พระอรหันต์ยังมีวาสนา
โดย สารธรรม  24 ก.ย. 2568
หัวข้อหมายเลข 51007

วาสนาไม่ดี แต่ไม่ใช่อกุศลจิต ไม่ใช่อกุศลเจตสิก สำหรับพระอรหันต์ดับอกุศลธรรมทั้งหมด แต่ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าดับวาสนาไม่ได้ คือ ยังมีความประพฤติทางกายทางวาจาที่ดูไม่งาม อย่างการเดินเร็วๆ เหมือนวิ่ง ใครเห็นจะว่าอย่างไร หรือว่าใครชอบ แต่ถ้าบุคคลนั้นไม่มีอกุศลจิต มีแต่การกระทำที่สะสมมาจนชิน ทางกาย ทางวาจาที่ไม่งาม นั่นคือความหมายของวาสนา


เปิดฟัง ...

วาสนาเป็นกิเลสหรือเปล่า

ถ. สังโยชน์มี ๑๐ พระอรหันต์ละได้หมดแล้ว แต่วาสนาพระอรหันต์ยัง ละไม่ได้ วาสนานี่จัดว่าเป็นอะไร เป็นกิเลสหรือเปล่า

สุ. เป็นการสะสม ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วมีแต่วิบากกับกิริยา [ตอนที่ 1601]

ท่านผู้ฟังชอบที่จะขีดเส้น ใส่กล่อง วัด ตัดด้วยไม้บรรทัด ด้วยอะไรก็ตามแต่ แต่ให้ทราบว่า เรื่องการปรุงแต่งของสภาพธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดจริงๆ ไม่ทราบว่าจะเอาอะไรมาวัด หรือมาขีด มาคั่น ขอแต่ให้ทราบว่า ขณะนี้เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล จะเพียงพอไหม หรือแทนที่จะระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ก็เป็นเรื่องของความสงสัย เป็นความคิดต่างๆ [ตอนที่ 1601]

ถ. อาจารย์บอกว่า วาสนา เป็นอกุศลอย่างเดียว

สุ. เป็นสิ่งที่ไม่ดี

ถ. เป็นสิ่งที่ไม่ดี พระอรหันต์ที่ท่านยังมีวาสนา ท่านก็ยังละสิ่งไม่ดีไม่ได้

สุ. แต่ท่านไม่มีอกุศล เป็นสิ่งที่จะต้องทราบ อกุศลได้แก่อกุศลธรรมประเภทต่างๆ ๙ กองตามที่ได้ศึกษากันมาแล้ว ซึ่งพระอรหันต์ดับหมด แต่ยังมี กายวาจาที่เรียกว่า สิ่งที่ไม่ดี แต่ไม่ใช่เกิดจากอกุศล

ถ. เกิดจากการสั่งสม

สุ. เกิดจากการสะสม พระอรหันต์มีจิตเพียง ๒ ชาติเท่านั้น คือ วิบากจิต กับกิริยาจิต ไม่มีกุศล ไม่มีอกุศล เพราะฉะนั้น ธรรมต้องสอดคล้องกัน ต้องพยายามคิด พยายามพิจารณาถึงอรรถ ไม่ใช่โดยพยัญชนะอย่างเดียว แต่ต้องเข้าใจ ให้สอดคล้องกันถึงอรรถด้วย ไม่ใช่เรียนแต่คำหรือเรื่อง แต่ต้องเข้าใจสภาพตามความเป็นจริงของธรรมแต่ละประเภทด้วย

วันนี้ เห็น เป็นปัจจัยให้กิเลสเพิ่มหรือเป็นปัจจัยให้กิเลสลด จะต้องเห็นไป ทุกชาติ จะต้องได้ยินไปทุกชาติ ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสไป ทุกชาติ เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดง เพื่อให้ปัญญาเจริญขึ้นเพื่อรู้สิ่งที่ กำลังปรากฏตามปกติ ตามความเป็นจริง

