[เล่มที่ 69] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม 7 ภาค 2 - หน้า 531
ยุคนัทธวรรค
๔. เมตตากถา
ว่าด้วยอานิสงส์และอาการแผ่เมตตา หน้า 531
อรรถกถาเมตตากถา หน้า 543
อรรถกถาอินทริยวาร หน้า 547
อรรถกถาพลาทิวารัตตยะ (วาระ ๓ มีพละเป็นต้น) หน้า 550
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 69]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 531
ยุคนัทธวรรค
เมตตากถา
ว่าด้วยอานิสงส์และอาการแผ่เมตตา
สาวัตถีนิทาน
[๕๗๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเมตตาเจโตวิมุตติ อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นดังยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ตั้งไว้เนืองๆ อบรมแล้ว ปรารภดีแล้ว อานิสงส์ ๑๑ ประการเป็นอันหวังได้ อานิสงส์ ๑๑ ประการเป็นไฉน คือผู้เจริญเมตตาย่อมหลับเป็นสุข ๑ ตื่นเป็นสุข ๑ ไม่ฝันลามก ๑ ย่อมเป็นที่รักของมนุษย์ ๑ ย่อมเป็นที่รักของอมนุษย์ ๑ เทวดาย่อมรักษา ๑ ไฟ ยาพิษ หรือศาสตราย่อมไม่กล้ำกลาย ๑ จิตของผู้เจริญเมตตาเป็นสมาธิได้รวดเร็ว ๑ สีหน้าของผู้เจริญเมตตาย่อมผ่องใส ๑ ย่อมไม่หลงใหลกระทำกาละ ๑ เมื่อยังไม่แทงตลอดธรรมอันยิ่งย่อมเข้าถึงพรหมโลก ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเมตตาเจโตวิมุตติ อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นดังยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ตั้งไว้เนืองๆ อบรมแล้ว ปรารภดีแล้ว อานิสงส์ ๑๑ ประการนี้เป็นอันหวังได้.
[๕๗๕] เมตตาเจโตวิมุตติแผ่ไปโดยไม่เจาะจงก็มี แผ่ไปโดยเจาะจงก็มี แผ่ไปสู่ทิศทั้งหลายก็มี เมตตาเจโตวิมุตติแผ่ไปโดยไม่เจาะจงด้วยอาการเท่าไร แผ่ไปโดยเจาะจงด้วยอาการเท่าไร แผ่ไปสู่ทิศทั้งหลายด้วยอาการเท่าไร เมตตาเจโตวิมุตติแผ่ไปโดยไม่เจาะจงด้วยอาการ ๕ แผ่ไปโดยเจาะจงด้วยอาการ ๗ แผ่ไปสู่ทิศทั้งหลายด้วยอาการ ๑๐.
เมตตาเจโตวิมุตติแผ่ไปโดยไม่เจาะจงด้วยอาการ ๕ เป็นไฉน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 532
เมตตาเจโตวิมุตติแผ่ไปโดยไม่เจาะจงว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่เบียดเบียนกัน ไม่มีทุกข์ รักษาตนอยู่ในสุขเถิด ปาณะทั้งปวง ฯลฯ ภูตทั้งปวง บุคคลทั้งปวง ผู้ที่นับเนื่องด้วยอัตภาพทั้งปวง จงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่เบียดเบียนกัน ไม่มีทุกข์ รักษาตนอยู่เป็นสุขเถิด เมตตาเจโตวิมุตติแผ่ไปโดยไม่เจาะจงด้วยอาการ ๕ นี้.
เมตตาเจโตวิมุตติแผ่ไปโดยเจาะจงด้วยอาการ ๗ เป็นไฉน.
เมตตาเจโตวิมุตติแผ่ไปโดยเจาะจงว่า ขอหญิงทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่เบียดเบียนกัน ไม่มีทุกข์ รักษาตนอยู่เป็นสุขเถิด ชายทั้งปวง ฯ อารยชนทั้งปวง ฯ อนารยชนทั้งปวง ฯ เทวดาทั้งปวง ฯ มนุษย์ทั้งปวง ฯ วินิปาติกสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่เบียดเบียนกัน ไม่มีทุกข์ รักษาตนอยู่เป็นสุขเถิด เมตตาเจโตวิมุตติแผ่ไปโดยเจาะจงด้วยอาการ ๗ นี้.
[๕๗๖] เมตตาเจโตวิมุตติแผ่ไปสู่ทิศทั้งหลายด้วยอาการ ๑๐ เป็นไฉน.
เมตตาเจโตวิมุตติแผ่ไปสู่ทิศทั้งหลายว่า ขอสัตว์ทั้งปวงในทิศบูรพา จงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่เบียดเบียนกัน ไม่มีทุกข์ รักษาตนอยู่เป็นสุขเถิด ขอสัตว์ทั้งปวงในทิศประจิม ฯ ขอสัตว์ทั้งปวงในทิศอุดร ฯ ขอสัตว์ทั้งปวงในทิศทักษิณ ฯ ขอสัตว์ทั้งปวงในทิศอาคเนย์ ฯ ขอสัตว์ทั้งปวงในทิศพายัพ ฯ ขอสัตว์ทั้งปวงในทิศอีสาน ฯ ขอสัตว์ทั้งปวงในทิศหรดี ฯ ขอสัตว์ทั้งปวงในทิศเบื้องล่าง ฯ ขอสัตว์ทั้งปวงในทิศเบื้องบน จงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่เบียดเบียนกัน ไม่มีทุกข์ รักษาตนอยู่เป็นสุขเถิด ขอปาณะทั้งปวงในทิศบูรพา ฯ ภูตทั้งปวง ฯ บุคคลทั้งปวง ฯ ผู้ที่นับเนื่องด้วยอัตภาพทั้งปวง ฯ หญิงทั้งปวง ฯ ชายทั้งปวง ฯ อารยชนทั้งปวง ฯ อนารยชน
๑. แผ่โดยไม่เจาะจงด้วยอาการ ๕ คือ ๑. สพฺเพ สตฺตา ๒. สพฺเพ ปาณา ๓. สพฺเพ ภูตา ๔. สพฺเพ ปุคฺคลา ๕. สพฺเพ อตฺตภาวปริยาปนฺนา ๒. เจาะจงด้วยอาการ ๗ คือ สพฺพา อิตฺถิโย ๒. สพฺเพ ปุริสา ๓. สพฺเพ อริยา ๔. สพฺเพ อนริยา ๕. สพฺเพ เทวา ๖. สพฺเพ มนุสฺสา ๗. สพฺเพ วินิปาติกา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 533
ชนทั้งปวง ฯ เทวดาทั้งปวง ฯ มนุษย์ทั้งปวง ฯ วินิปาติกสัตว์ทั้งปวง จงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่เบียดเบียนกัน ไม่มีทุกข์ รักษาตนอยู่เป็นสุขเถิด วินิปาติกสัตว์ทั้งปวงในทิศปัจฉิม ฯ วินิปาติกสัตว์ทั้งปวงในทิศอุดร ฯ วินิปาติกสัตว์ทั้งปวงในทิศทักษิณ ฯ วินิปาติกสัตว์ทั้งปวงในทิศอาคเนย์ ฯ วินิปาติกสัตว์ทั้งปวงในทิศพายัพ ฯ วินิปาติกสัตว์ทั้งปวงในทิศอีสาน ฯ วินิปาติกสัตว์ทั้งปวงในทิศหรดี ฯ วินิปาติกสัตว์ทั้งปวงในทิศเบื้องล่าง ฯ วินิปาติกสัตว์ทั้งปวงในทิศเบื้องบน จงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่เบียนเบียดกัน ไม่มีทุกข์ รักษาตนอยู่เป็นสุขเถิด เมตตาเจโตวิมุตติแผ่ไปสู่ทิศทั้งหลายด้วยอาการ ๑๐ นี้.
