ข่มขืนเท่ากับประหาร
โดย Guest  14 ก.ค. 2557
หัวข้อหมายเลข 25100

ข่มขืนเท่ากับประหาร

พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่พ้นจากความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน เพราะชีวิตสัตว์โลก และชีวิตประจำวันที่สมมติเรียกขึ้นมา ก็คือสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่ไม่ใช่เรา ที่เป็นแต่เพียง จิต เจตสิก และรูป เพราะฉะนั้น จิตที่ดี เป็นกุศล ก็ต้องเป็นสิ่งที่ดีงาม ถูกต้อง จิตที่ไม่ดี เป็นอกุศล ก็ไม่ดีงาม ไม่ถูกต้อง และ ก็ยังมีจิตที่เป็นผลของกรรม ที่เรียกว่า วิบาก ซึ่ง กุศลวิบาก คือ ผลของกรรมที่ดี ซึ่งก็เกิดจาก กุศลกรรม ที่ทำมา ทำให้ได้รับวิบากที่ดีทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายที่ดี และอกุศลวิบาก คือ ผลของกรรม ที่ไม่ดี ซึ่งเกิดจากอกุศลกรรมที่ทำมา ทำให้ได้รับวิบากที่ไม่ดีทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย

ชีวิตก็ไม่พ้นจากกรรม ไม่พ้นจากจิต เจตสิก รูป สภาพธรรมที่เป็นไปในแต่ละขณะ ถามว่า มีใครทำให้เกิด สัจจะ ความจริง ไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวร บุคคลใดเลย แต่กรรมต่างหากที่ทำให้เกิด ใครทำให้ได้รับสิ่งที่ดี ไม่ดี เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัสที่ดี หรือ ไม่ดี ไม่มีใครเลย แต่เพราะกรรมจัดสรรให้เป็นไปตามกรรมที่ได้ทำ เพราะฉะนั้น สัตว์โลกจึงมีกรรมเป็นของๆ ตน หรือ สัตว์โลกเป็นที่ดูผลของบุญและบาป เพราะ เห็นความต่างกันของสัตว์โลก ได้รับสิ่งที่ดี ไม่ดี แตกต่างกันไป ตามกรรมที่จัดสรร ไม่มีใครทำให้เลย เพราฉะนั้น ถามว่า ทำไมถึงต้องเป็นเรา หรือ เป็นคนนั้นคนนี้ ได้รับสิ่งที่ไม่ดี ที่สมมติว่าเป็นการข่มขืน หรือ สิ่งไม่ดีต่างๆ ก็ต้องกล่าวว่า ก็ต้องเป็นเรา เป็นคนนั้นที่จะต้องได้รับ เพราะ สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของของตน เมื่อกรรมให้ผล ที่เป็นกรรมของผู้นั้นที่ทำเอง ก็ต้องได้รับผลของกรรมนั้น ไม่มีใครห้ามได้เลย เพราะเป็นแต่เพียงธรรม ที่เป็นกรรมที่ทำหน้าที่เกิดผล คือ วิบาก ที่ได้รับสิ่งไม่ดี ทางกาย เป็นต้น และเกิด จุติจิต คือ ตายที่เป็นวิบากเช่นกัน เป็นผลของกรรม เคลื่อนจากความเป็นบุคคลนั้น เพราะกรรมของตนเองที่ทำไว้ให้ผล ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ดี ได้รับฟังข่าวสาร จิตของปุถุชนก็ไหวไปตามกิเลสที่สะสมมามาก ย่อมโกรธแค้น ขุ่นเคือง ผู้ที่ทำสิ่งไม่ดีกับคนอื่น สงสารผู้ที่ถูกกระทำ โกรธแค้นผู้ที่ทำบาปทำไม่ดี หากแต่ว่า เมื่อเข้าใจสัจจะความจริง ตามพระพุทธเจ้าทรงแสดง พระองค์ตรัสว่า สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม ผู้ที่ถูกทำไม่ดี ก็เพราะมีกรรมที่เคยทำไม่ดีมาก่อน ไม่เช่นนั้น จะไม่ถูกทำไม่ดีเลย และ ผู้ที่ทำชั่ว ก็เป็นผู้สร้างเหตุใหม่ที่จะได้รับผลไม่ดีต่อไป เพราะฉะนั้น เราสงสารเขาช้าไปไหม สำหรับผู้ที่ได้รับสิ่งที่ไม่ดี ที่โลกสมมติว่าข่มขืน เพราะผู้ที่ได้รับสิ่งไม่ดี ก็เพราะทำบาปมาก่อน เพราะฉะนั้น ก็ควรสงสารในขณะที่ผู้นั้นกำลังทำบาป แทนที่จะโกรธแค้น เพราะผู้ที่ถูกทำร้าย ถูกข่มขืนก็ต้องเป็นผู้ที่เคยทำบาป ทำร้าย มาก่อนเช่นกัน แต่ตอนนั้นเราไม่ได้สงสารคนนั้นเลย ที่เขาทำบาป แต่สงสารผู้ที่ถูกกระทำ ดังนั้น ก็สงสารคนที่ทำบาป ในขณะนั้น เพราะจะต้องได้รับผลของกรรม ที่เป็นเศษของกรรมมีการถูกข่มขืน ทำร้ายเช่นกันในอนาคต ครับ

