ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๔๒
โดย khampan.a  9 พ.ย. 2568
หัวข้อหมายเลข 51398

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๔๒



~ พระธรรมแต่ละคำที่แต่ละคนได้ยินได้ฟังนี้ มาจากการบำเพ็ญพระบารมีนานแสนนานของผู้ที่จะได้ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละคำคือพระมหากรุณาคุณ ตั้งแต่ครั้งที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีเป็นพระโพธิสัตว์จนกระทั่งได้ทรงตรัสรู้ มีค่ามากสำหรับที่จะทำให้คนอื่นได้มีความเข้าใจจริงๆ
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าบรรดาสิ่งที่เกิดทั้งหมดปัญญาประเสริฐสุด เพราะเหตุว่าปัญญาสามารถที่จะรู้ความจริงจนสามารถที่จะดับกิเลสซึ่งธรรมอื่นดับไม่ได้เลย สามารถที่จะดับกิเลสหมดไม่เหลือเลยถึงความเป็นพระอรหันต์
~ แต่ละขณะที่ปัญญาความเห็นที่ถูกต้องเกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรจะเทียบได้ เพราะเหตุว่าสามารถที่จะเห็นถูกเข้าใจถูกในสิ่งที่มีซึ่งกี่คนมีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมแล้วก็พิจารณาพระธรรมโดยที่รู้คุณค่าของพระธรรมว่าแต่ละคำที่ได้ฟังมีค่าเพราะเข้าใจขึ้นและก็กำลังสะสมความเห็นถูกซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงให้เป็นความเห็นผิดได้ในขณะที่ความเห็นถูกค่อยๆ เกิดขึ้น
~ การบูชาด้วยดอกไม้ ธูปเทียน ก็ยังไม่เป็นการเคารพอย่างสูงสุด เพราะว่าพระผู้มีพระภาคมิได้ทรงหวังดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องสักการะ แต่ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อหวังให้สาวกได้ดับกิเลสเช่นเดียวกับพระองค์ด้วย แต่ก่อนที่จะดับกิเลสได้ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด เป็นผู้ที่ตรงและต้องเป็นผู้ที่รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง
~ กำลังยินดีพอใจใคร่ที่จะได้สิ่งหนึ่งสิ่งใด จะละความยินดีพอใจที่ยึดถือในตัวตนในวัตถุสิ่งนั้นได้อย่างไร ถ้าขณะนั้นสติไม่เกิดขึ้น กำลังโกรธ กำลังขุ่นเคือง กำลังไม่แช่มชื่น กำลังไม่พอใจ จะละความขุ่นเคืองที่เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ในตัวตน ในสัตว์ ในบุคคลที่กำลังขุ่นใจนั้นได้อย่างไร ถ้าสติในขณะนั้นไม่เกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง
~ ทุกคนคิดว่าชีวิตยืนยาวมาก แต่ความจริงชีวิตของทุกคนดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียว เพราะว่าจิตเกิดขึ้นขณะหนึ่งแล้วก็ดับ เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้นแล้วก็ดับ แต่เกิดดับอย่างรวดเร็วจนเมื่อไม่รู้ว่าเป็นจิตแต่ละขณะซึ่งเกิดดับ ก็เป็นเรา ซึ่งเดี๋ยวเป็นกุศล เดี๋ยวเป็นอกุศล เดี๋ยวเป็นสุข เดี๋ยวเป็นทุกข์ ความจริงเป็นจิตแต่ละขณะซึ่งเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะเดียวจริงๆ
~ ธรรมเป็นเรื่องของตัวเองทั้งหมด ตั้งแต่ตื่นจนหลับ ตั้งแต่เกิดจนตาย พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลจริงๆ เรื่องของการเห็น และชอบใจ ไม่ชอบใจ เกิดการกระทำทางกาย ทางวาจาที่เป็นด้วยกุศลจิตบ้าง อกุศลจิตบ้าง เป็นชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้น เมื่อได้ศึกษาพระธรรมแล้วย่อมเป็นผู้ที่เข้าใจสภาพธรรมที่ตัวเองชัดเจนถูกต้องถ้าเป็นการศึกษาเพื่อที่จะขัดเกลากิเลส
~ ได้ยิน บังคับไม่ได้ ใครทำให้ได้ยินเกิดขึ้น ทำไม่ได้ แต่เมื่อมีปัจจัยให้ได้ยินเกิด บอกให้ไม่ได้ยินได้ไหม? ไม่ได้ ต้องได้ยิน จะไม่ให้เห็นก็ไม่ได้ เมื่อเห็นสิ่งที่น่าพอใจ จะไม่ให้ชอบก็ไม่ได้ ได้ยินเสียงที่ไม่พอใจ จะบอกไม่ให้โกรธก็ไม่ได้ ทุกอย่างแสดงอยู่แล้วว่าเป็นธาตุ (สภาพที่ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตน) แต่ละชนิดซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยต่างๆ
~ สภาพธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย คำใดที่พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วไม่เปลี่ยน ได้ยินต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เห็นต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย คิดนึกต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย สติต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย สุขต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ทุกข์ต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดตามความพอใจได้ ทุกอย่างต้องเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยเฉพาะของสภาพธรรมนั้นๆ
~ เมื่อมีความสำคัญตนก็จะเป็นเหตุให้เกิดความลบหลู่คนอื่นโดยที่ไม่รู้ตัวก็ได้ หรืออาจมีการตีเสมอบุคคลอื่นเพราะเห็นว่าตนเองก็มีความสามารถ หรือเมื่อมีความสามารถแล้วก็เลยแข่งดีกับคนอื่นซึ่งก็มีความสามารถด้วย หรืออาจไม่พอใจเวลาที่บุคคลอื่นมีความสามารถมากกว่าตน ซึ่งความไม่พอใจเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ จะเป็นความขุ่นเคืองใจที่จะเป็นความผูกโกรธทำให้มีความโกรธเกิดขึ้นได้โดยง่าย หรือถ้าคิดถึงบุคคลที่ไม่พอใจก็โกรธขึ้นมาอีก และโกรธต่อไปอีกนาน ในขณะนั้นทั้งหมด หิริโอตตัปปะไม่เกิด
~ ตั้งแต่เกิดจนถึงขณะนี้ ไม่ใช่ขณะเดียว มากมายหลายขณะ ทั้งเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง คิดนึกบ้าง ล้วนหมดไปทั้งสิ้น ไม่เหลือเลย วันนี้ก็เป็นอย่างนี้ พรุ่งนี้ก็ไม่มีวันนี้แล้วไม่เหลือเลย
*** ~
วันนี้รู้ว่าอกุศลมีมาก ถ้าเห็นจริงๆ ความดีจะเพิ่มขึ้น แม้แต่การตรึกความคิดทั้งหมดก็เป็นไปในทางกุศล***
~ แม้แต่สัจจะก็เป็นบารมีเพราะสัจจะเป็นความจริง ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างตรงต่อความจริง ย่อมจะไม่เข้าใจผิดจากความเป็นจริงไปได้ เพราะฉะนั้น จากการศึกษาธรรม เป็นการศึกษาเรื่องสิ่งที่มีจริงๆ เพื่อให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น ผู้ฟังทุกคนที่จะเข้าใจความจริงได้ ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อความจริง
~
ใครทำอกุศลกรรม สงสารไหม เริ่มเห็นใจว่าวันหนึ่งกรรมนั้นต้องให้ผล อย่างที่เรารู้เหตุการณ์ต่างๆ มีคนถูกทำร้ายบ้าง เจ็บไข้ได้ป่วยบ้าง แลกเปลี่ยนกันไม่ได้เลย จะไปเจ็บแทนก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่า กรรมทำให้เกิดแล้ว เมื่อเกิดแล้วเปลี่ยนไม่ได้ ก็ต้องเป็นไปตามกรรม
~ อกุศลเกิดง่าย เกิดเร็ว เกิดมาก แต่กุศลนี้เกิดยากและเกิดน้อย แสดงให้เห็นว่าสภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แม้อกุศลซึ่งเกิดง่าย เกิดเร็ว เกิดมาก ก็เป็นเพราะเหตุว่ามีปัจจัยที่จะให้อกุศลเกิดมาก เกิดง่าย เกิดเร็ว หรือกุศลที่จะเกิดก็เป็นอนัตตา ถ้าไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัยแล้ว กุศลก็เกิดไม่ได้ ​
*** ~ เติมกุศลทุกวัน คือ กุศลเกิดทุกวัน ถ้าไม่มีกุศล อะไรก็จะเติมในจิตไม่ได้นอกจากอกุศล เพราะฉะนั้น แม้แต่คำว่า เติมกุศล ก็คือ มีกุศล ไม่ขาดกุศล และเพิ่มขึ้นทุกโอกาสเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ละเลย***
~ การรู้จักตัวเองว่ามีอกุศลประเภทใดมากน้อยเท่าไร ย่อมดีกว่าการเป็นผู้ฉลาดที่จะรู้จักอกุศลของคนอื่น และในขณะที่กำลังรู้จักอกุศลของคนอื่น ต้องไม่ลืมที่จะพิจารณาจิตด้วยว่าขณะนั้นเกิดเมตตาหรือเกิดอกุศล ในขณะที่เห็นอกุศลของคนอื่นถ้าเป็นผู้ที่ขาดทุนก็คือว่าเมื่อเห็นอกุศลของคนอื่นแล้วตนเองเกิดอกุศล แต่ถ้าเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์ก็คือว่าเมื่อเห็นอกุศลของคนอื่นแล้วก็เกิดเมตตา เพราะว่าแม้ตนเองก็มีอกุศลอย่างนั้นเหมือนกัน
~ แม้เมตตาในชีวิตประจำวันก็ไม่ใช่ว่าจะเกิดง่าย กุศลทั้งหมดไม่ใช่ว่าจะเกิดได้โดยง่าย เพราะฉะนั้น จึงต้องอบรมเจริญกุศล เพราะว่าทุกคนยังมีอกุศลอยู่ การฟังธรรมก็เพื่อที่จะพิจารณาให้เข้าใจในเหตุในผล ในสภาพธรรมที่เป็นกุศลก็เป็นกุศล อกุศลก็เป็นอกุศล จนกว่าจะเห็นโทษของอกุศลจริงๆ
*** ~ ถ้าขณะนี้เมตตาไม่เกิด อกุศลจิตก็เกิด และขณะต่อๆ ไปเมตตาก็ยังไม่เกิดอีก อกุศลจิตก็เกิดต่อๆ ไปอีก เพราะฉะนั้น กว่าจะเจริญเมตตาได้ ต้องลำบากมาก ถ้าไม่เจริญเมตตาตั้งแต่เดี๋ยวนี้***