เมตตาเจโตวิมุตติแผ่ไปสู่สัตว์ทั้งปวงด้วยอาการ ๘ นี้ คือด้วยการเว้นความบีบคั้น ไม่บีบคั้นสัตว์ทั้งปวง ๑ ด้วยเว้นการฆ่า ไม่ฆ่าสัตว์ทั้งปวง ๑ ด้วยเว้นการทำให้เดือดร้อน ไม่ทำสัตว์ทั้งปวงให้เดือดร้อน ๑ ด้วยเว้นความย่ำยี ไม่ย่ำยีสัตว์ทั้งปวง ๑ ด้วยการเว้นการเบียดเบียน ไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งปวง ๑ ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร อย่าได้มีเวร ๑ จงเป็นผู้มีสุข อย่ามีทุกข์ ๑ จงมีตนเป็นสุข อย่ามีตนเป็นทุกข์ ๑.
จิต ชื่อว่า เมตตา เพราะรัก (สัตว์ทั้งปวง) ชื่อว่า เจโต เพราะคิดถึงธรรมนั้น ชื่อว่า วิมุตติ เพราะพ้นจากพยาบาทและปริยุฏฐานกิเลสทั้งปวง จิตมีเมตตาด้วย เป็นเจโตวิมุตติด้วย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เมตตาเจโตวิมุตติ.
[๕๗๗] บุคคลผู้เจริญเมตตาย่อมน้อมใจไปด้วยศรัทธาว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร มีความปลอดโปร่ง มีความสุขเถิด ดังนี้ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยสัทธินทรีย์ ผู้เจริญเมตตาประคองความเพียรว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร ฯ ดังนี้ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยวิริยินทรีย์ ผู้เจริญเมตตาตั้งสติไว้เป็นมั่นว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร ฯ ดังนี้ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยสตินทรีย์ ผู้เจริญเมตตา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 534
ตั้งจิตไว้มั่นว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร ฯ ดังนี้ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยสมาธินทรีย์ ผู้เจริญเมตตาทราบชัดด้วยปัญญาว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร ฯ ดังนี้ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยปัญญินทรีย์ อินทรีย์ ๕ ประการนี้ เป็นอาเสวนะของเมตตาเจโตวิมุตติ บุคคลย่อมเสพเมตตาเจโตวิมุตติด้วยอินทรีย์ ๕ ประการนี้ อินทรีย์ ๕ ประการนี้ เป็นภาวนาของเมตตาเจโตวิมุตติ บุคคลย่อมเจริญเมตตาเจโตวิมุตติด้วยอินทรีย์ ๕ ประการนี้ อินทรีย์ ๕ ประการนี้ เป็นพหุลีกรรมของเมตตาเจโตวิมุตติ บุคคลทำให้มากซึ่งเจโตวิมุตติด้วยอินทรีย์ ๕ ประการนี้ อินทรีย์ ๕ ประการนี้ เป็นอลังการของเมตตาเจโตวิมุตติ บุคคลย่อมประดับเมตตาเจโตวิมุตติด้วยอินทรีย์ ๕ ประการนี้ อินทรีย์ ๕ ประการนี้ เป็นบริขารของเมตตาเจโตวิมุตติ บุคคลย่อมปรุงแต่งเมตตาเจโตวิมุตติด้วยอินทรีย์ ๕ ประการนี้ อินทรีย์ ๕ ประการนี้ เป็นบริวารของเมตตาเจโตวิมุตติ บุคคลย่อมห้อมล้อมเมตตาเจโตวิมุตติดีแล้วด้วยอินทรีย์ ๕ ประการนี้ อินทรีย์ ๕ ประการนี้ เป็นอาเสวนะ เป็นภาวนา เป็นพหุลีกรรม เป็นอลังการ เป็นบริขาร เป็นบริวาร เป็นความบริบูรณ์ เป็นสหรคต เป็นสหชาติ เป็นความเกี่ยวข้อง เป็นสัมปยุต เป็นความแล่นไป เป็นความผ่องใส เป็นความตั้งอยู่ดี เป็นความพ้นพิเศษ เป็นความเห็นว่า นี้ละเอียดของเมตตาเจโตวิมุตติ เมตตาเจโตวิมุตติอันบุคคลทำให้เป็นดังยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ตั้งไว้เนืองๆ สั่งสมแล้ว (อบรมแล้ว) ปรารภดีแล้ว เจริญดีแล้ว อธิษฐานดีแล้ว ดำเนินขึ้นไปดีแล้ว พ้นวิเศษแล้ว ย่อมยังเมตตาเจโตวิมุตตินั้นให้เกิด (ให้รุ่งเรือง) ให้โชติช่วง ให้สว่างไสว.
[๕๗๘] ผู้เจริญเมตตาย่อมไม่หวั่นไหวในความไม่มีศรัทธา ด้วยมนสิการว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร มีความปลอดโปร่ง มีความสุขเถิด ดังนี้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 535
เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยสัทธาพละ ผู้เจริญเมตตาย่อมไม่หวั่นไหวในความเกียจคร้าน ด้วยมนสิการว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร ฯ ดังนี้ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยวิริยพละ ผู้เจริญเมตตาย่อมไม่หวั่นไหวในความประมาท ด้วยมนสิการว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร ฯ ดังนี้ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยสติพละ ผู้เจริญเมตตาย่อมไม่หวั่นไหวในอุทธัจจะ ด้วยมนสิการว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร ฯ ดังนี้ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยสมาธิพละ ผู้เจริญเมตตาย่อมไม่หวั่นไหวในอวิชชา ด้วยมนสิการว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร ฯ ดังนี้ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยปัญญาพละ พละ ๕ ประการนี้ เป็นอาเสวนะของเมตตาเจโตวิมุตติ บุคคลย่อมเสพเมตตาเจโตวิมุตติด้วยพละ ๕ ประการนี้ ฯ เมตตาเจโตวิมุตติอันบุคคลทำให้เป็นดังยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ตั้งไว้เนืองๆ สั่งสมแล้ว (อบรมแล้ว) ปรารภดีแล้ว เจริญดีแล้ว อธิษฐานดีแล้ว ดำเนินขึ้นไปดีแล้ว พ้นวิเศษแล้ว ย่อมยังเมตตาเจโตวิมุตตินั้นให้เกิด ให้โชติช่วง ให้สว่างไสว.
