ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๐๑
โดย khampan.a  26 ก.พ. 2566
หัวข้อหมายเลข 45607

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจาก
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๐๑

~ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ผู้ฟังเกิดปัญญาที่จะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงตามที่พระองค์ทรงตรัสรู้ และหนทางก็มี เพราะเหตุว่า ขณะนี้ก็มีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏที่จะต้องเข้าใจ ข้อสำคัญที่สุด คือ ไม่ใช่ไปคิดว่าจะทำ แต่ว่าสภาพธรรมที่มีในชีวิตประจำวัน ควรที่จะได้เริ่มคิดที่จะเข้าใจให้ถูกต้อง ว่า แท้ที่จริงแล้วการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่รู้อื่น นอกจากสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้
~ การศึกษาธรรมที่ถูกต้อง คือ ศึกษาเริ่มจากไม่รู้จึงศึกษา
การศึกษาทั้งหมดก็จะละคลายความไม่รู้ และละคลายอกุศลทั้งหลายซึ่งเกิดเพราะความไม่รู้ จนกระทั่งสามารถที่จะนอกจากละชั่ว บำเพ็ญความดี ยังชำระจิตให้บริสุทธิ์จากการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลด้วย
~ ทรัพย์ที่ประเสริฐยิ่งกว่าทรัพย์อื่นใด คือ ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก หรือปัญญานั่นเอง เพราะว่าถึงแม้ว่าเราจะมีทรัพย์อื่น ก็ไม่สามารถที่จะพ้นจากความทุกข์ได้ อาจจะเป็นห่วงแล้วก็ยิ่งมีทรัพย์มาก ก็ยิ่งทุกข์มากก็ได้ แต่ว่าถ้ามีปัญญามีความเห็นที่ถูกต้อง ก็จะทำให้ละคลายอกุศลค่อยๆ หมดไป จนกระทั่งไม่เกิดอีกเลยได้
~ ก็ต้องเป็นคนตรง จะเป็นชาวพุทธแบบไหน แบบโดยชื่อ
โดยกําเนิดทะเบียนบ้านหรืออะไร หรือว่า เป็นชาวพุทธที่เคารพสูงสุดในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะได้เข้าใจแต่ละคำที่พระองค์ทรงแสดง เพื่อประโยชน์ให้คนอื่นได้รู้ความจริงด้วย ได้เข้าใจถูกต้องด้วย เพราะฉะนั้น ชาวพุทธเข้าใจทุกคําของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถูกต้องหรือเปล่า คําไหนเป็นคําของพระองค์ จารึกไว้ตั้งแต่หลังจากที่ปรินิพพานแล้วตลอดเรื่อยมา ดํารงรักษา แต่จะดํารงรักษาได้อย่างแท้จริง ก็ต่อเมื่อได้เข้าใจถูกต้องในแต่ละคํา ถ้าเข้าใจผิด ไม่ใช่การรักษา ไม่ใช่การดํารงพระพุทธศาสนา เพราะความเข้าใจผิด เป็นการทําลายพระพุทธศาสนา
~ ชาวพุทธ คือ ผู้ที่ได้เข้าใจความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง อะไรผิด อะไรถูก อะไรดี อะไรชั่ว โดยละเอียดอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ ความเข้าใจถูกต้อง ว่า อะไรดี ก็จะไม่ทําดีหรือ? ถ้ารู้ว่าอะไรชั่ว จะไม่งดเว้นความชั่วหรือ? เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่าที่แต่ละประเทศชาติมีคนที่ทําสิ่งที่ไม่ดี เพราะไม่ได้รู้ความจริง
~ ถ้ามีความเข้าใจธรรม ประเทศชาติเจริญมากทีเดียว เพราะว่า ทุกคนทําดี เว้นชั่ว ถ้ามีความทุจริตทุกวงการทุกแห่งทุกระดับ จะชื่อว่าเป็นชาวพุทธไหม? (ไม่เป็น) เพราะฉะนั้น เป็นชาวพุทธหรือเปล่า ทุกคนก็ต้องรู้ว่า ถ้าไม่มีการเข้าใจพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แล้วจะเป็นชาวพุทธได้อย่างไร มีอะไรที่ทําให้เป็นชาวพุทธ ถ้าไม่เข้าใจพระธรรมและไม่ประพฤติดีตามพระธรรม
~ ถ้ามีความเข้าใจธรรมที่ถูกต้องแล้วประพฤติตาม ความไม่ดีทั้งหลายก็ลดน้อยลง หนทางอื่น มีไหม? ไม่ยากเลย ประเทศจะเจริญ ก็ต่อเมื่อทุกคนเป็นคนดีและทําดีเท่านั้นเอง แน่นอน ไม่ใช่หนทางอื่น
~ ทุกคนต้องจากโลกนี้ไปแน่นอน ไม่มีใครรู้เลยว่าเมื่อไหร่ขณะไหน แต่ว่า ก่อนที่จะจากไป เข้าใจอะไรบ้างหรือเปล่า หรือมีแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง พฤติกรรมที่เกิดเพราะความเห็นแก่ตัวต่างๆ ไม่คิดถึงคนอื่น ไม่คิดถึงการเดือดร้อน ไม่คิดถึงความไม่ดี ซึ่งเมื่อทําสิ่งที่ไม่ดี ผลที่ได้รับที่จะเกิดต่อไป ต้องไม่ดี
~ ค่อยๆ เข้าใจถูกว่า ไม่มีเรา ความเห็นแก่ตัวจะลดน้อยลงไหม? ความเข้าใจเห็นใจในความไม่รู้ของคนอื่น จะมากไหม? ไม่ได้ไปตําหนิความไม่ดีของใคร เพราะไม่มีใคร แต่มีธรรมฝ่ายนั้นซึ่งเกิดขึ้นหลากหลายมากซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียดถึงความไม่รู้สิ่งที่มีอยู่ตามความเป็นจริง คือ อวิชชา เพราะฉะนั้น ความเข้าใจถูก เริ่มต้นเมื่อได้ฟังแล้วไตร่ตรอง ค่อยๆ ละอวิชชา ความไม่รู้ เป็นเข้าใจถูกเพิ่มขึ้น คือ วิชชา นี้คือ เหตุและผลทีละเล็กทีละน้อย ค่อยๆ ฟังจนกระทั่งละคลายความเป็นเราที่แผ่ซ่านไปหมดไม่ว่าในสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้น
~ ประโยชน์สูงสุดของการฟัง แม้ในวันนี้ ก็คือ ได้ความเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ แม้ว่าจะเพียงเล็กน้อย ก็เป็นความเห็นที่ถูกต้องว่า เป็นธรรม เริ่มเข้าใจในความเป็นธรรม
~ รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่า ที่อกุศลยังมากมาย เพราะกุศลยังน้อย ยังน้อยมาก เพราะฉะนั้น ก็ยังต้องมีการสะสมทางฝ่ายกุศลเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ คือ ความเห็นถูก
~ จะเป็นประโยชน์มากที่จะรู้จักตัวเอง ซึ่งสามารถจะเริ่มเข้าใจจากการฟังพระธรรม ซึ่งเป็นการสะสมใหม่ เพราะเหตุว่าการสะสมเดิม คือ อวิชชาและโลภะ แต่ว่าเมื่อมีโอกาสได้ฟังพระธรรม จะเป็นการสะสมใหม่ คือ สะสมปัญญา ซึ่งตรงกันข้ามกับอวิชชา แล้วก็สะสมอโลภะ (ความไม่ติดข้อง) อโทสะ (ความไม่โกรธ) ซึ่งตรงกันข้ามกับโลภะ โทสะ
~ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำการช่วยเหลือบุคคลหนึ่งบุคคลใด กระทำกิจในพระธรรมโดยการศึกษา โดยการอ่าน โดยการสนทนา โดยการเกื้อกูลบุคคลหนึ่งบุคคลใดก็ตาม ขณะนั้น เป็นสติ (ระลึกเป็นไปในกุศล) ทั้งนั้น ถ้าสติไม่เกิด การกระทำอย่างนั้นๆ ก็เกิดไม่ได้
~ ขณะใดที่กุศลมีกำลัง ขณะนั้นอกุศลก็เกิดไม่ได้ แต่กำลังก็ต้องค่อยๆ สะสมเพิ่มขึ้น แม้แต่กำลังที่จะมาฟังธรรม มีแล้ว เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า ขณะใดที่ไม่ได้มาฟังธรรม หรือ ไม่ได้ฟังธรรม อะไรมีกำลัง ก็คือ อกุศลมีกำลัง แล้วทั้งกุศล และ อกุศล มาจากไหน ก็ต้องมาจากการที่ค่อยๆ เกิดค่อยๆ มี เพิ่มมากขึ้นทีละเล็กทีละน้อย
~ ฟังพระธรรมทำไม? เพื่อเข้าใจความจริงที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน ว่า เป็นธรรมแต่ละอย่าง เมื่อเป็นธรรม ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ใคร ก็เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีปรากฏแล้วเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิด จะมีได้อย่างไร เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ ก็รู้อย่างนี้ ไม่ใช่รู้ผิดจากความเป็นจริง
~ ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์หรือนักปราชญ์ จะมีความรู้มากสักเท่าไร แต่ก็แสดงธรรม คือ สภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ไม่ได้ เพราะเหตุว่า ไม่ได้ตรัสรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๐๐


