เพราะว่าอ่านแล้วทำไมถึงตอบคำถามทบทวนไม่ได้ค่ะ ไม่รู้ว่าชาตินี้จะอ่านจบมั้ยค่ะ ยากจริงๆ ค่ะ ท่านอาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า ถ้าไม่มีพื้นฐานปรมัตถธรรมแล้ว ยากที่จะเข้าใจธรรมขั้นสูงได้ค่ะ
ขอให้พยายามอ่านต่อไป อ่านรอบที่ ๑ ไม่เข้าใจ ควรพยายามอ่านรอบที่ ๒ อาจจะเริ่มเข้าใจบ้าง เมื่อพยายามอ่านรอบที่ ๓ อาจจะเข้าใจยิ่งขึ้น และควรฟังธรรมบรรยายทางสถานีวิทยุประกอบด้วย จะทำให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น ไม่ต้องกังวลว่าจะจบหรือไม่จบ แต่ให้เข้าใจในธรรมที่อ่านสำคัญกว่า
ดิฉันขอกราบพระคุณท่านอาจารย์ สุจินต์ และท่านอาจารย์วิทยากรทุกท่านค่ะและเจ้าหน้าที่ทุกท่านนะคะ ในระยะเวลาที่ดิฉันศึกษาภายใน ๑ ปีมานี้ได้เข้าใจขึ้นมานิดเดียวเท่านั้นเองค่ะ ผิดกับที่ยังไม่ได้ศึกษาซึ่งไม่รู้อะไรเลยค่ะ เพราะอวิชชาความไม่รู้มีมาก กระทั่งไม่รู้อะไรเลยค่ะ
ขออนุโมทนา เข้าใจนิดเดียว ดีกว่ารู้มาก แต่มีความเห็นผิดปฏิบัติผิด เริ่มต้นด้วยความเห็นถูก แม้เล็กน้อยก็ยังดีนะครับ
ธรรมะเป็นของยาก ยากที่จะเข้าถึงสัจจธรรมความจริง นี้เป็นการสรรเสริญพระปัญญาของพระพุทธเจ้า วิชาทางโลกยังต้องศึกษาเป็นเวลาหลายสิบปีกว่าจะจบปริญญาเอก ส่วนธรรมะต้องศึกษาตลอดชีวิตก็ไม่จบ ก็ต้องสะสมปัญญาไปต่อชาติหน้าอีกจนกว่าจะหมดกิเลสไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ( จิระการะภาวนา การอบรมเจริญบารมีที่ใช้เวลายาวนาน)
ผมใช้ฟัง CD เอาครับ เหมือนจะเข้าใจ แต่ตอบคำถามไม่ได้นะครับ ฟังมาหลายรอบแล้วครับก็เข้าใจมากขึ้น ฟังเที่ยวแรก ก็ให้คุ้นกับภาษาบาลี ถึงแม้จะหลายเที่ยวแล้วก็ยังมีที่ไม่เข้าใจอยู่ดีครับ
ดิฉันเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจค่ะ ตอนแรกๆ ที่รู้จักมูลนิธิ พี่ที่ชวน เค้าเอาหนังสือปรมัตถธรรมสังเขปมาให้ ดิฉันพลิกๆ อ่านแล้ววางทันทีเลย เพราะตอนนั้นชินอ่านหนังสือสำนวนสมัยใหม่ แต่ตอนนี้กลับมาตั้งใจอ่านมากกว่าเล่มอื่นๆ เพราะว่าลองอ่านหลายๆ รอบดู แต่ละรอบรู้สึกว่าเพิ่มความเข้าใจขึ้นทีละนิดๆ น่ะค่ะ เลยอ่านวางไม่ลง
ส่วนแบบฟัง เวลาฟังบางทีต้องลดสปีดลงเพื่อฟังช้าๆ เพราะทักษะการฟังแย่มาตั้งแต่เด็ก เวลาสอบการฟังในวิชาภาษาไทยจะทำคะแนนได้แย่มาก แต่เรื่องการอ่านไม่มีปัญหาเพราะอ่านทวนได้
เคยเป็นเหมือนคุณพรนภา แต่อาศัยการฟังแผ่น mp3 เรื่องจิตปรมัตถ์และโสภณธรรม หลายๆ รอบแล้ว กลับมาอ่านใหม่ จึงพอจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง และพอจะตอบคำถามได้มากขึ้นกว่าเดิม จึงขอเอาใจช่วยให้ฟังและอ่านพระธรรม พิจารณา ไตร่ตรองบ่อยๆ เนืองๆ ปัญญาก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นตามสมควรแก่เหตุปัจจัยท่านอ.สุจินต์ได้ย้ำกับพวกเราเสมอๆ ว่า ฟังให้เข้าใจ โดยไม่ต้องหวัง รอ และต้องการผล เพราะเมื่อปัญญาเกิด ปัญญาก็จะทำหน้าที่ของปัญญา คือ ค่อยๆ เข้าใจธรรมะเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย
ขออนุโมทนาค่ะ
ดิฉันขออนุโมทนากับทุกท่านที่มีโอกาสได้อ่าน แม้จะเข้าใจน้อย หรือยังไม่เข้าใจก็ตาม ถ้ามีโอกาสอันใกล้ หรือไกลก็ตาม ดิฉันจะไปขอรับหนังสือปรมัตถธรรม สังเขปที่มูลนิธิฯด้วยตัวเองจะถือโอกาสไปฟังธรรมและกราบท่านอาจารย์สุจินต์ด้วยค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลที่ท่านได้สะสมมา จึงได้มาพบพระธรรมคำสอนที่ถูกต้อง เดิมทีผมเคยได้ยินรายการแนวทางเจริญวิปัสสนาฯ ทางวิทยุ แต่ฟังไม่เข้าใจ เมื่อมีโอกาสได้ไปเรียนพระอภิธรรม แต่ไม่ได้เรียนมาก พอได้พื้นฐานแล้ว เมื่อกลับมาฟังจึงเริ่มพอที่จะติดตามได้บ้าง แต่ก็ยังมีความเห็นผิดคิดว่าต้องมีการ "ปฏิบัติ" เพราะว่าไม่เข้าใจความหมายของคำว่า "ปฏิบัติ" นับว่าเป็นบุญเก่า ที่ได้รับความอนุเคราะห์จากสหายธรรม ที่เมตตาชี้ทางโดยการสนทนาให้ผมได้คิดทบทวนไตร่ตรอง ฟังซ้ำเรื่องที่ยังสงสัย แม้ขั้นการฟังกว่าจะเข้าใจคำว่า "อนัตตา" ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
การศึกษาพระอภิธรรม ซึ่งก็คือ สิ่งที่มีจริง เป็นเรื่องสำคัญมาก แต่ก็ไม่ใช่แค่การศึกษาเพื่อให้รู้เพียงแค่เรื่องราวหรือเพื่อจำชื่อให้ได้เยอะๆ แต่เพื่อ "ความเข้าใจ" ที่จะเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย และความเข้าใจจริงๆ แม้เพียงเล็กน้อยนั่นแหละ จะเป็นพื้นฐานการศึกษาต่อไปในอนาคต ผมเลิกคิดที่จะสอบเลื่อนชั้นการศึกษาพระอภิธรรมทันที หลังจากที่ได้มีโอกาสสนทนากับท่านอาจารย์สุจินต์ เพราะความเข้าใจต่างหากที่สำคัญที่สุด แม้ผมจะจบอภิธรรมบัณฑิต แต่ถ้าผมไม่มีความเข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฎในชีวิตประจำวัน จำได้แต่ชื่อและเรื่องราว เมื่อผมตายก็ต้องลืม ไม่ได้สาระจากพระธรรม เป็นผู้ศึกษาไม่ถูกทาง
ชาตินี้เป็นชาติที่ประเสริฐที่ได้มีโอกาสเจริญปัญญา ศึกษาพระธรรมคำสอนที่ถูกต้อง ได้พบท่านอาจารย์สุจินต์ที่เป็นกัลยาณมิตรที่ประมาณค่าไม่ได้ และสหายธรรมทุกๆ ท่าน ที่เมตตาเกื้อกูลมาโดยตลอด และขอเป็นกำลังใจให้คุณ pornpaon ค่อยๆ ศึกษาทำความเข้าใจแค่ไหนก็แค่นั้นครับ นี่เป็นคำที่ท่านอาจารย์แนะนำเสมอ
ตกลงเราเข้าใจ ความหมายของคำว่า เข้าใจสภาพธัมมะที่อ่านจากหนังสือปรมัตถธรรมสังเขปว่าอย่างไร น่าคิดครับ
๑. เข้าใจคำว่าเข้าใจ คือ การจำชื่อ
๒. เข้าใจคำว่าเข้าใจ ว่า เป็นเหตุผล เช่น จิต ดวงนี้ ทำหน้าที่อะไรทำกิจอะไรบ้าง
๓. เข้าใจคำว่าเข้าใจ ว่า หมายถึง สภาพธัมมะ ที่มีในขณะนี้ ไม่ใช่อยู่ในหนังสือปรมัตถธรรมสังเขป จำได้หมด แต่ไม่มีปัญญาเข้าใจว่าสิ่งที่จะต้องรู้ หรือปรมัตถธรรมก็มีในขณะนี้เองครับ
ในสมัยพุทธกาล อริยสาวกทั้งหลาย ท่านเข้าใจอภิธรรม ในขณะที่กำลังปรากฏในชีวิตประจำวัน คำถามจึงมีว่าท่านรู้ปรมัตธรรมสังเขปไหม ท่านรู้ลักษณะของปรมัตถธรรม ที่มีอยู่ในขณะนี้ ดังนั้น ก็ต้องมาตั้งต้นใหม่ว่า เราอ่านหนังสือปรมัตถธรรม เพื่อจุดประสงค์อะไร ลืมไม่ได้ คือ เพื่อเข้าใจสภาพธัมมะที่กำลังปรากฎ ในขณะนี้เองครับ
