สมจริงดังพระพุทธภาษิตที่ว่า [อัตตทัณฑสุตตนิทเทสที่ ๑๕]
บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่ให้ทาน เพราะเหตุแห่งสุขอันก่อให้เกิดอุปธิ แต่บัณฑิตเหล่านั้นย่อมให้ทาน เพื่อความหมดสิ้นอุปธิ เพื่อนิพพานอันไม่มีภพต่อไป โดยส่วนเดียว
บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่เจริญฌาน เพราะเหตุแห่งสุขอันก่อให้เกิดอุปธิ เพื่อภพต่อไป แต่บัณฑิตเหล่านั้นย่อมเจริญฌาน เพื่อความหมดสิ้นอุปธิ เพื่อนิพพานอันไม่มีภพต่อไปโดยส่วนเดียว
รับฟัง ...
ผู้มีปัญญาทำกุศลเพื่ออะไร
สำหรับการทำกุศลของแต่ละท่าน ไม่ทราบว่าที่ทำมีเจตนาหรือมีความหวัง ความต้องการอย่างหนึ่งอย่างใดในบางครั้งบางขณะหรือเปล่า หรือว่ากุศลทั้งหมดที่ทำ เพื่อมุ่งอย่างเดียวที่จะดับกิเลส เพื่อที่จะหมดกิเลส ซึ่งพระผู้มีพระภาคได้ทรงเตือนไว้ใน ขุททกนิกาย มหานิทเทส อัตตทัณฑสุตตนิทเทสที่ ๑๕ ข้อ ๘๒๕ มีข้อความว่า
ต่างกันแล้ว ระหว่างคนที่มีปัญญากับคนที่ไม่มีปัญญา
คำว่า นรชนพึงเป็นผู้มีใจน้อมไปในนิพพาน
นิพพาน ยากที่ใครจะน้อมไปได้ เพราะว่าเป็นสภาพธรรมที่ดับทุกสิ่งทุกอย่าง เริ่มจากดับกิเลส จึงดับทุกข์และดับขันธ์ได้
ถ้ากิเลสยังไม่ดับ ทุกข์ก็ยังดับไม่ได้ ขันธ์ก็หมดไปไม่ได้ ยังต้องมีการเห็น มีการได้ยิน มีการเกิด เมื่อเกิดมาแล้วก็ดับ และจะต้องประสบกับทุกข์อย่างหนึ่ง อย่างใด แต่ตามความเป็นจริงแล้ว ทันทีที่เกิดก็เป็นทุกข์ เพราะต้องดับ ทั้งจิต เจตสิก รูป สภาพธรรมที่เกิดแล้วไม่ดับ ไม่มีเลย แต่เนื่องจากปัญญายังไม่สามารถประจักษ์ความจริงอย่างนี้ ทำให้แม้เห็นก็กลับยินดีพอใจ แม้ได้ยินก็ยินดีพอใจ ทั้งในการเห็นและในสิ่งที่เห็น ทั้งในการได้ยินและในเสียงที่ได้ยิน จนกระทั่งอวิชชาปิดบังสภาพของธรรม ทำให้ไม่ประจักษ์สภาพธรรมตามความเป็นจริงพอที่จะดับกิเลสและดับขันธ์ คือ ไม่มีการเกิดขึ้นอีกเลย
เพราะฉะนั้น เรื่องของ นิพพาน เป็นเรื่องที่จะต้องเข้าใจถูกว่า เป็นเรื่องของการดับกิเลส อย่างเดียว
คำว่า นรชนพึงเป็นผู้มีใจน้อมไปในนิพพาน ความว่า นรชนบางคนในโลกนี้ให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถกรรม เข้าไปตั้งไว้ซึ่งน้ำดื่มน้ำใช้ กวาดบริเวณ ไหว้พระเจดีย์ บูชาเครื่องหอมและดอกไม้ที่พระเจดีย์ ทำประทักษิณพระเจดีย์ บำเพ็ญกุศลที่ควรบำเพ็ญอย่างใดอย่างหนึ่งอันเป็นไตรธาตุ ก็ไม่บำเพ็ญเพราะเหตุ แห่งคติ ไม่บำเพ็ญเพราะเหตุแห่งอุปบัติ ไม่บำเพ็ญเพราะเหตุแห่งปฏิสนธิ ไม่บำเพ็ญเพราะเหตุแห่งภพ ไม่บำเพ็ญเพราะเหตุแห่งสงสาร ไม่บำเพ็ญเพราะเหตุแห่งวัฏฏะ เป็นผู้มีความประสงค์ในอันพรากออกจากทุกข์ อันมีใจน้อมโน้มโอนไปในนิพพาน ย่อมบำเพ็ญกุศลทั้งปวงนั้น แม้เพราะเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า นรชนพึงเป็นผู้มีใจน้อมไปในนิพพาน