[๕๗๙] ผู้เจริญเมตตาตั้งสติไว้มั่นว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร มีความปลอดโปร่ง มีความสุขเถิด ดังนี้ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยสติสัมโพชฌงค์ ผู้เจริญเมตตาเลือกเฟ้นด้วยปัญญาว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร ฯ ดังนี้ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ ผู้เจริญเมตตาประคองความเพียรไว้ว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ ไม่มีเวร ฯลฯ ดังนี้ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยวิริยสัมโพชฌงค์ ผู้เจริญเมตตาระงับความเร่าร้อนว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร ฯ ดังนี้ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยปีติสัมโพชฌงค์ ผู้เจริญเมตตาระงับ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 536
ความคิดชั่วหยาบไว้ว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร ฯ ดังนี้ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ผู้เจริญเมตตาตั้งจิตไว้มั่นว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร ฯ ดังนี้ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยสมาธิสัมโพชฌงค์ ผู้เจริญเมตตาย่อมวางเฉย (เพ่งเฉย) กิเลสทั้งหลายด้วยญาณว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร จงมีความปลอดโปร่ง จงมีสุขเถิด ดังนี้ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยอุเบกขาสัมโพชฌงค์ โพชฌงค์ ๗ ประการนี้ เป็นอาเสวนะของเมตตาเจโตวิมุตติ บุคคลย่อมเสพเมตตาเจโตวิมุตติด้วยโพชฌงค์ ๗ ประการนี้ ฯ เมตตาเจโตวิมุตติอันบุคคลทำให้เป็นดังยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ตั้งไว้เนืองๆ สั่งสมแล้ว ปรารภดีแล้ว เจริญดีแล้ว อธิษฐานดีแล้ว ดำเนินขึ้นไปดีแล้ว พ้นวิเศษแล้ว ย่อมยังเจโตวิมุตตินั้นให้เกิด ให้โชติช่วง ให้สว่างไสว.
[๕๘๐] ผู้เจริญเมตตาย่อมเห็นชอบว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร มีความปลอดโปรง มีสุขเถิด ดังนี้ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยสัมมาทิฏฐิ ผู้เจริญเมตตาย่อมดำริ (ย่อมยกจิตขึ้นสู่อารมณ์) โดยชอบว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร ฯ ดังนี้ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยสัมมาสังกัปปะ ผู้เจริญเมตตาย่อมกำหนด (กำหนดถือ) โดยชอบว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร ฯ ดังนี้ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยสัมมาวาจา ผู้เจริญเมตตาย่อมตั้งการงานไว้โดยชอบว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร ฯ ดังนี้ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยสัมมากัมมันตะ ผู้เจริญเมตตาย่อมชำระอาชีพให้ขาวผ่อง (ผ่องแผ้ว) โดยชอบว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร ฯ ดังนี้ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยสัมมาอาชีวะ ผู้เจริญเมตตาย่อมประคองความเพียรไว้โดยชอบว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร ฯ ดังนี้ เมตตาเจโตวิมุตติเป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 537
อันอบรมแล้วด้วยสัมมาวายามะ ผู้เจริญเมตตาย่อมตั้งสติไว้โดยชอบว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร ฯ ดังนี้ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยสัมมาสติ ผู้เจริญเมตตาย่อมตั้งจิตไว้โดยชอบว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร มีความปลอดโปร่ง มีความสุขเถิด ดังนี้ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยสัมมาสมาธิ องค์มรรค ๘ ประการนี้ เป็นอาเสวนะของเจโตวิมุตติ บุคคลย่อมเสพเมตตาเจโตวิมุตติด้วยองค์มรรค ๘ ประการนี้ องค์มรรค ๘ ประการนี้ เป็นภาวนาของเมตตาเจโตวิมุตติ บุคคลย่อมเจริญเมตตาเจโตวิมุตติด้วยองค์มรรค ๘ ประการนี้ องค์มรรค ๘ ประการนี้ เป็นพหุลีกรรมของเมตตาเจโตวิมุตติ บุคคลย่อมทำให้มากซึ่งเมตตาเจโตวิมุตติด้วยองค์มรรค ๘ ประการนี้ องค์มรรค ๘ ประการนี้ เป็นอลังการของเมตตาเจโตวิมุตติ บุคคลย่อมประดับ เมตตาเจโตวิมุตติด้วยองค์มรรค ๘ ประการนี้ องค์มรรค ๘ ประการนี้ เป็นบริขารของเมตตาเจโตวิมุตติ บุคคลย่อมปรุงแต่งเมตตาเจโตวิมุตติด้วยองค์ มรรค ๘ ประการนี้ องค์มรรค ๘ ประการนี้ เป็นบริขารของเมตตาเจโตวิมุตติ บุคคลย่อมห้อมล้อมเมตตาเจโตวิมุตติด้วยดีด้วยองค์มรรค ๘ ประการนี้ องค์มรรค ๘ ประการนี้ เป็นอาเสวนะ เป็นภาวนา เป็นพหุลีกรรม เป็นอลังการ เป็นบริขาร เป็นบริวาร เป็นความบริบูรณ์ เป็นสหรคต เป็นสหชาติ เป็นความเกี่ยวข้อง เป็นสัมปยุต เป็นความแล่นไป เป็นความผ่องใส เป็นความตั้งอยู่ด้วยดี เป็นความพ้นวิเศษ เป็นความเห็นว่านี้ละเอียดของเมตตาเจโตวิมุตติ อันบุคคลทำให้เป็นดังยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ตั้งไว้เนืองๆ สั่งสมแล้ว ปรารภดีแล้ว เจริญดีแล้ว อธิษฐานดีแล้ว ดำเนินขึ้นไปดีแล้ว พ้นวิเศษแล้ว ย่อมยังบุคคลนั้นให้เกิด (ให้รุ่งเรือง) ให้โชติช่วง ให้สว่างไสว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 538
[๕๘๑] เมตตาเจโตวิมุตติ แผ่ไปด้วยอาการ ๘ นี้ คือด้วยการเว้นความบีบคั้น ไม่บีบคั้น ๑ ด้วยเว้นการฆ่า ไม่ฆ่า ๑ ด้วยเว้นการทำให้เดือดร้อน ไม่ทำให้เดือดร้อน ๑ ด้วยเว้นความย่ำยี ไม่ย่ำยี ๑ ด้วยเว้นการเบียดเบียน ไม่เบียดเบียน ๑ ซึ่งปาณะทั้งปวง ภูตทั้งปวง บุคคลทั้งปวง สัตว์ผู้นับเนื่องด้วยอัตภาพทั้งปวง หญิงทั้งปวง ชายทั้งปวง อารยชนทั้งปวง อนารยชนทั้งปวง เทวดาทั้งปวง มนุษย์ทั้งปวง วินิปาติกสัตว์ทั้งปวง ขอวินิปาติกสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร อย่ามีเวรกันเถิด ๑ จงมีความสุข อย่ามีความทุกข์เถิด ๑ จงมีตนเป็นสุข อย่ามีตนเป็นทุกข์เถิด ๑ จิต ชื่อว่า เมตตา เพราะรักวินิปาติกสัตว์ทั้งปวง ชื่อว่า เจโต เพราะคิดถึงธรรมนั้น ชื่อว่าวิมุตติ เพราะพ้นจากพยาบาทและปริยุฏฐานกิเลสทั้งปวง จิตมีเมตตาด้วยเป็นเจโตวิมุตติด้วย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เมตตาเจโตวิมุตติ บุคคลผู้เจริญเมตตาย่อมน้อมใจไปด้วยศรัทธาว่า ขอวินิปาติกสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร มีความปลอดโปร่ง มีความสุขเถิด ดังนี้ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยสัทธินทรีย์ ฯ ย่อมให้เกิด (ให้รุ่งเรือง) ให้โชติช่วง ให้สว่างไสว.