นี่คือพระพุทธประสงค์ของการศึกษาธรรม จะน้อยหรือจะมากก็ตาม เพื่อเกื้อกูลให้สติระลึกได้

ที่ท่านผู้ฟัง ฟังเรื่องของจิตประเภทต่างๆ ละเอียดขึ้น เจตสิกประเภทต่างๆ ละเอียดขึ้น รูปประเภทต่างๆ ละเอียดขึ้น ไม่ควรลืมจุดประสงค์ว่า เพื่อให้รู้ลักษณะของธรรมที่ได้ยินได้ฟัง และเพื่อเกื้อกูลให้ปัญญาละคลายการยึดถือสภาพธรรมนั้นว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน

เพียงแข็ง แค่นี้น่าสนใจไหม หรือว่าไม่เอา จะเอามากมายที่โน่น ที่นี่ ชื่อต่างๆ ยากๆ และละเลยแข็งซึ่งสามารถจะทำให้ถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ เมื่อรู้ความจริงของแข็งที่ปรากฏว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ มีสภาพธรรมที่จะทำให้ถึงความเป็นพระอรหันต์ ถ้าลดลงมาอีก ก็ถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล ถึงความเป็นพระสกทาคามีบุคคล ถึงความเป็นพระโสดาบันบุคคล ถึงความที่ปัญญาประจักษ์แจ้งลักษณะของ สภาพธรรมตามความเป็นจริง เป็นปัญญาที่สมบูรณ์ตามลำดับขั้น

วันหนึ่งๆ อยู่ในโลกของความคิด สุขทุกข์กับความคิด เพราะไม่สามารถรู้ชัดในลักษณะของปรมัตถธรรม ต่อเมื่อใดรู้ลักษณะของปรมัตถธรรมจริงๆ เมื่อนั้น จึงจะสามารถประจักษ์แจ้งในการเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมได้ เพราะว่า บัญญัติไม่เกิดดับ เป็นแต่เพียงความคิดนึกเท่านั้น

ท่านผู้ฟังเขียนมาถามว่า ที่อาจารย์บอกว่า วาสนาเป็นอกุศล เป็นได้อย่างไร วาสนาหมายถึงอะไร และบารมีต่างกับวาสนาอย่างไร

ไม่ทราบเมื่อกี้เข้าใจหรือเปล่าที่ว่า วาสนาไม่ดี แต่ไม่ใช่อกุศลจิต ไม่ใช่ อกุศลเจตสิก สำหรับพระอรหันต์ดับอกุศลธรรมทั้งหมด แต่ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าดับวาสนาไม่ได้ คือ ยังมีความประพฤติทางกายทางวาจาที่ดูไม่งาม อย่างการเดินเร็วๆ เหมือนวิ่ง ใครเห็นจะว่าอย่างไร บางท่านกล่าวว่าเหมือนลิง หรือว่าใครชอบ แต่ถ้าบุคคลนั้นไม่มีอกุศลจิต มีแต่การกระทำที่สะสมมาจนชิน ทางกาย ทางวาจาที่ไม่งาม นั่นคือความหมายของวาสนา

