นเพื่อนสอง ไว้ดังนี้
ตัณหา ที่ชื่อว่า “ธรรมชาติเป็นเพื่อนสอง” โดยความหมายว่า เป็นสหายโดยไม่ยอมให้เงยหน้า จริงอยู่ ตัณหา (ความอยาก) นี้ ย่อมไม่ให้เหล่าสัตว์เงยหน้าในวัฏฏะ ย่อมทำให้อภิรมย์อยู่ ดุจสหายรักในที่ๆ ไปแล้วๆ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสไว้ว่า บุรุษมีตัณหาเป็นเพื่อนสอง ท่องเที่ยวไปอยู่ สู่ความเป็นอย่างนี้และความเป็นอย่างอื่นสิ้นกาลนาน ย่อมไม่ผ่านพ้นสังสารวัฏฏ์ไปได้
ธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงนั้น ไม่พ้นไปจากชีวิตประจำวันเลย ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม ก็มีธรรมเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย มีอยู่ทุกขณะ สิ่งที่สำคัญคือความเข้าใจถูกเห็นถูก อันเริ่มมาจากการฟัง การศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ไม่มีตัวตนที่จะไปบังคับให้ปัญญาเกิด ไม่มีตัวตนที่จะไปพิจารณา และแต่ละบุคคลที่เป็นปุถุชนย่อมมากไปด้วยกิเลสซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต ที่สะสมมาอย่างยาวนานในสังสารวัฏฏ์ ยากที่จะละให้หมดสิ้นไปได้ในทันทีทันใด
ธรรมทั้งหมดทุกประการ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงโดยละเอียดเพื่อประโยชน์เกื้อ-กูลแก่สัตว์โลกจะได้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกตรงตามความเป็นจริง เพราะได้อาศัยคำจริงแต่ละคำที่พระองค์ทรงแสดง สัตว์โลกจึงได้สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงตรงตามความเป็นจริงเกิดปัญญาเป็นของตนเอง และสิ่งที่มีจริงนั้น มีจริงในชีวิตประจำวันด้วย ไม่ต้องไปแสวงหาสิ่งที่มีจริงที่ไหน แม้แต่ตัณหา ก็มีจริง ตราบใดที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ก็ยังมีตัณหาเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความเป็นจริงของตัณหาไว้โดยละเอียดโดยประการทั้งปวง เพื่อความเข้าใจตัณหาตามความเป็นจริง ก็จะเห็นพระมหากรุณาคุณของพระองค์ที่ทรงแสดงลักษณะของธรรมโดยละเอียด แม้แต่ตัณหา ถ้าไม่ทรงแสดงไว้โดยละเอียด จะไม่ทราบเลยว่า แม้แต่เพียงความติดข้องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่มีกำลังแรงกล้าจนถึงทำทุจริตกรรม เช่น ความผูกพัน ความรักพวกพ้อง ความติดข้องแม้ในสิ่งของของตน เหล่านี้ ก็เป็นลักษณะของอกุศลธรรมที่เป็นตัณหา
สำหรับที่กล่าวถึงตัณหาเป็นเพื่อนสองของคนนั้น ข้อความบางตอนจากคำบรรยายของอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ ๑๐๓๗ มีดังนี้
“ที่ชื่อว่าธรรมชาติเป็นเพื่อนสอง โดยความหมายว่า เป็นสหายโดยไม่ยอมให้เงยได้ จริงอยู่ ตัณหานี้ย่อมไม่ให้เหล่าสัตว์เงยในวัฏฏะ ย่อมทำให้อภิรมย์อยู่ ดุจสหายรักในที่ๆ ไปแล้วๆ ด้วยเหตุนั้นจึงตรัสไว้ว่า บุรุษมีตัณหาเป็นเพื่อนสองท่องเที่ยวไปอยู่ สู่ความเป็นอย่างนี้และความเป็นอย่างอื่น สิ้นกาลนาน ย่อมไม่ผ่านพ้นสังสาระไปได้