[๕๘๒] เมตตาเจโตวิมุตติแผ่ไปด้วยอาการ ๘ นี้ คือด้วยการเว้นความบีบคั้น ไม่บีบคั้น ๑ ด้วยเว้นการฆ่า ไม่ฆ่า ๑ ด้วยเว้นการทำให้เดือดร้อน ไม่ให้เดือดร้อน ๑ ด้วยเว้นความย่ำยี ไม่ย่ำยี ๑ ด้วยเว้นการเบียดเบียด ไม่เบียดเบียน ๑ ซึ่งสัตว์ทั้งปวงในทิศบูรพา ในทิศปัจจิม (ทิศประจิม) ในทิศอุดร ในทิศทักษิณ ในทิศอาคเนย์ ในทิศพายัพ ในทิศอีสาน ในทิศหรดี ในทิศเบื้องต่ำ (ทิศเบื้องล่าง) ในทิศเบื้องบน ขอสัตว์ทั้งปวงในทิศเบื้องบน จงเป็นผู้ไม่มีเวร อย่ามีเวรกันเถิด ๑ จงมีความสุข อย่ามีความทุกข์เถิด ๑ จงมีตนเป็นสุข อย่ามีตนเป็นทุกข์เถิด ๑ จิต ชื่อว่า เมตตา เพราะรักสัตว์ทั้งปวง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 539
ในทิศบูรพา ฯ ในทิศเบื้องบน ชื่อว่า เจโต เพราะคิดถึงธรรมนั้น ชื่อว่า วิมุตติ เพราะหลุดพ้นจากพยาบาทและปริยุฏฐานกิเลสทั้งปวง จิตมีเมตตาด้วย เป็นเจโตวิมุตติด้วย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เมตตาเจโตวิมุตติ บุคคลผู้เจริญเมตตา ย่อมน้อมใจไปด้วยศรัทธาว่า ขอสัตว์ทั้งปวง (*ในทิศบูรพา ฯ) ในทิศเบื้องบนจงเป็นผู้ไม่มีเวร มีความปลอดโปร่ง มีความสุขเถิด ดังนี้ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยสัทธินทรีย์ ฯ ย่อมให้เกิด (ให้รุ่งเรือง) ให้โชติช่วง ให้สว่างไสว.
[๕๘๓] เมตตาเจโตวิมุตติแผ่ไปด้วยอาการ ๘ นี้ คือด้วยการเว้นความบีบคั้น ไม่บีบคั้น ๑ ด้วยเว้นการฆ่า ไม่ฆ่า ๑ ด้วยเว้นการทำให้เดือดร้อน ไม่ทำให้เดือดร้อน ๑ ด้วยเว้นความย่ำยี ไม่ย่ำยี ๑ ด้วยเว้นการเบียดเบียน ไม่เบียดเบียน ๑ ซึ่งปาณะทั้งปวง ภูตทั้งปวง บุคคลทั้งปวง สัตว์ผู้นับเนื่องด้วยอัตภาพทั้งปวง หญิงทั้งปวง ชายทั้งปวง อารยชนทั้งปวง อนารยชนทั้งปวง เทวดาทั้งปวง มนุษย์ทั้งปวง วินิปาติกสัตว์ทั้งปวง ในทิศบูรพา ในทิศปัจจิม ในทิศอุดร ในทิศทักษิณ ในทิศอาคเนย์ ในทิศพายัพ ในทิศอีสาน ในทิศหรดี ในทิศเบื้องต่ำ ในทิศเบื้องบน ขอวินิปาติกสัตว์ทั้งปวงในทิศบูรพา ฯ จงเป็นผู้ไม่มีเวร อย่ามีเวรกันเถิด ๑ จงมีความสุข อย่ามีความทุกข์เถิด ๑ จงมีตนเป็นสุข อย่ามีตนเป็นทุกข์เถิด ๑ จิต ชื่อว่า เมตตา เพราะรักวินิปาติกสัตว์ทั้งปวงในทิศเบื้องบน ฯ ชื่อว่า เจโต เพราะคิดถึงธรรมนั้น ชื่อว่า วิมุตติเพราะพ้นจากพยาบาทและปริยุฏฐานกิเลสทั้งปวง จิตมีเมตตาด้วย เป็นเจโตวิมุตติด้วย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เมตตาเจโตวิมุตติ.
[๕๘๔] บุคคลผู้เจริญเมตตาย่อมน้อมใจไปด้วยศรัทธาว่า ขอวินิปาติกสัตว์ทั้งปวงในทิศเบื้องบน จงเป็นผู้ไม่มีเวร มีความปลอดโปร่ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 540
มีความสุขเถิด ดังนี้ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยสัทธินทรีย์ ผู้เจริญเมตตาประคองความเพียรไว้ว่า ขอวินิปาติกสัตว์ทั้งปวงในทิศเบื้องบน จงเป็นผู้ไม่มีเวร มีความปลอดโปร่ง มีความสุขเถิด ดังนี้ เมตตาเจโตวิมุตติ เป็นอันอบรมแล้วด้วยวิริยินทรีย์ ผู้เจริญเมตตาตั้งสติไว้มั่น ฯ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยสตินทรีย์ ผู้เจริญเมตตาตั้งจิตมั่น ฯ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยสมาธินทรีย์ ผู้เจริญเมตตารู้ชัดด้วยปัญญา ฯ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยปัญญินทรีย์ อินทรีย์ ๕ ประการนี้ เป็นอาเสวนะของเมตตาเจโตวิมุตติ บุคคลย่อมเสพเมตตาเจโตวิมุตติด้วยอินทรีย์ ๕ ประการนี้ ฯ ย่อมให้เกิด (ให้รุ่งเรือง) ให้โชติช่วง ให้สว่างไสว.
[๕๘๕] ผู้เจริญเมตตาไม่หวั่นไหวในความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ด้วยมนสิการว่า ขอวินิปาติกสัตว์ทั้งปวงในทิศเบื้องบน จงเป็นผู้ไม่มีเวร มีความปลอดโปร่ง มีความสุขเถิด ดังนี้ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยสัทธาพละ ฯ ผู้เจริญเมตตาไม่หวั่นไหวในความเกียจคร้าน เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยวิริยพละ ฯ ผู้เจริญเมตตาไม่หวั่นไหวในความประมาท เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยสติพละ ฯ ผู้เจริญเมตตาไม่หวั่นไหวในอุทธัจจะ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยสมาธิพละ ฯ ผู้เจริญเมตตาไม่หวั่นไหวในอวิชชา เมตตาอบรมแล้วด้วยปัญญาพละ พละ ๕ ประการนี้ เป็นอาเสวนะของเมตตาเจโตวิมุตติ บุคคลย่อมเสพเมตตาเจโตวิมุตติด้วยพละ ๕ ประการนี้ ฯ ย่อมให้เกิด (ให้ รุ่งเรือง) ให้โชติช่วง ให้สว่างไสว.
