
[เล่มที่ 66] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 361
อัฏฐกวัคคิกะ
ตุวฏกสุตตนิทเทสที่ ๑๔
[๗๘๑] คำว่า ค้นคว้าอยู่ ในคำว่า ภิกษุค้นคว้าอยู่ พึงเป็น ผู้มีสติ ศึกษาในกาลทุกเมื่อ ความว่า ค้นคว้าอยู่ คือค้นหา พิจารณา เทียบเคียง ทำให้แจ่มแจ้ง ทำให้เห็นแจ้งว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ฯลฯ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงมีความดับไปเป็น ธรรมดา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ค้นคว้าอยู่. คำว่า ในกาลทุกเมื่อ คือ ในกาลทุกเมื่อ ในกาลทั้งปวง ตลอดกาลทั้งปวง ฯลฯ ในตอนวัยหลัง
คำว่า มีสติ คือมีสติโดยเหตุ ๔ อย่าง คือเมื่อเจริญสติปัฏฐานพิจารณา กายในกาย ก็มีสติ ฯลฯ ภิกษุนั้นเรียกว่าเป็นผู้มีสติ. คำว่า พึงศึกษา ความว่า สิกขา ๓ คือ อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ฯลฯ นี้ชื่อว่า อธิปัญญาสิกขา ภิกษุนึกถึงสิกขาทั้ง ๓ นี้อยู่ ก็พึงศึกษา ฯลฯ พึงศึกษา คือพึงประพฤติเอื้อเฟื้อ ประพฤติเอื้อเฟื้อด้วยดี สมาทาน ประพฤติไป เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภิกษุค้นคว้าอยู่ พึงเป็นผู้มีสติ ศึกษา ในกาลทุกเมื่อ.
อ.อรรณพ: อ.คำปั่นครับ ในข้อความที่อธิบายเพิ่มเติมที่ท่านกล่าวถึงว่า ค้นคว้าอยู่ ซึ่ง อ.คำปั่น ได้อ่านที่ท่านอธิบายตรงนี้ แสดงถึงการรู้ในความเป็น สังขาร เชิญ อ.คำปั่น อ่านอีกสักครั้งครับ
อ.คำปั่น: มีข้อความอธิบายไว้ครับคำว่า ค้นคว้าอยู่ ในคำว่า ภิกษุค้นคว้าอยู่ พึงเป็น ผู้มีสติ ศึกษาในกาลทุกเมื่อ ความว่า ค้นคว้าอยู่ คือค้นหา พิจารณา เทียบเคียง ทำให้แจ่มแจ้ง ทำให้เห็นแจ้งว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ฯลฯ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงมีความดับไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ค้นคว้าอยู่ ครับ
อ.อรรณพ: ขอบพระคุณครับ กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ จริงๆ ท่านอาจารย์ได้ให้ความเข้าใจในประโยชน์ของ อรรถะ นี้อยู่เสมอ เช่น ท่านอาจารย์ ข้อความแรกที่ว่า รู้ธรรมะนั้น ก็คือท่านอาจารย์ถามว่า ขณะนี้มีอะไร? ครับ ผู้ที่ฟังธรรมะเข้าใจบ้าง ก็บอกว่า ขณะนี้มีเห็น เห็นเป็นธรรมะ อะไรเป็นธรรมะ ก็เห็นเป็นธรรมะ
เพราะฉะนั้น ก็รู้ในขั้นปริยัติก่อนว่า เห็นขณะนี้เป็นธรรมะ ครับ รู้ธรรมะนั้น หรือในระดับที่รู้ตรงลักษณะสภาพธรรมะนั้น เห็นก็เป็นเพียงธรรมะอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่ตัวตน แล้วท่านอาจารย์ก็ถามว่า เห็น ถ้าไม่เกิด จะมีเห็นไหม? ก็แสดงว่า ต้องเกิดจากเหตุปัจจัย แล้วก็ต่อไปท่านถามว่า แล้วเห็นที่เกิดนั้น ดับไหม? ก็ดับครับ
ท่านอาจารย์ครับ ก็ซาบซึ้งว่า นี่คือค่อยๆ รู้ธรรมะ แต่ละหนึ่งๆ นั้น แล้วก็มีการที่ ถ้าเป็นขั้นปริยัติก็พิจารณาไตร่ตรองว่า ธรรมะนั้นต้องเกิดจากปัจจัย เกิดแล้วต้องดับไป
เพราะฉะนั้น ก็ต้องมีความดับไปเป็นธรรมดา แต่ถ้าเป็นปัญญาที่ละเอียดยิ่งกว่านั้น เมื่อสติระลึกรู้ตรงลักษณะสภาพธรรมะแล้ว ไม่ใช่แค่นี้จะพอ ก็ต้องเข้าใจในความชัดเจน รู้ชัด จนกว่าระรู้ในความเกิดขึ้น และดับไปของสภาพธรรมะ
อันนี้ก็เป็นความที่ผมไตร่ตรองพอที่จะเข้าใจจากที่ท่านอาจารย์ได้ให้ความเข้าใจอย่างนี้มาแล้ว แม้ท่านอาจารย์จะไม่ได้กล่าวโดยคำเป๊ะๆ ว่า รู้ธรรมะนั้นแล้ว ค้นคว้าอยู่ ไม่ใช่เราค้นคว้า แต่เป็นปัญญาที่เข้าใจละเอียดขึ้นจนรู้ในความเกิดขึ้น และดับไปของสภาพธรรมะ เป็นต้นครับ อันนี้ผมว่า เป็นการกล่าวแสดงความเข้าใจที่มีครับ แต่ถ้าท่านอา จารย์จะกรุณาได้เพิ่มเติมอีกก็จะยิ่งเป็นประโยชน์ กราบเท้าครับ
ท่านอาจารย์: ทุกคำในพระไตรปิฎก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว ตรัสไว้ดีแล้ว เพราะฉะนั้น ฟังแล้วเข้าใจความหมายความลึกซึ้งที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้วบ้างไหม?