สมดังเมื่อคราวที่ ท่านพระมหาโมคคัลลานะ พระอรหันต์อัครสาวก ผู้เลิศด้วยฤทธิ์ ถูกโจรมาทุบจนกระดูกแหลกละเอียด และ ปรินิพพาน ภิกษุทั้งหลายก็สนทนากันว่าไม่น่าเลยที่คนดีเช่นนี้ จะถูกทำร้ายด้วยสิ่งไม่ดีเช่นนี้ พระพุทธเจ้า ตรัสว่า กรรมนั้นย่อมสมควรกับโมคคัลลานะ เพราะ ในอดีตชาติ เธอทุบ ทำร้าย บิดา มารดาของเธอจนสิ้นชีวิต เพราะฉะนั้น เศษกรรมจึงให้ผล ย่อมสมควรกับเธอผู้ที่ทำบาป

นี่แสดงว่า กรรมทำให้ ไม่มีใครทำให้เลย สมควรอย่างยิ่ง ที่จะเห็นตามความเป็นจริงของสัจจธรรม เพื่อ ความเจริญขึ้นของกุศล ปัญญา

นี่คือ ความละเอียดของพระธรรม ที่มีเหตุและผล ตรงตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าพิจารณา ในประเด็นสังคมที่ว่า ข่มขืน เท่ากับประหาร สนับสนุน การออกกฎหมายให้มีโทษเท่ากับประหาร

ท่านอาจารย์สุจินต์ ท่านกล่าวให้คิดพิจารณาว่า ด้วยจิตอะไรในขณะนั้น ด้วย เมตตา กรุณา หรือ ด้วยโทสะ ความโกรธ เพราะความเป็นจริงแล้ว โทษมีแล้ว ในขณะที่ทำบาป ส่วนการที่จะได้รับโทษประหาร หรือไม่นั้น ก็ตามกรรมของผู้ที่ได้ทำมาด้วยแม้ไม่ฆ่า บุคคลนั้นก็ต้องตาย ตามกรรมแน่นอน ดังนั้น การเห็นด้วยกับข้อตกลงด้วยความดี ด้วยจิตที่เป็นกุศลย่อมสมควร แต่การเห็นด้วย ด้วยจิตเป็นอกุศล ที่โกรธแค้นย่อมไม่ควร เพราะฉะนั้น การแก้ปัญหาสังคม ต้องแก้ด้วยความเห็นถูก แก้ด้วยความเข้าใจนั่น คือ การให้มีความเข้าใจถูกในพระธรรม และ ไม่ลืมว่า สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม แก้อะไรแก้ได้ แต่กรรม ไม่มีใครหลีกหนีได้เลย เพราะฉะนั้น การรักษาใจด้วยความเข้าใจพระธรรม จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของ พุทธบริษัท อันเกิดจากการศึกษาพระธรรมเป็นสำคัญ



ความคิดเห็น 1    โดย j.jim  วันที่ 14 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย aurasa  วันที่ 14 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย peem  วันที่ 14 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย chamaikorn  วันที่ 14 ก.ค. 2557

น่าสังเวช ขนาดเศษของกรรมยังให้ผลได้ เพราะฉะนั้น เมตตา และสงสารผู้ที่ทำอกุศลด้วยการให้เข้าใจพระธรรมตามความ เป็นจริงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และพระธรรมนั่นแหละจะช่วยให้ ไม่ถูกข่มขืน หรือไม่ถูกประหาร ขอบคุณ และขออนุโมทนาคะ


ความคิดเห็น 5    โดย khampan.a  วันที่ 14 ก.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

...ข้อความบางตอนจากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์...