[๕๘๖] ผู้เจริญเมตตาตั้งสติไว้มั่นว่า ขอวินิปาติกสัตว์ทั้งปวงในทิศเบื้องบน จงเป็นผู้ไม่มีเวร มีความปลอดโปร่ง มีความสุขเถิด ดังนี้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 541
เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยสติสัมโพชฌงค์ ผู้เจริญเมตตาเลือกเฟ้นด้วยปัญญา ฯ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ ผู้เจริญเมตตาประคองความเพียรไว้ ฯ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยวิริยสัมโพชฌงค์ ผู้เจริญเมตตาระงับความเร่าร้อนไว้ ฯ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยปีติสัมโพชฌงค์ ผู้เจริญเมตตาระงับความชั่วหยาบไว้ ฯ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ผู้เจริญเมตตาตั้งจิตไว้มั่น ฯ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยสมาธิสัมโพชฌงค์ ผู้เจริญเมตตาวางเฉยกิเลสทั้งปวงด้วยญาณ ฯ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยอุเบกขาสัมโพชฌงค์ โพชฌงค์ ๗ ประการนี้ เป็นอาเสวนะของเมตตาเจโตวิมุตติ บุคคลย่อมเสพเมตตาเจโตวิมุตติด้วยโพชฌงค์ ๗ ประการนี้ ฯ ย่อมให้เกิด (ให้รุ่งเรือง) ให้โชติช่วง ให้สว่างไสว.
[๕๘๗] ผู้เจริญเมตตาย่อมเห็นโดยชอบว่า ขอวินิปาติกสัตว์ทั้งปวงในทิศเบื้องบน จงเป็นผู้ไม่มีเวร มีความปลอดโปร่ง มีความสุขเถิด ดังนี้ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยสัมมาทิฏฐิ ผู้เจริญเมตตาดำริโดยชอบ (ย่อมยกจิตขึ้นสู่อารมณ์โดยชอบ) ฯ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยสัมมาสังกัปปะ ผู้เจริญเมตตากำหนดโดยชอบ (ย่อมกำหนดถือโดยชอบ) ฯ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยสัมมาวาจา ผู้เจริญเมตตาตั้งการงานไว้โดยชอบ ฯ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยสัมมากัมมันตะ ผู้เจริญเมตตาชำระอาชีพให้ผ่องแผ้วโดยชอบ ฯ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยสัมมาอาชีวะ ผู้เจริญเมตตาประคองความเพียรไว้โดยชอบ ฯ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยสัมมาวายามะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 542
ผู้เจริญเมตตาตั้งสติไว้โดยชอบ ฯ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยสัมมาสติ ผู้เจริญเมตตาตั้งมั่นโดยชอบ (ตั้งจิตไว้โดยชอบ) ฯ เมตตาเจโตวิมุตติเป็นอันอบรมแล้วด้วยสัมมาสมาธิ องค์มรรค ๘ ประการนี้ เป็นอาเสวนะของเมตตาเจโตวิมุตติ บุคคลย่อมเสพเมตตาเจโตวิมุตติด้วยองค์มรรค ๘ ประการนี้ ฯ องค์มรรค ๘ ประการนี้ เป็นบริวารของเมตตาเจโตวิมุตติ บุคคลห้อมล้อมเมตตาเจโตวิมุตติด้วยองค์มรรค ๘ ประการนี้ องค์มรรค ๘ ประการนี้ เป็นอาเสวนะ เป็นภาวนา เป็นพหุลีกรรม เป็นอลังการ เป็นบริขาร เป็นบริวาร เป็นความบริบูรณ์ เป็นสหรคต เป็นสหชาติ เป็นความเกี่ยวข้อง เป็นสัมปยุต เป็นความแล่นไป เป็นความผ่องใส เป็นความดำรงมั่น (ตั้งอยู่ดี) เป็นความพ้นวิเศษ เป็นความเห็นว่า นี้ละเอียด ของเมตตาเจโตวิมุตติ อันบุคคลทำให้เป็นดังยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ตั้งไว้เนืองๆ สั่งสมแล้ว (อบรมแล้ว) ปรารภดีแล้ว เจริญดีแล้ว อธิษฐานดีแล้ว ดำเนินขึ้นไปดีแล้ว พ้นวิเศษแล้ว ย่อมยังบุคคลนั้นให้เกิด (ให้รุ่งเรือง) ให้โชติช่วง ให้สว่างไสว.
จบเมตตากถา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 543
อรรถกถาเมตตากถา
บัดนี้ จะพรรณนาตามลำดับความที่ยังไม่เคยพรรณนาแห่งเมตตากถา อันมีพระสูตรเป็นเบื้องต้น ดำเนินตามโพชฌงคกถาอันพระสารีบุตรเถระกล่าวไว้ในลำดับแห่งโพชฌงคกถา.
พึงทราบวินิจฉัยในพระสูตรนั้นดังต่อไปนี้.
บทว่า อาเสวิตาย (อันบุคคลเสพแล้ว) คือเสพแล้วโดยเอื้อเฟื้อ.
บทว่า ภาวิตาย (เจริญแล้ว) คือให้เจริญแล้ว.
บทว่า พหุลีกตาย (ทำให้มากแล้ว) คือทำแล้วบ่อยๆ.
บทว่า ยานีกตาย (ทำให้เป็นดังยาน) คือทำให้เป็นเช่นกับยานที่เทียมแล้ว.
บทว่า วตฺถุกตาย (ทำให้เป็นที่ตั้ง) คือทำดุจวัตถุ (ทำให้เป็นดุจภาคพื้น) เพราะอรรถว่า เป็นที่ตั้ง.
บทว่า อนุฏฺิตาย (ตั้งไว้เนืองๆ) คือปรากฏ (ปรากฏเฉพาะ) แล้ว.
บทว่า ปริจิตาย (อบรมแล้ว) คือสะสมดำรงไว้โดยรอบ.
บทว่า สุสมารทฺธาย (ปรารภดีแล้ว) คือปรารภแล้วด้วยดี ทำด้วยดีแล้ว.
บทว่า อานิสํสา (อานิสงส์) คือคุณ.
บทว่า ปาฏิกงฺขา (หวัง เป็นอันหวังได้) คือพึงหวัง พึงปรารถนา.
บทว่า สุขํ สุปติ (หลับเป็นสุข) คือหลับเป็นสุข ไม่หลับเหมือนคนส่วนมาก กรนกลิ้งเกลือกไปมาหลับเป็นทุกข์ แม้ก้าวลงสู่ความหลับก็เป็นเหมือนเข้าสมาบัติ.
บทว่า สุขํ ปฏิพุชฺฌติ (ตื่นเป็นสุข) คือตื่นเป็นสุขไม่ผิดปกติ เหมือนดอกปทุมแย้ม ไม่ตื่นเหมือนคนอื่นที่ทอดถอนใจ บิดกาย พลิกไปมาตื่นเป็นทุกข์.
บทว่า น ปาปกํ สุปินํ ปสฺสติ (ไม่ฝันลามก ไม่ฝันร้าย) คือเมื่อฝัน ย่อมเห็นฝันอันเจริญ เหมือนไหว้พระเจดีย์ เหมือนทำการบูชาและเหมือนฟังธรรม ไม่เห็นความฝันลามกเหมือนคนอื่น ที่ฝันเห็นเหมือนถูกโจร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 544
ล้อมตน เหมือนถูกสัตว์ร้ายเบียดเบียนและเหมือนตกลงไปในเหว.
