หมดสงสัยในเรื่องแสนโกฏกัปป์ ใช่ไหม กว่าจะรู้?
โดย เมตตา  4 มิ.ย. 2568
หัวข้อหมายเลข 50090

[เล่มที่ 41] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 64

บาทพระคาถาว่า น ปเรสํ กตากตํ ความว่า ไม่ควรแลดูกรรมที่ทำแล้วและยังไม่ทำแล้วของคนเหล่าอื่น อย่างนั้นว่า "อุบาสกโน้น ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส แม้วัตถุมีภิกษาทัพพีหนึ่งเป็นต้นในเรือน เขาก็ไม่ให้ สลากภัตเป็นต้น เขาก็ไม่ให้ การให้ปัจจัยมีจีวรเป็นต้น ไม่มีแก่อุบาสกนั่น อุบาสิกาโน้นก็เหมือนกัน ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส ภิกษาทัพพีหนึ่งเป็นต้นในเรือน นางก็ไม่ให้ สลากภัตเป็นต้น ก็ไม่ให้ การให้ปัจจัยมีจีวรเป็นต้น ก็ไม่มีแก่อุบาสิกานั้น ภิกษุโน้นก็เช่นกัน ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส ทั้งไม่ทำอุปัชฌายวัตร ไม่ทำอาจริยวัตร ไม่ทำอาคันตุกวัตร ไม่ทำวัตรเพื่อภิกษุผู้เตรียมจะไป ไม่ทำวัตรที่ลานพระเจดีย์ ไม่ทำวัตรในโรงอุโบสถ ไม่ทำวัตรที่หอฉัน ไม่ทำวัตรมีวัตรในเรือนไฟเป็นอาทิ ทั้งธุดงค์ไรๆ ก็ไม่มีแก่เธอ แม้เหตุสักว่าความอุตสาหะ เพื่อความเป็นผู้มีภาวนาเป็นที่มายินดี ก็ไม่มี".


วิริยารัมภกถา

วิริย (ความเพียร) +อารมฺภ (การปรารภ การเริ่มต้น) +กถา (คำพูด)

คำพูดที่ทำให้เกิดการปรารภความเพียร หมายถึง พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดยนัยของพระสูตร เป็น ปุคคลาธิษฐาน คือ มีสัตว์บุคคลเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น"คนดีควรดูหมิ่นอายุนั้นเสีย ควรประพฤติดุจคนที่ถูกไฟไหม้บนศีรษะฉะนั้น" หรือ"พึงทำความเพียรในวันนี้แหละ ใครเล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง เพราะว่าความผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้นย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย พระมุนีผู้สงบย่อมเรียกบุคคลผู้มีปกติอยู่อย่างนี้ มีความเพียรไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน นั่นแลว่าผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ"


อ.คำปั่น: ที่ท่านอาจารย์กล่าวทั้งหมด ก็เป็นข้อความในพระไตรปิฎก แล้วก็ในอรรถกถา ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงความเป็นจริงของธรรมนะครับ แม้แต่ใน ปปัญจสูทนี อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ มหาสุญญตสูตร ครับ ก็มีข้อความช่วงหนึ่งที่ปรากฏ ก็คือว่า ดูกร ภิษุทั้งหลาย พระอริยสาวกผู้ได้สดับแล้วจากพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมละอกุศล เจริญกุศล ละธรรมที่มีโทษ เจริญธรรมที่ไม่มีโทษ บริหารตนให้บริสุทธิ์ ครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: ก็ต้องอาศัยทุกคำของพระองค์ ให้รู้ความจริง เป็นกำลังใจ วิริยะที่จะเพียรต่อไป ถ้าชาตินี้ไม่พากเพียรในการที่จะรู้ว่า ละกิเลส ไม่มีทางเลย เมื่อไหร่จะรู้ รู้แล้วไม่มีอะไรที่จะทำให้ละ ไม่มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะเตือน กิเลสอยู่ที่ไหน ไม่ได้อยู่ที่คนอื่นเลย เห็น เดี๋ยวนี้แหละ แค่เห็นก็มีกิเลสแล้ว เห็นไหม แล้วทั้งวันเห็นเท่าไหร่?