อย่าลืมว่า ไม่เคยอยู่คนเดียว เพราะว่ามีเพื่อนอีกคนหนึ่งที่อยู่ด้วยใกล้ชิดที่สุด ไม่ห่างเลย คือ โลภะ จริงหรือเปล่า อยู่ที่ไหนก็ได้ที่เข้าใจว่าอยู่คนเดียว ลองคิดดูว่าในขณะนั้นใจนึกถึงอะไรบ้าง นึกถึงใครบ้าง นึกถึงเรื่องอะไรบ้าง แล้วจะกล่าวว่าอยู่คนเดียวได้อย่างไร เพราะฉะนั้น โลภมูลจิต (จิตที่มีโลภะเป็นมูล) ไม่เคยจากไปไกลเลย อยู่ใกล้เคียงตลอดเวลาในสังสารวัฏฏ์”
จะเห็นได้ว่า ตราบใดที่ยังไม่สามารถดับตัณหาได้ ก็มีตัณหาเป็นเพื่อนสองอยู่โดยตลอด ไม่เคยขาดตัณหาเลย ชีวิตประจำวันบางครั้งบางคราวดูเหมือนว่าตนเองอยู่คนเดียว ไม่มีบุคคลอื่นอยู่ด้วย แต่แท้ที่จริงแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด ก็ไม่ปราศจากตัณหาเลย มีตัณหาเป็นเพื่อนอยู่ตลอด แต่เป็นเพื่อนที่ไม่ดี ที่คอยให้ติดข้องในสิ่งต่างๆ ซึ่งเมื่อติดข้อง ก็ไม่เป็นโอกาสของกุศลที่จะเกิดขึ้น มีแต่จะสะสมพอกพูนอกุศลทับถมต่อไปอีก เมื่อสะสมมากขึ้น มีกำลังมากขึ้น ย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้กระทำทุจริตกรรมประการต่างๆ เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อนได้ ซึ่งในขณะที่กระทำอกุศลกรรมหรือทุจริตกรรมนั้น ตนเองย่อมเดือดร้อนก่อนคนอื่น เพราะขณะนั้นได้สะสมอกุศลอันเป็นเครื่องแผดเผาจิตใจให้เร่าร้อน และเมื่ออกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้วถึงคราวให้ผล ก็ทำให้ตนเองได้รับความทุกข์ ความเดือดร้อน ได้รับสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาไม่น่าใคร่ไม่น่าพอใจ อันเป็นผลของอกุศลกรรมที่ตนได้กระทำแล้วนั่นเอง มีเกิดในอบายภูมิ เป็นต้น ไม่มีใครทำให้เลย และที่สำคัญ เพราะยังมีตัณหาอยู่นี้เอง จึงทำให้มีการเวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่สิ้นสุด ไม่พ้นไปจากทุกข์
แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าพระองค์จะตรัสเรื่องอะไร ก็ทรงแสดงถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ทั้งหมด จนกว่าสัตว์โลกจะเข้าใจขึ้น นี้คือประโยชน์ของการฟังพระธรรมซึ่งมีค่าทุกครั้งที่เกิดความเข้าใจถูกเห็นถูก
การที่ปัญญาจะเจริญขึ้นไปตามลำดับได้นั้น ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม พิจารณาไตร่ตรองด้วยความเคารพ ละเอียดรอบคอบ ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ อดทนที่จะฟังที่จะศึกษาต่อไปด้วยความไม่ท้อถอย ที่สำคัญจุดประสงค์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เพื่อละคลายความไม่รู้ หนทางนี้ซึ่งเป็นหนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา เป็นไปเพื่อละกิเลสทั้งหลายอย่างแท้จริง เป็นเรื่องละโดยตลอด ไม่ใช่เรื่องหวังหรือเรื่องได้สิ่งหนึ่งสิ่งใด และเป็นหนทางที่จะต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานในการค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งจะขาดการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวันไม่ได้เลย เพราะ ถ้าไม่เริ่มฟัง ไม่เริ่มศึกษา ก็จะไม่มีวันที่จะเข้าใจความจริงได้เลย
ขอเชิญติดตามอ่านคำอื่นๆ ได้ที่..
บาลี ๑ คำ
ยินดีในกุศลจิตครับ