บทว่า มนุสฺสานํ ปิโย โหติ (เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย) คือเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของมนุษย์ทั้งหลาย ดุจแก้วมุกดาหารสวมไว้ที่อกและดุจดอกไม้ประดับไว้บนศีรษะ.
บทว่า อมนุสฺสานํ ปิโย โหติ (เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย) คือเป็นที่รักแม้ของอมนุษย์เหมือนเป็นที่รักของมนุษย์.
บทว่า เทวตา รกฺขนฺติ (เทวดาย่อมรักษา) คือเทวดาย่อมรักษาดุจมารดาบิดารักษาบุตรฉะนั้น.
บทว่า นาสฺส อคฺคิ วา วิสํ วา สตฺถํ วา กมติ (ไฟ ยาพิษ ศัสตรา ย่อมไม่กล้ำกลายเขา) คือไฟ ยาพิษ หรือศัสตรา ย่อมไม่ก้าวเข้าไปในกายของผู้อยู่ด้วยเมตตา อธิบายว่า ไม่ยังกายของเขาให้กำเริบ.
บทว่า ตุวฏํ จิตฺตํ สมาธิยติ (จิตย่อมตั้งมั่นได้เร็ว จิตเป็นสมาธิได้เร็ว) คือจิตของผู้อยู่ด้วยเมตตาย่อมตั้งมั่นได้เร็ว ไม่มีความชักช้า.
บทว่า มุขวณฺโณ วิปฺปสีทติ (สีหน้าผ่องใส) คือหน้าของเขามีสีผ่องใส ดุจผลตาลสุกพ้นจากขั้ว.
บทว่า อสมฺมูฬฺโห กาลํ กโรติ (ไม่หลงใหลกระทำกาละ) คือผู้อยู่ด้วยเมตตาไม่หลงตาย ไม่หลงทำกาละดุจคนก้าวลงสู่ความหลับ.
บทว่า อุตฺตริํ อปฺปฏิวิชฺฌนฺโต (เมื่อยังไม่แทงตลอดธรรมอันยิ่ง) คือเมื่อยังไม่สามารถบรรลุพระอรหัตอันยิ่งกว่าเมตตาสมาบัติได้ เคลื่อนจากโลกนี้ดุจหลับแล้วตื่น.
บทว่า พฺรหฺมโลกูปโค โหติ คือย่อมเข้าถึงพรหมโลก.
พึงทราบวินิจฉัยในเมตตานิเทศดังต่อไปนี้.
บทว่า อโนธิโส ผรณา คือแผ่ไปโดยไม่เจาะจง เขตแดน ชื่อว่า โอธิ ไม่มีเขตแดน ชื่อว่า อโนธิ โดยไม่มีเขตแดนนั้น ความว่า โดยไม่เจาะจง ท่านอธิบายว่า แผ่ไปโดยไม่มีที่กำหนด.
บทว่า โอธิโส (โดยเจาะจง) คือโดยมีกำหนด.
บทว่า ทิสา ผรณา คือแผ่ไปในทิศทั้งหลาย.
บทว่า สพฺเพ (ทั้งหมด) คือกำหนดโดย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 545
ไม่มีเหลือ.
อรรถแห่งบทว่า สตฺตา (สัตว์) ท่านกล่าวไว้แล้วในอรรถกถามาติกาแห่งญาณกถา โวหารนี้ย่อมเป็นไปแม้ในผู้ที่ปราศจากราคะแล้ว ด้วยรุฬหิศัพท์ (คำที่ใช้เรียกรวม) ดุจโวหารว่า พัดใบตาลย่อมเป็นไปในพัดวิชนีแม้ทำด้วยไม้ไผ่.
บทว่า อเวรา (ไม่มีเวร) คือปราศจากเวร.
บทว่า อพฺยาปชฺฌา (ไม่เบียดเบียน) คือเว้นจากความพยาบาท.
บทว่า อนีฆา (ไม่มีทุกข์) คือไร้ทุกข์ ปาฐะว่า อนิคฺฆา ก็มี.
บทว่า สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตุ (รักษาตนอยู่เป็นสุขเถิด มีสุขรักษาตนเถิด) คือมีความสุขยังอัตภาพให้เป็นไปได้ (ให้เป็นไปเถิด).
พึงทราบความสัมพันธ์ของคำในบทนี้อย่างนี้ว่า คำว่า ไม่มีเวร แสดงความไม่มีเวร อาศัยสันดานของตนและคนอื่น อาศัยสันดานของคนอื่นและคนนอกนี้ในบทว่า อเวรา คำว่า ไม่เบียดเบียน แสดงความไม่มีพยาบาทอันไม่มีเวรนั้นเป็นมูล เพราะความไม่มีเวร ในบทมีอาทิว่า อพฺยาปชฺฌา คำว่า ไม่มีทุกข์ แสดงความไม่มีทุกข์อันไม่มีความพยาบาทนั้นเป็นมูล เพราะไม่มีความพยาบาทมในบทว่า อนีฆา คำว่า มีสุขรักษาตนเถิด แสดงการบริหารอัตภาพด้วยความสุขเพราะไม่มีทุกข์ ในบทว่า สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตุ.
แผ่เมตตาด้วยอำนาจแห่งคำอันปรากฏแล้วในคำทั้งหลาย ๔ มีอาทิว่า อเวรา โหนฺตุ (จงอย่าได้มีเวรเลย) เหล่านี้ ผู้เจริญเมตตาย่อมแผ่เมตตาด้วยอำนาจคำนั้นๆ.
ในบทมีอาทิว่า ปาณะ มีความดังต่อไปนี้ ชื่อว่า ปาณะ เพราะมีชีวิต ความว่า เพราะยังเป็นไปอาศัยลมหายใจเข้าและลมหายใจออกอยู่.
ชื่อว่า ภูตะ เพราะยังเป็นอยู่ ความว่า เพราะยังเกิดอยู่.
ชื่อว่า ปุคฺคลา (บุคคล) เพราะเคลื่อนไป คือไปในนรกซึ่งท่านเรียกว่า ปุํ นั้น.
สรีระหรือขันธปัญจก ท่านเรียกว่า อัตภาพ หมายถึง อัตภาพเพราะปรากฏเพียงบัญญัติ ชื่อว่า อตฺตภาวปริยาปนฺนา (ผู้นับเนื่องด้วยอัตภาพ) เพราะนับเนื่อง กำหนด หยั่งลง ในอัตภาพนั้น.