ถ้าไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ จะเดินสวยเพราะอกุศลได้ไหม จะเดินไม่สวยเพราะอกุศลได้ไหม ได้แน่นอน ใช่ไหม เพราะว่ายังมีอกุศลอยู่ กิริยาอาการมารยาทน่าดู ในการบริโภคอาหาร ในการเดิน ในการพูด ในการนั่ง ในการนอนด้วยโลภะได้ และบางท่านก็มีกายวาจาที่ไม่งามด้วยอกุศลเหมือนกัน แต่สำหรับผู้ที่เป็นพระอรหันต์ดับอกุศลทั้งหมด ไม่มีอกุศลธรรมเลย แต่การสะสมความเคยชินของการกระทำ ความประพฤติทางกาย ทางวาจา ละไม่ได้ แม้ว่าอกุศลจิตไม่เกิด เพราะว่าเรื่องของใจเป็นกุศลและอกุศล จริง แต่เรื่องของกิริยาอาการทางกาย ทางวาจา กระทำไป ด้วยกุศลก็ได้ ด้วยอกุศลก็ได้ แม้ดับอกุศลหมดแล้ว ก็ยังคงมีการกระทำทางกาย ซึ่งอาจจะไม่เหมาะ ไม่น่าดูเลย หรือทางวาจา อย่างบางท่านใช้คำว่า คนถ่อย จนติดปาก แต่คนที่ยังมีกิเลสอยู่และใช้คำว่า คนถ่อย ก็เป็นความต่างกันของผู้ที่ดับอกุศลกับผู้ที่ยังมีอกุศล ผู้ที่ยังมีอกุศลพูดคำว่าคนถ่อยกับผู้อื่นด้วยความสำคัญตน คนอื่นถ่อย ตัวเองคงจะไม่ถ่อย จึงได้ว่าคนอื่นถ่อยในขณะนั้น

แต่สำหรับผู้ที่เป็นพระอรหันต์แล้ว เคยสะสมกายวาจามา แม้ว่าจะดับอกุศลแล้ว อกุศลธรรมคืออกุศลเจตสิกไม่มีเลย กุศลจิตก็ไม่มีเลย แต่ความคุ้นเคยกับกาย วาจาที่ได้ทำมามากจนติด แม้ว่าในขณะนั้นอกุศลจิตไม่เกิด แต่ก็มีกิริยาจิตที่ทำให้กายวาจาเป็นไปโดยไม่น่าดู นั่นคือความหมายของวาสนา

คำถามต่อไปท่านถามว่า บารมีต่างกับวาสนาอย่างไร

บารมีก็ต้องเป็นการสะสมที่จะให้ถึงฝั่ง คือ พระนิพพาน [ตอนที่ 1601]

พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีให้สร้างวิหารหลายหลัง สร้างบริเวณ สร้างซุ้มประตู สร้างศาลาหอฉัน สร้างโรงไฟ สร้างกัปปิยกุฎี สร้างวัจจกุฎี สร้างที่จงกรม สร้างโรงจงกรม สร้างบ่อน้ำ สร้างศาลาบ่อน้ำ สร้างเรือนไฟ สร้างศาลาเรือนไฟ สร้างสระโบกขรณี สร้างมณฑป เพื่อความสะดวกสบายของพระผู้มีพระภาคและพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งก็ปรากฏว่าพระผู้มีพระภาคประทับที่พระวิหารเชตวัน คือทรงจำพรรษาอยู่ที่นั่นถึง ๑๙ พรรษา [ตอนที่ 27]



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 24 ก.ย. 2568

วันหนึ่งๆ มีสภาพธรรมที่จะทำให้ถึงความเป็นพระอรหันต์ ถ้าลดลงมาอีก ก็ถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล ถึงความเป็นพระสกทาคามีบุคคล ถึงความเป็นพระโสดาบันบุคคล ถึงความที่ปัญญาประจักษ์แจ้งลักษณะของ สภาพธรรมตามความเป็นจริง เป็นปัญญาที่สมบูรณ์ตามลำดับขั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ


ความคิดเห็น 2    โดย มังกรทอง  วันที่ 26 ก.ย. 2568

สนทนาธรรมเกิดขึ้น กุศลมี ฟังธรรมะในดิถี ถูกต้อง อาจารย์สุจินต์ศรี เป็นหลัก จิตเจตสิกรูปสอดคล้อง มั่นแฟ้นคำจริง


ความคิดเห็น 3    โดย มังกรทอง  วันที่ 29 ก.ย. 2568

ต่ละคำองค์พระศาสดา จักศึกษาจนเข้าใจ หนักแน่นไม่หวั่นไหว ด้วยเข้าใจในอนัตตา กราบอาจารย์สุจินต์ให้ เมตตาได้ทุกเวลา อีกเปี่ยมความกรุณา น้อมศรัทธาอาจารย์เทอญ