ไม่ใช่รีบร้อนเลย ธรรมะมีอยู่ตลอดเวลาไม่เคยขาดเลย ตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติ
ก็อยากจะรู้ธรรมะ อยากจะทำให้รู้ธรรมะได้ไหม? เพราะฉะนั้น เพียงเข้าใจว่า แม้มีธรรมะเดี๋ยวนี้ ก็ไม่มีใครรู้ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมีตรัสรู้ความจริง แล้วทรงแสดงความจริง ลึกซึ้งไหม?
ไม่ใช่ต้องไปทำอะไรเลย เพียงเข้าใจว่า สิ่งที่กำลังปรากฏนี่ เข้าใจแค่ไหน? เข้าใจเพียงว่า มี แต่เป็นเรา เกิดดับก็ไม่รู้ อะไรก็ไม่รู้ มี เป็นเรา เราเห็น
เพราะฉะนั้น การที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเข้าใจสิ่งที่มีทีละเล็กทีละน้อยจนรู้ ค่อยๆ มั่นคงว่า ขณะนี้ถ้าเห็นไม่เกิดไม่มีเห็น และจะไปค้นคว้าอะไร นอกจากเข้าใจให้ถูกต้อง เห็นเกิด จึงมีเห็น
ค่อยๆ ปลูกฝังความเข้าใจมั่นคงในความเป็นสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวันแต่ละหนึ่งว่า ต้องเกิดจึงมี
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ไปค้นคว้าแบบไหนเลย แต่ว่าให้ค่อยๆ เข้าใจความจริงของทุกอย่างทีละเล็กทีละน้อย เพราะเหตุว่า แต่ละหนึ่งก็เป็น ธรรมะนั้นๆ ๆ ๆ ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี กว่าจะละคลายความไม่รู้จนกระทั่งประจักษ์แจ้งความจริงที่ทำให้หมดความสงสัยในความเป็นจริงของธรรมะ ซึ่งกำลังเกิด และดับ จึงกำลังปรากฏสืบต่อกัน
เพราะฉะนั้น ฟังธรรมะเพื่อเข้าใจ เพื่อรู้ว่า แม้เข้าใจก็ไม่ใช่เรา ต้องมีความเข้าใจธรรมะมั่นคงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นธรรมะอะไร ก็เป็นธรรมะที่มีลักษณะปรากฏให้รู้ในความเป็นแต่ละธรรมะ จึงค่อยๆ คลายความยึดมั่นสิ่งที่กำลังปรากฏว่า เป็นเรา หรือว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นี่ค้นคว้าหรือเปล่า?
ขอเชิญอ่านเพิ่มได้ที่..
ภิกษุรู้ธรรมนั้นแล้วค้นคว้าอยู่ [ตุวฏกสุตตนิทเทสที่ ๑๔]
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.อรรณพ ด้วยความเคารพค่ะ
ฟังธรรมเพื่อเข้าใจ เพื่อรู้ว่า แม้เข้าใจก็ไม่ใช่เรา ต้องมีความเข้าใจธรรมมั่นคงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นธรรมอะไร ก็เป็นธรรมที่มีลักษณะปรากฏให้รู้ในความเป็นแต่ละธรรม จึงค่อยๆ คลายความยึดมั่นสิ่งที่กำลังปรากฏว่า เป็นเรา หรือว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