ท่านยกคำที่เหลือด้วยอำนาจแห่งรุฬหิศัพท์ (ศัพท์ที่ขยายความ) แล้วพึงทราบว่า คำทั้งหมดนั้นเป็นไวพจน์ของสัตว์ทั้งปวง เหมือนคำว่า สตฺตา (สัตว์) ฉะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 546
คำแม้อื่นเป็นไวพจน์ของสัตว์ทั้งปวงมีอาทิว่า สพฺเพ ชนฺตู สพฺเพ ชีวา (สัตว์เกิดทั้งปวง สัตว์มีชีวิตทั้งปวง) ก็มีอยู่โดยแท้ แต่ท่านถือเอาคำ ๕ เหล่านี้ ด้วยเป็นคำปรากฏอยู่แล้วจึงกล่าวว่า เมตตาเจโตวิมุตติแผ่ไปโดยไม่เจาะจงด้วยอาการ ๕ อนึ่ง มิใช่โดยเพียงคำพูดอย่างเดียวเท่านั้น แห่งบทมีอาทิว่า สตฺตา ปาณา (สัตว์ ปาณะ) ที่แท้แล้วสัตว์เหล่าใดพึงปรารถนาความต่างกันแม้โดยอรรถ การแผ่ไปโดยไม่เจาะจงของสัตว์เหล่านั้นย่อมผิด เพราะฉะนั้น ไม่ถือเอาอรรถอย่างนั้น แล้วแผ่เมตตาโดยไม่เจาะจงด้วยอาการอย่างใดอย่างหนึ่งในอาการ ๕ เหล่านี้.
อนึ่ง ในการแผ่ไปโดยเจาะจง พึงทราบความดังนี้.
บทว่า อิตฺถิโย ปุริสา (ชาย หญิง) ท่านกล่าวถึงเพศ.
บทว่า อริยา อนริยา (อารยชน อนารยชน) ท่านกล่าวถึงอริยะและปุถุชน.
บทว่า เทวา มนุสฺสา วินิปาติกา (เทวดา มนุษย์ วินิปาติกสัตว์) ท่านกล่าวถึงการเกิด.
แม้ในการแผ่ไปในทิศ ไม่ทำการจำแนกทิศแล้วแผ่ไปโดยไม่เจาะจง เพราะแผ่ไปโดยนัยมีอาทิว่า สพฺเพ สตฺตา (สัตว์ทั้งปวง) ในทิศทั้งปวง แผ่ไปโดยเจาะจงเพราะแผ่ไปโดยนัยมีอาทิว่า สพฺพา อิตฺถิโย (หญิงทั้งปวง) ในทิศทั้งปวง.
อนึ่ง เพราะการแผ่เมตตาแม้ ๓ อย่างนี้ ท่านกล่าวด้วยอำนาจแห่งจิตที่ถึงอัปปนา ฉะนั้นพึงถือเอาอัปปนาในวาระทั้ง ๓ ในการแผ่โดยไม่เจาะจงก่อน ท่านกล่าวถึงการแผ่ ๔ อย่างเหล่านั้นด้วยรวบรวมประโยชน์นั่นเอง คืออย่างหนึ่งว่า สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงจงอย่าได้มีเวรกันเลย อย่างหนึ่งว่า จงอย่าได้เบียดเบียนกันเลย อย่างหนึ่งว่า จงอย่ามีทุกข์เลย อย่างหนึ่งว่า จงมีความสุขรักษาตนเถิด เพราะเมตตามีลักษณะรวบรวมประโยชน์ ด้วยอำนาจแห่งอัปปนาอย่างละ ๔ ในอาการ ๕ มีอาทิว่า สตฺตา (สัตว์) รวมเป็นอัปปนา ๒๐ ในการแผ่โดยเจาะจงด้วยอำนาจแห่งอัปปนาอย่างละ ๔ ในอาการ ๗ มีอาทิว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 547
สพฺพา อิตฺถิโย (หญิงทั้งปวง) รวมเป็นอัปปนา ๒๘ อนึ่ง ในการแผ่ไปในทิศ อัปปนา ๔๘๐ คืออัปปนา ๒๐๐ ทำอย่างละ ๒๐ แห่งทิศหนึ่งๆ โดยนัยมีอาทิว่า สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงในทิศตะวันออก (ทิศบูรพา) อัปปนา ๒๘๐ ทำอย่างละ ๒๘ แห่งทิศหนึ่งๆ โดยนัยมีอาทิว่า หญิงทั้งหลายทั้งปวงในทิศตะวันออก อัปปนาทั้งหมดที่ท่านกล่าวไว้ในที่นี้ รวมเป็นอัปปนา ๕๒๘ ด้วยประการฉะนี้.
อนึ่ง พึงทราบว่า ท่านกล่าวแม้การแผ่กรุณา มุทิตา อุเบกขา เหมือนท่านกล่าวการแผ่เมตตาโดย ๓ วาระ ฉะนั้น.
อรรถกถาอินทริยวาร
ลำดับนั้น พระสารีบุตรเถระ เพื่อแสดงอาการประมวลมาซึ่งเมตตาและการอบรมอินทรีย์เป็นต้น จึงกล่าวคำมีอาทิว่า สพฺเพสํ สตฺตานํ ปีฬนํ วชฺเชตฺวา (เว้นความบีบคั้นสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง).
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปีฬนํ (การบีบคั้น) คือบีบคั้นสรีระข้างใน.
บทว่า อุปฆาตํ (การฆ่า) คือการฆ่าสรีระข้างนอก.
บทว่า สนฺตาปํ (การทำให้เดือดร้อน) คือทำใจให้เดือดร้อนด้วยประการต่างๆ.
บทว่า ปริยาทานํ (ความย่ำยี) คือความสิ้นชีวิตเป็นต้นโดยปกติ.
บทว่า วิเหสํ (เบียดเบียน) คือเบียดเบียนชีวิตโดยประการอื่น.
บทว่า วชฺเชตฺวา (เว้น) คือนำอาการอย่างหนึ่งๆ ในการเบียดเบียนเป็นต้นออกไปจากจิตของตนเอง ท่านกล่าวบท ๕ มีการเบียดเบียนเป็นต้นเหล่านี้ ด้วยเว้นสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการรวบรวมเมตตา (ต่อการนำเมตตาเข้าไป).
บทว่า อปีฬนาย (ด้วยไม่บีบคั้น) เป็นต้น ท่านกล่าวด้วยการรวบรวมเมตตา (ด้วยการนำเมตตาเข้าไป)
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 548
บทว่า อปีฬนาย พึงเชื่อมความว่า ประพฤติเมตตาในสัตว์ทั้งปวง (แผ่เมตตาในสัตว์ทั้งปวง) ด้วยอาการไม่บีบคั้น แม้ในบทที่เหลือก็อย่างนั้น.
สามบทแม้เหล่านี้ว่า มา เวริโน มา ทุกฺขิโน มา ทุกฺขิตตฺตา (อย่าได้มีเวร อย่ามีทุกข์ อย่ามีตนเป็นทุกข์) เป็นคำปฏิเสธสิ่งเป็นปฏิปักษ์ของการรวบรวมเมตตา คำว่า มา (อย่า) คือจงอย่ามี สามบทว่า อเวริโน สุขิโน สุขิตตฺตา (จงเป็นผู้ไม่มีเวร มีความสุข มีตนเป็นสุข) เป็นคำรวบรวมเมตตา (เป็นคำนำเมตตาเข้าไป) สองบทนี้ว่า อพฺยาปชฺฌา อนีฆา (จงเป็นผู้ไม่เบียดเบียน ไม่มีทุกข์) พึงทราบว่า ท่านสงเคราะห์เข้าด้วยคำว่า สุขิโน (จงมีความสุข).