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...



ความคิดเห็น 1    โดย swanjariya  วันที่ 27 ก.พ. 2566

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง


ความคิดเห็น 2    โดย jaturong  วันที่ 27 ก.พ. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 3    โดย มังกรทอง  วันที่ 27 ก.พ. 2566

ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 4    โดย tim7755tim  วันที่ 2 มี.ค. 2566

ขอนอบน้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและขอบูชาพระคุณอันสูงสุดกราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารย์


ความคิดเห็น 5    โดย Lai  วันที่ 2 มี.ค. 2566

อนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย Wisaka  วันที่ 11 มี.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย chatchai.k  วันที่ 11 มี.ค. 2566

ขณะใดที่กุศลมีกำลัง ขณะนั้นอกุศลก็เกิดไม่ได้ แต่กำลังก็ต้องค่อยๆ สะสมเพิ่มขึ้น แม้แต่กำลังที่จะมาฟังธรรม มีแล้ว ก็แสดงให้เห็นว่า ขณะใดที่ไม่ได้มาฟังธรรม หรือ ไม่ได้ฟังธรรม อะไรมีกำลัง ก็คือ อกุศลมีกำลัง แล้วทั้งกุศล และ อกุศล มาจากไหน ก็ต้องมาจากการที่ค่อยๆ เกิดค่อยๆ มี เพิ่มมากขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ


ความคิดเห็น 8    โดย มังกรทอง  วันที่ 18 ก.ย. 2568

ธรรมมีมานัสพร้อม รับฟัง อันเกิดกุศลดัง ธาตุรู้ จิตเจตสิกเป็นพลัง เสริมส่ง หนุนแฮ กราบอาจารย์สุจินต์ผู้ เปี่ยมด้วยเมตตา