อยากเห็นผลของอกุศลกรรมด้วยอกุศลจิต

"...มีบางท่านก็เห็นบุคคลบางคนทำสิ่งที่ไม่ดีต่อโลก ก็มีความเดือดร้อนใจว่า เมื่อไรบุคคลนั้นถึงจะได้รับผลของกรรม เมื่อมีผู้ทักท้วงว่า เมตตาหรือเปล่าในขณะนั้น คนนั้น ก็บอกว่า อยากจะเห็นผลของกรรม เพราะเหตุว่ารู้ว่าเมื่อมีการกระทำแล้วให้ผล เพราะฉะนั้นเมื่อไรจะเห็นผลของกรรม คนนั้นควรจะได้พิจารณาจิตว่า ขณะที่คิดอย่างนั้นจิตเป็นอะไร เป็นเมตตาหรือเปล่า เป็นกรุณาหรือเปล่า เป็นมุทิตาหรือเปล่า เป็นอุเบกขาหรือเปล่า ถ้าไม่พิจารณาแล้วก็คิดว่า อยากเห็นผลของกรรมซึ่งคนนั้นจะต้องได้รับ เวลาที่คนนั้นได้รับผลของกรรม ทุกคนก็สงสาร เท่าที่ฟังดู ไม่ว่าใครจะได้รับความเดือดร้อน มีความเป็นอยู่ที่คับแค้น หรือ มีความทุกข์ยากในชีวิต คนอื่นก็สงสารทั้งนั้น แต่เวลาที่เขาทำอกุศลกรรม ลืมคิดที่ต้องเกิดความเห็นใจและมีความเมตตาด้วย ถ้าไม่เป็นเพื่อนกับคนนั้น ใครจะเป็นเพื่อนกับเขา มีทางใดที่จะทำให้คนนั้น พ้นจากการกระทำ หรือ ความคิดที่เป็นอกุศล เพราะฉะนั้นถ้ามีเพื่อนจริงๆ สำหรับคนนั้น ก็มีทางที่จะช่วยคนที่เป็นอกุศล ให้เป็นกุศลได้ ซึ่งก็ควรจะทำอย่างยิ่ง ไม่ใช่ปล่อยว่าเมื่อไรจะเห็นผลของกรรม คือ คอยที่จะดูผลของกรรม แล้วก็อ้างว่า เพราะรู้ว่า กรรมนั้นจะให้ผล แต่เมื่อกรรมนั้นให้ผลจริงๆ คนนั้นก็จะสงสาร แต่สงสารช้าไปค่ะ คือ ควรที่จะให้จิตเมตตา ตั้งแต่ขณะที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดทำอกุศลกรรม นี่เป็นเรื่องสภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคลเลย มีสภาพธรรมที่เกิดขึ้นคิดนึกเรื่องราวต่างๆ ด้วยกุศลจิต หรืออกุศลจิต เพราะฉะนั้นกุศลต้องเป็นกุศล และอกุศลต้องเป็นอกุศล ผู้ที่ตรงต่อธรรม ก็ต้องเป็นผู้อบรมเจริญปัญญาและเจริญกุศลยิ่งขึ้นได้ เพราะรู้ทันอย่างรวดเร็วว่า ขณะนั้นไม่ใช่เมตตา ขณะนั้นเป็นอกุศล เพราะฉะนั้นก็สามารถมีความเมตตาต่อบุคคลที่เป็นฝ่ายศัตรูได้อย่างเร็ว..."