บทว่า สุขิตตฺตา (จงมีตนเป็นสุข) แสดงความสุขนั้นเป็นไปเป็นนิจ อนึ่ง บทว่า สุขิตตฺตา และบทว่า สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตุ (มีสุขรักษาตนเถิด) โดยอรรถเป็นอย่างเดียวกัน อีกอย่างหนึ่ง พึงสงเคราะห์คำว่า ความไม่เบียดเบียนกัน และไม่มีทุกข์ ด้วยบทมีอาทิว่า อปีฬนาย (ด้วยไม่บีบคั้น).
บทว่า อฏฺหากาเรหิ (ด้วยอาการ ๘ เหล่านี้) คืออาการรวบรวมเมตตา ๕ มีอาทิว่า อปีฬนาย (ด้วยไม่บีบคั้น) อาการรวบรวมเมตตา ๓ มีอาทิว่า อเวริโน โหนฺตุ (จงเป็นผู้ไม่มีเวร).
บทว่า เมตฺตายติ (ประพฤติด้วยความรัก) คือความเยื่อใย รักใคร่.
บทว่า ตํ ธมฺมํ เจตยติ (คิดถึงธรรมนั้น) คือคิดติดต่อธรรมนั้นอันรวบรวมประโยชน์ (คิด ไหลไปสู่การน้อมนำสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลเข้าไปนั้น) อธิบายว่า ประพฤติ (ให้เป็นไป).
บทว่า สพฺพพฺยาปาทปริยุฏฺาเนหิ วิมุจฺจติ (พ้นจากพยาบาทและปริยุฏฐานกิเลสทั้งปวง) คือพ้นจากการข่มด้วยความฟุ้งซ่านของพยาบาททั้งปวง อันเป็นปฏิปักษ์แห่งเมตตา (พ้นจากพยาบาทและกิเลสที่ฟุ้งขึ้นทั้งปวง อันเป็นปฏิปักษ์ต่อเมตตา โดยการข่มไว้).
บทว่า เมตฺตา จ เจโตวิมุตฺติ จ (เมตตาและเจโตวิมุตติ จิตมีเมตตาด้วย เป็นเจโตวิมุตติด้วย) คือเมตตาอย่างเดียวเท่านั้น ท่านพรรณนาไว้ ๓ อย่าง.
บท ๓ บทเหล่านั้น คือ อเวริโน เขมิโน สุขิโน (เป็นผู้ไม่มีเวร มีความปลอดโปร่ง มีความสุข) ท่านกล่าวสงเคราะห์อาการดังกล่าวแล้ว ใน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 549
บทก่อนโดยสังเขป.
อินทรีย์ ๕ สัมปยุตด้วยเมตตา ท่านกล่าวแล้วโดยนัยมี อาทิว่า สทฺธาย อธิมุจฺจติ (น้อมใจไปด้วยศรัทธา).
พึงทราบวินิจฉัยในวาระ ๖ มีอาทิว่า อาเสวนะ ดังต่อไปนี้ ชื่อว่า อาเสวนะ เพราะเสพเมตตา (เพราะเป็นเหตุให้เสพเมตตา).
ภาวนา และพหุลีกรรมก็อย่างนั้น.
บทว่า อลงฺการา (อลังการ) คือเครื่องประดับ.
บทว่า สฺวาลงฺกตา (ประดับด้วยดี ประดับดีแล้ว) คือประดับตกแต่งด้วยดี.
บทว่า ปริกฺขารา (บริขาร) คือสัมภาระทั้งหลาย เครื่องประกอบ.
บทว่า สุปริกฺขตา (ปรุงแต่งด้วยดี ปรุงแต่งดีแล้ว) คือเก็บรวบรวมไว้ด้วยดี เกิดด้วยดี.
บทว่า ปริวารา (บริวาร) ด้วยอรรถว่า รักษา เป็นเครื่องรักษา.
ท่านกล่าว ๒๘ บทมีอาเสวนะเป็นต้นอีก เพื่อกล่าวถึงคุณของเมตตา.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปาริปูริ (ทำให้เต็ม) คือความบริบูรณ์.
บทว่า สหคตา (สหรคต) คือสหรคตด้วยเมตตา.
บทว่า สหชาตา (สหชาติ) เป็นต้นก็อย่างนั้น.
บทว่า ปกฺขนฺทนา (แล่นไป) คือเข้าไปด้วยเมตตา ชื่อว่า ปกฺขนฺทนา เพราะเป็นเหตุแล่นไปแห่งเมตตา.
บทว่า สํสีทนา (ความผ่องใส) เป็นต้นก็อย่างนั้น.
บทว่า เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสนา (เห็นว่านี้สงบ เห็นว่านี้ละเอียด) คือเห็นว่าเมตตานี้สงบ (ได้แก่ ความเห็นมีด้วยอินทรีย์เหล่านั้นว่า เมตตานี้ละเอียด) เพราะเหตุนั้น การเห็นว่านี้สงบ (ละเอียด) เป็นนปุงสกลิงค์ ดุจในคำว่า เอตทคฺคํ นี้เลิศ.
บทว่า สฺวาธิฏฺิตา (อธิษฐานดีแล้ว) คือตั้งไว้ด้วยดี.
บทว่า สุสมุคฺคตา (ดำเนินขึ้นไปดีแล้ว) คือยกขึ้นแล้วด้วยดี.
บทว่า สุวิมุตฺตา (พ้นวิเศษแล้ว) คือพ้นด้วยดีแล้วจากข้าศึกของตนๆ.
บทว่า นิพฺพตฺเตนฺติ (ย่อมยังเมตตาเจโตวิมุตติให้เกิด) คืออินทรีย์ ๕ ประการสัมปยุตด้วยเมตตายังเมตตาให้เกิด.
บทว่า โชเตนฺติ (ให้รุ่งเรือง ให้โชติช่วง) คือทำให้ปรากฏ.
บทว่า ปตาเปนฺติ (ให้สว่างไสว) คือให้รุ่งโรจน์.
จบอรรถกถาอินทริยวาร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 550
อรรถกถาพลาทิวารัตตยะ (อรรถกถาวาระ ๓ มีพละเป็นต้น)
พึงทราบแม้พลวารโดยนัยดังกล่าวแล้วในอินทริยวารนั่นแล ท่านกล่าววาระองค์แห่งมรรคในโพชฌงค์ไว้โดยปริยาย (ท่านกล่าวโพชฌังควารและมัคคังควารไว้โดยปริยาย) มิได้กล่าวด้วยอำนาจตามลักษณะ ในวาระแห่งองค์มรรค (ในมัคคังควาร) ท่านกล่าวสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะไว้ด้วยอำนาจแห่งส่วนเบื้องต้นของเมตตา มิใช่ด้วยอำนาจแห่งอัปปนา เพราะธรรมเหล่านี้ ย่อมไม่เกิดร่วมด้วยเมตตา.
พึงทราบอรรถแม้แห่งวาระที่เหลือมีอาทิว่า สพฺเพสํ ปาณานํ (ปาณะทั้งปวง แห่งสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง) โดยนัยดังกล่าวแล้วในวาระ ๗ นั่นแล (โดยนัยดังกล่าวแล้วในวาระแห่งสัตว์นั่นแล) ส่วนวิธีเจริญเมตตาพึงถือเอาจากวิสุทธิมรรค.
จบอรรถกถาพลาทิวารัตตยะ (จบอรรถกถาวาระ ๓ มีพละเป็นต้น)
จบอรรถกถาเมตตากถา