การที่พระอริยบุคคลท่านสามารถประจักษ์แจ้งสภาพธรรมได้ ก็เพราะเหตุว่า ท่านได้อบรมเจริญปัญญามามากแล้วในอดีต (เป็นแสนกัป) ท่านต้องเคยได้ฟังธรรมและศึกษาปริยัติมาแล้วในสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ก่อนๆ กว่าด้ามมีดจะสึกจริงๆ ต้องใช้เวลานานมากนะคะ ไม่ใช่เพียงแค่รู้นิดๆ หน่อยๆ แล้วสติปัฏฐานจะเกิด เหตุกับผลยังไม่ตรงกันค่ะ บางท่านแม้ศึกษาพระธรรมมามาก แต่สติปัฏฐานไม่เคยเกิดเลย ก็ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร เมื่อเหตุยังไม่สมควรแก่ผล
อีกประการหนึ่งสติปัฏฐานจะเกิดไม่ได้เลยถ้าหากกาย วาจา และใจของท่านไม่สุจริต ชีวิตในวันๆ หนึ่งโดยมากเป็นไปกับอกุศล ถ้าสติยังไม่ระลึกรู้เห็นความแตกต่างระหว่างกุศลและอกุศลในแต่ละวัน ถ้าสติขั้นนี้ยังเกิดยาก สติปัฏฐานยิ่งเกิดยากกว่ามากค่ะ
ดิฉันได้หนังสือ ปรมัตถธรรมสังเขป เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๕ จนปัจจุบัน ก็ยังอ่านได้ไม่กี่หน้า อ่านแล้ววาง วางแล้วเริ่มต้นใหม่ ก็ยังไม่ไปไหน อ่านยากมากแต่อาศัยการฟังมากกว่า ดิฉันไปมูลนิธิก็ได้ MP3 มาฟัง ตอนนี้มีกว่า ๔๐ แผ่น ฟังแล้วเกิดความสงบ และถูกอัธยาศัย แต่ก็ยอมรับว่ายังอยู่ในสภาวะคิดได้แต่ทำไม่ได้ แต่ไม่คิดเลิกหรอกนะ ส่วนหนังสือ ก็จะพยายามสักวันคงอ่านได้แบบต่อเนื่อง และเกิดความเข้าใจ
เหมือนความคิดเห็นที่ 7 ครับ คือ ฟัง mp3 แผ่นจิตปรมัตถ์ ตามไปด้วย (จิตปรมัตถ์มีทั้งสิ้น ๕ แผ่น) เท่าที่ฟังไปครึ่งหนึ่งโดยประมาณ เนื้อหาในแผ่น mp3 นั้น จะตรงกับเนื้อหาในหนังสือปรมัตถธรรมสังเขปครับ ถ้ายังไงลองตรวจสอบรายชื่อแผ่นซีดี mp3 ดู แล้วขอรับไปฟังควบคู่กับการศึกษาจากหนังสือครับ
กระผมไม่เคยได้ติดตามการฟังธรรมมาก่อนเลยในชีวิต บังเอิญได้เปิดวิทยุตอนไปส่งภรรยา แล้วพบรายการวิทยุ สนใจและเข้ามาในเวปไชท์แห่งนี้ เลยอ่านธรรมะบางครั้งไม่เข้าใจศัพท์ แต่อ่านปรมัตถ์ธรรมแล้ว เพียงแค่จับใจความได้ว่าทุกสิ่งเป็นอนัตตา ไม่มีอะไรเกิดก่อนหลัง เหมือนทุกสิ่งเป็นเรื่องรวมกันไปหมด ไม่สามารถแยกแต่ละสิ่งออกเป็นส่วนๆ ได้ ไม่ทราบว่า ความเข้าใจเช่นนี้จะตรงกับความหมายที่หนังสือบอกไว้หรือไม่ ขอขอบพระคุณ สำหรับบุคคลที่มีความกรุณา จะมาชี้แจงให้ทราบด้วย
ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ธรรมทั้งปวง เมื่อจำแนกโดยนัยต่างๆ ธรรมบางประเภทไม่เกิดดับ ธรรมบางประเภทเกิดดับ ธรรมบางประเภทไม่รู้อารมณ์ ธรรมบางประเภทรู้อารมณ์ ธรรมบางประเภทมีอายุสั้นเกิดดับอย่างรวดเร็วมาก คือ จิต เจตสิก ธรรมบางประเภทเกิดดับอย่างรวดเร็วแต่ช้ากว่านามธรรม คือ รูปธรรม. ทุกอย่างเมื่อแยกเป็นขณะๆ เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างเท่านั้น ไม่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนที่ท่านเข้าใจมาบางอย่างไม่ถูกต้อง โปรดอ่านโดยละเอียด
ขอขอบพระคุณ คุณ wirat.k มากค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ยินดีในกุศลจิตค่ะ