เพราะฉะนั้น ฟังคำของพระองค์เพื่อที่จะระลึก เพื่อที่จะปลูกฝังความมั่นคงในการที่จะรู้ความจริงได้ แต่ต้องด้วย วิริยะ ความพากเพียรเท่าไหร่ที่จะไม่ละเลยการฟังการไตร่ตรอง การเริ่มขัดเกลากิเลส

ถ้าเดี๋ยวนี้ทำยาก ต่อไปจะยากขึ้น หรือจะง่ายขึ้น

อ.คำปั่น: ถ้าตอนนี้ยาก ต่อไปก็ยิ่งยากครับ

ท่านอาจารย์: เห็นโทษไหม? เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้เลย ก็เป็นไปได้นะ ถ้าเห็นคุณจริงๆ เกิดมามีโอกาสได้ฟัง คำ ที่ยากที่จะได้ฟัง ฟังแล้ว ความลึกซึ้ง ต้องไตร่ตรอง จนกระทั่งเห็นความละเอียดอย่างยิ่ง และอบรมความเข้าใจเท่านั้นเอง เพราะเป็นหน้าที่ของธรรมที่เป็นปัญญาที่สามารถรู้ความจริงทีละเล็กทีละน้อย ค่อยๆ ดำเนินไป

หมดสงสัยในเรื่องแสนโกฏกัปป์ ใช่ไหม กว่าจะรู้?

อ.คำปั่น: ครับ วันนี้ได้รับประโยชน์มากครับ แม้ในช่วงต้นก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งเลยครับ ทุกคำที่ท่านอาจารย์กล่าว เป็นคำที่เพิ่มพูนกำลังใจ ครับ คือ กำลังของปัญญา กำลังของธรรมฝ่ายดีทั้งหลายครับ ที่จะค่อยๆ ฟันฝ่าคลื่นของกิเลสอกุศลทั้งหลายในชีวิตประจำวันครับ ก็กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ กราบอ.อรรณพครับ

อ.อรรณพ: อ.คำปั่นได้กล่าวด้วยปีติโสมนัสว่า คำท่านอาจารย์เตือนทุกคำเลยนะครับ เพราะฉะนั้น วันนี้ซาบซึ้งกับ วิริยารัมภกถา ถึงวันนี้ท่านอาจารย์ อ.คำปั่น ไม่ได้กล่าวว่าเป็น วิริยารัมภกถา แต่ในนัยยะ ในอรรถะ ในความหมายนั้นเป็น วิริยารัมภกถา เป็นคำที่ปรารถความเพียรทำให้มีความเพียรที่จะอบรมเจริญปัญญาโดยไม่ใช่เรา ที่จะรู้ว่าเป็นงานใหญ่ งานยาก งานยาวนานในสังสารวัฏฏ์นะครับ

ท่านอาจารย์ก็กล่าวถึงความมากมายของกิเลสอกุศล เพราะฉะนั้น ท่านอาจารย์ก็ถามว่า อ่อนใจไหม? คือเราไม่ท้อใจไม่อ่อนใจถ้าเข้าใจ แต่กราบเท้าท่านอาจารย์ว่า แม้คำที่เป็นกำลังใจที่จะเตือนให้มีการปรารถแล้วปรารถอีกด้วยความเพียรที่ไม่ใช่เรา เป็นความเพียรที่ปรารถขึ้น แล้วๆ เล่าๆ ที่จะฟังพระธรรม ฟังแล้วฟังอีก ปรารภแล้วปรารภอีก ไม่ใช่เราปรารภแต่เป็นความเพียรเป็นปัญญาเป็นสติที่ปรารถขึ้นปรารถขึ้นอยู่เรื่อยๆ อย่างนี้ครับ

ทีนี้ครับท่านอาจารย์ ถ้าไม่ได้เข้าใจพระธรรมอย่างนี้ ท่านอาจารย์ถามว่า อ่อนใจไหมนี่ ถ้าเป็นการที่เราไม่ได้ฟังพระธรรม มีกำลังของกิเลส มีกำลังใจที่เป็นอกุศลที่จะพอใจที่จะอยู่ในสังสารวัฏฏ์นี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้รู้สึกรู้สาไม่ได้เดือดร้อนกิเลสอกุศล กิเลสอกุศลเกิดขึ้นก็ทุกข์ยากไป แต่ว่าก็มีกิเลสอกุศลที่พึงพอใจที่จะอยู่อย่างนี้ คือมีแต่กำลังของอกุศลอย่างนี้ครับท่านอาจารย์

