
[เล่มที่ 6] พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม 4 ภาค 1 - หน้าที่ 132 - 133
บาทคาถาว่า เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา มีความว่า เบญจขันธ์ชื่อว่า ธรรมมีเหตุเป็นแดนเกิด. พระเถระแสดงทุกขสัจแก่สารีบุตรนั้นด้วยคำนั้น.
บาทคาถาว่า เตสํ เหตุํ ตถาคโต อาห มีความว่า สมุทยสัจ ชื่อว่าเหตุแห่งเบญจขันธ์นั้น พระเถระแสดงว่า พระตถาคตตรัสสมุทยสัจนั้นด้วย.
บาทคาถาว่า เตสฺจ โย นิโรโธ จ มีความว่า พระตถาคตตรัสความดับคือความไม่เป็นไปแห่งสัจจะแม้ทั้ง ๒ นั้นด้วย พระเถระแสดงนิโรธสัจแก่สารีบุตรนั้นด้วยคำนั้น. ส่วนมรรคสัจ แม้ท่านไม่ได้แสดงรวมไว้ในคาถานี้ ก็เป็นอันแสดงแล้วโดยนัย. เพราะว่าเมื่อกล่าวนิโรธ มรรคซึ่งเป็นเหตุให้ถึงนิโรธนั้น ก็เป็นอันกล่าวด้วย.
อ.คำปั่น: ข้อความในคาถานี้ได้กล่าวถึง ธรรมะใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุของธรรมะเหล่านั้น และทรงแสดงถึงความดับของธรรมะเหล่านั้นด้วยครับ ก็กราบเท้าท่านอาจารย์ว่า เหตุของธรรมะ ความดับของธรรมะ ความละเอียดคืออย่างไรครับ
ท่านอาจารย์: ถ้าไม่มีเหตุธรรมะเกิดไม่ได้ เห็นไหม กว่าจะไปถึงจุดที่ว่า ธรรมะนั้นแล้วเกิดเพราะเหตุ ปัจจยปริคคหญาณะมาได้อย่างไร? ถ้าไม่มีการฟังแล้วฟังอีกๆ ๆ จนกระทั่งพอเกิดขึ้นก็รู้เลย มีเหตุให้เกิด
อ.คำปั่น: มีเหตุให้เกิดก็เกิดครับ
ท่านอาจารย์: ก็ฟังมาตั้งแต่ต้นไม่ใช่หรือ? ฟังมานานแสนนานไม่ใช่หรือ? ต่อไปจะฟังถึงกัปป์ๆ ไม่ใช่หรือ? จนกระทั่งเวลาที่เกิดชัดเจน เกิดแต่เหตุ ไม่มีเหตุไม่เกิด
ไม่มีปัญญาที่ค่อยๆ รู้ลักษณะของธรรมะ ขณะนั้นจะสามารถเข้าถึงการเป็นสิ่งหนึ่งซึ่งเกิดดับประจักษ์แจ้งได้ไหม?
อ.คำปั่น: ไม่ได้เลยครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น อนัตตาไหม ชัดเจนไหมว่าเกิดแล้ว? ไม่ต้องมีคำพูดใดๆ เลย แต่ความมั่นคงของความเข้าใจชัดเจนว่า ขณะนั้นไม่มีใครทำอะไรเลยทั้งสิ้น แต่ธรรมะเกิดแล้ว
ความเข้าใจไม่ได้ต้องออกมาจากคำพูดว่า เพราะมีเหตุปัจจัย
อ.คำปั่น: เพราะว่าความจริงต้องเป็นอย่างนั้นครับ
ถ้ากล่าวถึงธรรมะ แน่นอนครับว่าที่เกิดขึ้นต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย และเมื่อเกิดก็ดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย
ท่านอาจารย์: พูดแค่นี้เข้าใจแค่ไหน? พูดอีกเข้าใจขึ้นมาอีกๆ ๆ จนกว่าความเข้าใจจะลึกซึ้งมั่นคงไม่สงสัยเลย อะไรเกิดตามปัจจัย จึงจะไม่เยื่อใยในความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือเป็นเรา เพราะเลือกไม่ได้ เลือกไม่ได้จริงๆ สักขณะเดียว
เพราะฉะนั้น ขณะนั้นชัดเจนไหมล่ะเมื่อมีอะไรเกิดขึ้น จะสงสัยหรือว่าทำไมเกิดขึ้นมาอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ไม่ใช่คำพูดอย่างที่ได้ฟังมา เกิดเพราะปัจจัยอย่างนั้นอย่างนี้ สะสมไปๆ เพื่อมีความมั่นคงที่จะละความติดข้อง ขณะนั้นสิ่งนั้นเกิดขึ้นธรรมดาที่เกิดเพราะตามปัจจัย ความเข้าใจที่มั่นคงที่สะสมมา ไม่สงสัยในความเกิดขึ้นเพราะปัจจัย แต่ไม่ใช่ว่า ต้องไปเอาปัจจัยมานั่งเรียงตอนนั้น อ.คำปั่น: กราบท่านอาจารย์ครับ แล้วก็ธรรมะเมื่อเกิดแล้วก็ต้องดับ ไม่มีธรรมะแม้แต่อย่างเดียวที่เกิดแล้วจะเที่ยงแท้ยั่งยืนเถาวรครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีวิปัสสนาญาณะขั้นต่างๆ สามารถที่จะถึงอริยสัจจธรรม ๔ ได้ไหม?