อนึ่ง นรชนกระทำจิตให้กลับจากสังขารธาตุอันเป็นไปในไตรภูมิทั้งปวง น้อมจิตเข้าไปในอมตธาตุว่า ธรรมชาติใด คือ ความสงบแห่งสังขารทั้งปวง ความสละคืนแห่งอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความสำรอกตัณหา ความดับตัณหา ความออกจากตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด ธรรมชาตินี้สงบ ประณีต แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า นรชนพึงเป็นผู้มีใจน้อมไปในนิพพาน
สมจริงดังพระพุทธภาษิตที่ว่า
บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่ให้ทาน เพราะเหตุแห่งสุขอันก่อให้เกิดอุปธิ แต่บัณฑิตเหล่านั้นย่อมให้ทาน เพื่อความหมดสิ้นอุปธิ เพื่อนิพพานอันไม่มีภพต่อไป โดยส่วนเดียว
บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่เจริญฌาน เพราะเหตุแห่งสุขอันก่อให้เกิดอุปธิ เพื่อภพต่อไป แต่บัณฑิตเหล่านั้นย่อมเจริญฌาน เพื่อความหมดสิ้นอุปธิ เพื่อนิพพานอันไม่มีภพต่อไปโดยส่วนเดียว
บัณฑิตเหล่านั้นมุ่งนิพพาน มีจิตเอนไปในนิพพาน น้อมจิตไปในนิพพาน ย่อมให้ทาน บัณฑิตเหล่านั้นย่อมเป็นผู้มีนิพพานเป็นเบื้องหน้า เหมือนแม่น้ำทั้งหลายไหลไปสู่ทะเล ฉะนั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า นรชนพึงเป็นผู้มีใจน้อมไปในนิพพาน เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า
นรชน พึงปราบความหลับ ความเกียจคร้าน ความย่อท้อ ไม่พึงอยู่ด้วยความประมาท ไม่พึงตั้งอยู่ในความดูหมิ่น พึงเป็นผู้มีใจน้อมไปในนิพพาน
ขณะนี้ทุกคนพอที่จะรู้จักตนเองว่า มีจิตน้อมไปในนิพพานแค่ไหน หรือว่ายัง แต่เริ่มที่จะเข้าใจคุณประโยชน์ของพระนิพพานได้ [ตอนที่ 1530]
ถ. เจริญสติมาถึงขณะนี้ ยังไม่เคยน้อมใจไปถึงนิพพานเลย
สุ. เพราะอะไร ทราบไหม
ถ. ปัญญายังไม่แก่กล้า
สุ. นี่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ด้วยเหตุนี้พระผู้มีพระภาคจึงทรงเตือนอยู่เรื่อยๆ ว่าแม้แต่การที่จะให้ทาน หรือการที่จะรักษาศีล ก็ไม่ควรจะเป็นไปโดยหวังคติ โดยหวังภพ หรือโดยหวังสังสารวัฏฏ์ หวังสุขซึ่งเป็นวิบาก แต่ควรที่จะเห็นโทษของ สิ่งต่างๆ เหล่านั้น และรู้ว่า ถึงแม้ว่าจะมีสุขเป็นวิบากสักเท่าไร ก็ไม่เที่ยง ไม่เหมือนกับการที่จะดับสนิท ไม่มีการเกิดของขันธ์อีกเลย [ตอนที่ 1530]
สนทนาธรรมเกิดขึ้น กุศลมี ฟังธรรมะในดิถี ถูกต้อง อาจารย์สุจินต์ศรี เป็นหลัก จิตเจตสิกรูปสอดคล้อง มั่นแฟ้นคำจริง