แต่พอได้ยินได้ฟังคำจริง กิเลสอกุศลไม่ได้หมดไป แรกๆ ก็ท้อใจ โอ้โห!! อกุศลมากขนาดนี้ ซึ่งที่ท่านอาจารย์กล่าวกับ อ.คำปั่น วันนี้ แสนโกฏกัปป์ งานแสนโกฏกัปป์ ฟังแรกๆ ถ้าเราแรกๆ ที่เรามีความรู้สึก โอ๊ย!! เราก็ได้เข้ามาในธรรมแล้ว ก็มีความรู้สึกว่า ท่านอาจารย์พูด ไม่ถึงขนาดว่าขู่ครับ แต่พูดว่า คือพูดให้มากไว้ก่อนหรือเปล่า แท้จริงแล้วอาจจะไม่ยาวนานขนาดแสนโกฏกัปป์ ท่านอาจารย์ก็อาจจะพูดเตือนไปอย่างนั้นใช่ไหมครับ? แต่ความจริง ถ้าเข้าใจขึ้นๆ ก็จะเห็นถึงความมากมายของกิเลสอกุศลว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เลย จะต้องเป็นการอบรมเจริญที่นานมากครับ

เพราะฉะนั้น ฟังแรกๆ พอตอนหลังชักรู้ พอชักรู้ก็ชักอ่อนใจว่า เราก็รำพันกันอยู่เรื่อยๆ เวลาพวกเราสนทนากันว่า โอ้โห!! กิเลสมากมายอย่างนี้ เมื่อไหร่จะหมด ก็เหมือนๆ ท้อใจอ่อนใจที่จะเป็นไป จนกว่าจะฟังต่อไป จนวันนี้ท่านอาจารย์ให้กำลังใจ คือกำลังของคุณความดีของใจ ไม่ว่าจะเป็นกำลังของความเพียร กำลังของการที่จะได้ใส่ใจสนใจตั้งใจที่จะเข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้น เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มหาศาลเลย เป็นคำกล่าวที่ปรารภความเพียรด้วยความไม่ย่อท้อ ไม่อ่อนใจ ไม่ท้อใจเพิ่มขึ้นครับ แต่กิเลสอกุศลก็ยอกย้อนไปอย่างนี้

ท่านอาจารย์: เห็นความลึกล้ำของกิเลสไหม?

อ.อรรณพ: เห็นครับ

ท่านอาจารย์: ลึกล้ำแค่ไหน? เพียงได้ฟัง กิเลสสามารถจะอ่อนใจ ท้อใจ เห็นไหม ใครรู้ ตลอดเวลาที่กำลังมีอำนาจที่จะครอบคลุมไว้ให้ไปในทางที่ผิด และยิ่งถ้าอ่อนใจนะ แต่ก็หวังว่า ถ้าทำอย่างหนึ่งอย่างใดแล้วจะรู้ได้ก็ไปเลย ไม่เข้าใจว่า คำว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา

เพราะฉะนั้น ทางผิดมีมาก อันตรายที่สุด ทุกครั้งเหมือนกับยืนอยู่ในที่แวดล้อมด้วยขวากหนาม จะก้าวไปแต่ละครั้งต้องระวังแค่ไหน?

อ.อรรณพ: เป็นอย่างนั้น จนกว่าจะเห็นเช่นนั้น เพราะว่าเป็นขวากเป็นหนามเป็นดง กิเลสเป็นสภาพที่รกชัฏ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น หนทางเดียวที่จะต่อสู้ เป็นเครื่องมือที่จะทำให้อกุศลทั้งหลายมีกำลังอ่อนลง คือเข้าใจประโยชน์ของคุณความดีแม้เพียงเล็กน้อย คุณความดีแม้เพียงเล็กน้อย ลองหาซิ หาเจอไหม ถ้าหาไม่เจอ กิเลสก็เพิ่มต่อไป

อ.อรรณพ: ความดีแม้เพียงเล็กน้อย หาเจอไหม? ท่านอาจารย์พูดอย่างนี้ ถ้าฟังธรรมดาก็ไม่มีอะไร แต่ว่า โอโห!! คุณความดีแม้เล็กน้อยนี่หาเจอไหม ถ้าแม้แต่สิ่งดีเล็กๆ น้อยๆ กุศลที่ควรจะเป็นไปในชีวิตประจำวัน ยังถูกกลบไปด้วยความเป็นตัวตน อกุศลต่างๆ เพราะฉะนั้น ก็ยากที่กุศลจะเจริญเพิ่มขึ้นไพบูลย์ขึ้นครับ