อ.คำปั่น: ไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์: ในชั่วพริบตา เพราะว่าพริบตาลืมขึ้นมาก็เต็มไปหมดทั้งซ้ายทั้งขวาข้างหน้าข้างหลังเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด และกว่าจะเป็นอย่างนี้ได้ต้องทีละหนึ่งขณะ กว่าจะเป็น แต่ละหนึ่งๆ อย่างนี้ เพราะฉะนั้น ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งจะเร็วแค่ไหน? เหมือนอย่างที่ไม่ได้ประจักษ์แจ้ง เหมือนอย่างที่ไม่รู้ว่า เดี๋ยวนี้ทำไมไม่เห็นทีละหนึ่ง ทำไมลืมตาขึ้นมามีทุกอย่างหมด
อ.คำปั่น: ก็เป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่งครับ คือก็ต้องฟังต่อไปอีกต้องศึกษาต่อไปอีก เพราะว่าความเข้าใจก็น้อยมากครับ แม้ในคาถานี้ที่ท่านอัสสชิได้กล่าวเกื้อกูลต่อท่านอุปติสสปริพาชกครับใน ๑ คาถา ก็แสดงประมวลสัจจัทั้ง ๔ ไว้ครบเลย ทั้งทุกข์ ทั้งเหตุให้เกิดทุกข์ ทั้งความดับทุกข์ และก็หนทางที่ทำให้ถึงความดับทุกข์ด้วยครับ ครบเลยในคาถานี้ครับ ซึ่งก็มีคำอธิบายไว้ในส่วนของอรรถกถา ก็ยิ่งเห็นเลยว่า พระธรรมละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่งครับ
ท่านอาจารย์: แล้วเป็นไปได้ไหมล่ะ เดี๋ยวนี้ที่จะเข้าใจอย่างนั้นเมื่อถึงเวลาเท่านั้น ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้ หรือไม่สามารถที่จะบอกได้ล่วงล่วงหน้า อะไรจะปรากฏอะไรจะเกิดขึ้นระดับไหน กว่าจะถึงตรงนั้นได้ การที่จะค่อยๆ ละความติดข้องในความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดต้องมหาศาลขนาดไหน
ถ้าไม่มีการเริ่มตั้งแต่ขั้นฟังด้วยความเคารพ จะไม่ถึงการที่จะรู้ว่า สิ่งที่มีในชีวิตประจำวันเป็นธรรมะแต่ละหนึ่งอย่างไร พูดคำว่า สติ ตำรามีคำว่าสติ ทุกคนได้ยินคำว่าสติ รู้ว่าสติคืออะไร ขณะใดที่ระลึกเป็นไปในกุศล แล้ววันนี้ล่ะ!! กุศลเกิด รู้ไหมว่า นั่นสติ
และเวลาที่ท่านฟังใครก็ตามแต่ ถ้าไม่มีปัญญาระดับนั้นจะรู้ไหม? แต่กว่าจะรู้ได้ต้องมาจากนานแค่ไหนที่จะค่อยๆ ฟัง จนกระทั่งมั่นคง จนค่อยๆ ละคลายความเป็นเราได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เป็นเพียงชื่อแต่เป็นธรรมะที่ได้ฟังทีละคำ แต่ว่ายังไม่สามารถจะปรากฏให้รู้ ถ้ายังไม่ใช่ปัญญาระดับขั้นที่ ๒ กิจจญาณ สติเกิดขึ้นรู้เลย ไม่ใช่เราทำ ระลึกทันที ปัญญาที่สะสมมาเริ่มเข้าใจว่า นี่แหละ เป็นธรรมะ ไม่ต้องเอ่ยว่า แข็งเป็นธรรมะ แข็งนั่นแหละที่ปรากฏให้เห็นว่า นั่นแหละธรรมะ