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๔๑


... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...



ความคิดเห็น 1    โดย swanjariya  วันที่ 9 พ.ย. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง


ความคิดเห็น 2    โดย chatchai.k  วันที่ 9 พ.ย. 2568

เติมกุศล มีกุศล ไม่ขาดกุศล

เติมกุศลทุกวัน คือ กุศลเกิดทุกวัน ถ้าไม่มีกุศล อะไรก็จะเติมในจิตไม่ได้นอกจากอกุศล เพราะฉะนั้น แม้แต่คำว่า เติมกุศล ก็คือ มีกุศล ไม่ขาดกุศล และเพิ่มขึ้นทุกโอกาสเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ละเลย

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ


ความคิดเห็น 3    โดย มังกรทอง  วันที่ 9 พ.ย. 2568

แต่ละคำองค์พระศาสดา จักศึกษาจนเข้าใจ หนักแน่นไม่หวั่นไหว ด้วยเข้าใจในอนัตตา กราบอาจารย์สุจินต์ให้ เมตตาได้ทุกเวลา อีกเปี่ยมความกรุณา น้อมศรัทธาอาจารย์เทอญ


ความคิดเห็น 4    โดย jaturong  วันที่ 9 พ.ย. 2568

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย Jarunee.A  วันที่ 10 พ.ย. 2568

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