กราบเท้าเข้าใจเช่นนี้ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ความละเอียดในความเข้าใจโทษของอกุศล และประโยชน์ของกุศล จะเป็นปัจจัยที่จะทำให้ค่อยๆ สามารถที่จะละอกุศลได้ อกุศลมากมายมหาศาล แค่วันนี้มีอกุศลเท่าไหร่ พอที่จะละได้บ้างไหม? เห็นไหม แค่วันเดียว แล้วไง ทุกวันในสังสารวัฏฏ์ ต่อไปอีกกว่าจะจากโลกนี้ไป แบกอกุศลไปเท่าไหร่ ทับถมไปอีกเท่าไหร่

เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์จริงๆ ของ คำ ที่กล่าวถึงความจริงถึงที่สุดของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประโยชน์มหาศาล

เพราะฉะนั้น คุณของพระองค์ไม่มีการที่จะเปรียบได้เลย ที่สามารถจะทำให้เห็นโทษของอกุศลที่สะสมมามหาศาล จนกระทั่งค่อยๆ มีความเพียรที่จะรู้ว่า หนทางเดียว ก็คือว่า ทำความดีได้ไหม วันนี้?

อ.อรรณพ: ต้องเป็นความดีที่สะสม ปัญญาที่เห็นประโยชน์จึงจะเป็นเช่นนั้น กราบเท้าท่านอาจารย์นิดหนึ่งว่า พอฟังอย่างนี้แล้ว แต่ในความเป็นจริงเราก็สยบกับอกุศลโดยเฉพาะโลภะ เพราะว่ากิเลสอกุศลมีหลายประเภท แล้วก็มีความยอกย้อนซ่อนเงื่อนกันมาก โดยเฉพาะโลภะ

เพราะฉะนั้น ท่านอาจารย์ถามว่า เห็นอกุศลบ้างไหมแม้เล็กน้อย แล้วก็เห็นคุณแม้เล็กน้อยบ้างไหมนะครับ ก็มีบ้าง แต่ว่า ก็ไม่ใช่ตัวตนที่จะไปบังคับไปทำได้ เช่น มีอาหารจานหนึ่งที่อร่อยมาตั้งไว้ มันก็สยบโลภะ เราก็ต้องรับประทาน ยังไม่ถึงเวลารับประทานก็จะรับประทานแล้ว

ท่านอาจารย์: เพิ่มพูนกิเลสเข้าไปอีกๆ เพราะฉะนั้น แม้ขณะของกุศลแม้เพียงเล็กน้อยยังเกิดไม่ได้ จะหวังมีกุศลมากๆ พอที่จะสู้กับอกุศลได้ไหม?

อ.อรรณพ: ก็เป็นไปไม่ได้ครับ ก็ต้องพ่ายแพ้ แล้วก็ตกอยู่ในการครอบครองครอบงำของกิเลสอกุศลเหล่านี้ โดยเฉพาะโลภะ

ท่านอาจารย์: และถ้าเมื่อมีโอกาสที่กุศลจะเกิด ไม่กระทำสิ่งที่เป็นกุศลทันที โอกาสนั้นก็พลาดไปแล้ว

อ.อรรณพ: นี่ครับ เมื่อวานก็ฟังที่ท่านอาจารย์บรรยายไว้ในคลิปเก่าๆ ที่นำมาสนทนาธรรมเตือนใจ ก็เลยคิดว่า ท่านอาจารย์มากล่าวตอนนี้ ยิ่งลึกเข้าไปใหญ่ คือว่าเราพูดถึงว่า งานสำคัญ คืองานละคลายอกุศล แต่งานสำคัญที่จะละคลายอกุศลจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อแม้งานกุศลน้อยๆ คือจิต เจตสิกที่จะเกิดขึ้นทำกิจการงานที่ดีงามแม้เล็กน้อย ยังไม่เกิดขึ้น แล้วจะไปทำงานสำคัญ งานใหญ่ คืองานละกิเลสได้อย่างไรครับ ก็เป็นที่เตือนมากเลยครับ เห็นคุณของกุศลแม้เล็กน้อยครับ

ขอเชิญอ่านได้ที่..

วัน คืนล่วงไปๆ เราทำอะไรอยู่ [คาถาธรรมบท]

ความจริงแห่งชีวิต [87] วิริยารัมภกถา เป็นปัจจัย ให้ สติ เกิด

วิริยารัมภกถา

ปรารภความเพียร​ ไม่ใช่เราเพียร​

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.อรรณพ และอ.คำปั่น ด้วยความเคารพค่ะ



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 5 มิ.ย. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