ธาตุรู้แข็ง ก็ไม่ต้องไปเอ่ยว่าธาตุรู้แข็ง แต่ลักษณะรู้ ที่กำลังรู้ ไม่ใช่แข็ง ยากปานไหนที่จะปรากฏทีละหนึ่งให้รู้ชัด
เพราะฉะนั้น พระธรรมจึงลึกซึ้งสุดที่จะประมาณได้ ต้องฟังด้วยความเคารพสูงสุดจริงๆ ถ้าพระองค์ไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมีมหาศาลปานใดที่จะตรัสรู้ถึงที่สุดทุกประการเหนือบุคคลใดทั้งสิ้นในสากลจักรวาล จะไม่มีโอกาสรู้ว่า แต่ละคำของพระองค์เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อประจักษ์แจ้ง อย่างท่านพระสารีบุตรรู้ความจริงเป็นพระอริยบุคคล จึงรู้ว่า นี่คือคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเมื่อประจักษ์แจ้งแล้ว พระองค์ตรัสอย่างนี้ อย่างที่เป็นอย่างนี้ที่ท่านได้ประจักษ์แจ้ง
อ.คำปั่น: ก่อนที่ได้เรียน อ.วิชัยได้กราบเรียนท่านอาจารย์ กระผมก็ขอโอกาสอ่านข้อความในอรรถกถาที่ท่านได้อธิบายใน แต่ละบทๆ ของคาถาที่ท่านอัสสชิได้กล่าวนะครับ ซึ่งก็มีหลักฐานหลายที่ แม้แต่ในส่วนของอรรถกถา พระวินัย เองก็มีคำอธิบายไว้ดังนี้ครับ
บาทคาถาว่า เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา มีความว่า เบญจขันธ์ ซึ่งก็คือขันธ์ ๕ ครับ เบญจขันธ์ ชื่อว่า ธรรมะมีเหตุเป็นแดนเกิด พระเถระแสดงทุกขสัจจะแก่พระสารีบุตรนั้นด้วยคำนั้น
บาทคาถาว่า เตสํ เหตุํ ตถาคโต มีความว่า สมุทัยสัจ ชื่อว่าเหตุแห่งเบญจขันธ์นั้น พระเถระแสดงว่า พระตถาคตตรัสสมุทัยสัจนั้นด้วย
บาทคาถาว่า เตสฺจ โย นิโรโธ จ มีความว่า พระตถาคตตรัสความดับคือความไม่เป็นไปแห่งสัจจะแม้ทั้ง ๒ นั้นด้วย พระเถระแสดงนิโรธสัจแก่สารีบุตรนั้นด้วยคำนั้น. ส่วนมรรคสัจ แม้ท่านไม่ได้แสดงรวมไว้ในคาถานี้ ก็เป็นอันแสดงแล้วโดยนัย. เพราะว่าเมื่อกล่าวนิโรธ มรรคซึ่งเป็นเหตุให้ถึงนิโรธนั้น ก็เป็นอันกล่าวถึงด้วย.
นี่ก็เป็นข้อความในอรรถกถาที่ได้อธิบายไว้ครับ ทั้งสัจจะทั้ง ๔ ครับ อยู่ใน หรือประมวลไว้ในคาถานี้ครับ ก็เป็นประโยชน์เกื้อกูลที่จะได้ศึกษาที่จะได้สนทนาต่อไปครับ
ขอเชิญอ่านเพิ่มได้ที่..
มรรคซึ่งเป็นเหตุให้ถึงนิโรธ [มหาวรรค]
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.คำปั่น ด้วยความเคารพค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