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.ผเดิม และทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 6    โดย Chalee  วันที่ 14 ก.ค. 2557

สาธุ สาธุ


ความคิดเห็น 7    โดย wannee.s  วันที่ 14 ก.ค. 2557

สงสารคนที่ทำบาป ในขณะนั้น เพราะจะต้องได้รับผลของกรรม

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย papon  วันที่ 14 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 9    โดย mon-pat  วันที่ 14 ก.ค. 2557

กรรมนั้นย่อมสมควรกับ โมคคัลลานะ เพราะ ในอดีตชาติ เธอทุบ ทำร้าย บิดา มารดา ของเธอจนสิ้นชีวิต เศษกรรมจึงให้ผล ย่อมสมควรกับเธอผู้ที่ทำบาป

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ


ความคิดเห็น 10    โดย thilda  วันที่ 14 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย ประสาน  วันที่ 15 ก.ค. 2557

มีหนทางเดียวคือ ฟังพระธรรมให้เข้าใจ จึงจะช่วยได้ใช่ไหมครับ

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 12    โดย paderm  วันที่ 15 ก.ค. 2557

เรียนความเห็นที่ 11 ครับ

ถูกต้องครับ แต่ ต้องอาศัยระยะเวลาที่ยาวนาน ขออนุโมทนา ครับ


ความคิดเห็น 13    โดย pat_jesty  วันที่ 15 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 14    โดย orawan.c  วันที่ 15 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 15    โดย เซจาน้อย  วันที่ 15 ก.ค. 2557

คนส่วนใหญ่จะสงสารบุคคลที่ได้ผลของกรรมแต่ไม่สงสารบุคคลที่กำลังทำเหตุอยู่

เราสงสารช้าไปหรือไม่

เราควรเมตตาคนที่กำลังสร้างเหตุที่ไม่ดีอยู่หรือไม่ครับ

เหตุย่อมสมควรแก่ผล

ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านด้วยครับ


ความคิดเห็น 16    โดย ไอเฟล  วันที่ 15 ก.ค. 2557

ตามที่ได้เห็นมาบุคคลพึงกระทำเหตุด้วยการสะสมมาที่จะทำ การกระทำต่างๆ เป็นไปตามเหตุและปัจจัยซึ่งก็คือกรรมที่ได้สั่งสมมา ซึ่งการได้รับผลตามเหตุนั้นเป็นสิ่งที่ยุติธรรมแล้ว เพราะกรรมยุติธรรมเสมอ ดังนั้นเราจึงควรเมตตาคนที่กระทำเหตุให้มากไว้เพราะในอนาคต เขาคนนั้นย่อมได้รับผลของกรรมที่ตนได้กระทำมาอยู่ดี

* หากผมเข้าใจผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ


ความคิดเห็น 17    โดย mild  วันที่ 16 ก.ค. 2557

ผลที่ทั้งคู่ได้รับ นั้นตามสมควรแก่เหตุ เป็นธรรมดา แท้จริงแล้วไม่มีใครอยากเป็นคนเลวคนชั่วแต่ที่ชั่วเพราะจิตสะสมอกุศลไว้มาก ทั้งชาติก่อนและชาตินี้ จึงไม่ควรโกรธคนที่ทำชั่ว เพราะการโกรธ ชัง คนที่ทำชั่วก็คือการทำร้ายจิตของตัวเองเป็นการโปรยธุลีลงในจิตโดยไม่รู้ตัว ถ้าทำปาณาติบาตโดยการประหารเสียแล้ว บุคคลนั้นก็หมดโอกาสที่จะเป็นคนที่ดีได้อีก หมดโอกาสที่เราจะสร้างกุศลโดยการมีเมตตาได้อีก ถ้ามีโอกาสที่จะช่วยให้คนที่เห็นผิดได้เห็นถูกบ้างแม้เพียงเล็กน้อยจะเมตตาเขาได้ไหม? ได้หรือไม่ คำตอบอยู่ที่คุณธรรมของผู้นั้น นี่แหละคือธรรมตา คือความเป็นไปแห่งธรรมมะ ทุกคนเสมอกันด้วยความเป็นคน แต่เป็นผู้ใจสูงเป็นอริยะได้ด้วยคุณธรรม

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 18    โดย ประสาน  วันที่ 16 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 19    โดย ประสาน  วันที่ 16 ก.ค. 2557

ขอบคุณท่านpadermด้วยครับ

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 20    โดย wirat.k  วันที่ 18 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 21    โดย tee  วันที่ 18 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ ที่ช่วยเตือนให้ไม่ลืม เมื่อเจอเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาทางสื่อต่างๆ ที่ต้องพบในชีวิตประจำวัน


ความคิดเห็น 22    โดย lovedhamma  วันที่ 6 ก.พ. 2558

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 23    โดย chatchai.k  วันที่ 3 ม.ค. 2568

ยินดีในกุศลจิตครับ