พระอริยบุคคลมีกำลังกายมากกว่าคนปกติ และลมหายใจละเอียดกว่าคนทั่วไป
โดย Pholk  9 มี.ค. 2563
หัวข้อหมายเลข 31617

กราบเรียนถามท่านวิทยากร

พอดีได้ทราบมาว่า พระอริยบุคคลโดยทั่วไป มีกำลังกายมากกว่ามนุษย์ปรกติในยุคนั้นๆ เช่น นางวิสาขามิคารมาตา มีกำลังเท่าช้าง 5 เชือก ข้อนี้มีกล่าวในทำนองนี้ไว้หรือไม่ในพระไตรปิฎก

และทราบมาว่า พระอริยบุคคล มีปกติมีลมหายใจละเอียดประณีตกว่าบุคคลทั่วไปเพราะตั้งอยู่ในอานาปานสติเป็นวิหารธรรม มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกหรือไม่ครับ

ขอบพระคุณครับ



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 9 มี.ค. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ไม่ได้มีในพระไตรปิฎกที่แสดงว่าพระอริยบุคคลทุกคนจะมีกำลังกายมากกว่าคนปกติและไม่มีในพระไตริปฎกที่แสดงว่าพระอริยบุคคลทุกคนมีลมหายใจที่ประณีตอยู่ด้วยอานาปานสติ ครับ นางวิสาขามหาอุบาสิกา เป็นผู้ที่ทำบุญมามากมาย มาในชาติปัจจุบัน แม้ยังไม่เป็นพระอริยบุคคล เป็นปุถุชน ก็มีกำลังมากกว่าคนอื่น นี่เพราะผลบุญที่ทำมาดีแล้ว ไม่ใช่เพราะการเป็นพระอริยบุคคล สุปปพุทธกุฏฐิเป็นคนโรคเรื้อน ยากจน เมื่อได้เป็นพระอริยบุคคลเป็นพระโสดาบัน ก็ถูกโคขวิดตาย ไม่ได้มีกำลังเหมือนช้างสาร ดั่งเช่น นางวิสาขา เพราะแต่ละคน แต่ละท่าน ทำบุญมาแตกต่างกันไป ไม่ใช่เป็นพระอริยบุคคลแล้วจะมีกำลังมากกว่าคนปกติ ครับ
ส่วนพระอริยบุคคลไม่ทุกท่านที่จะเจริญอานาปานสติ อานาปานสติเป็นอารมณ์ที่ละเอียดประณีต ผู้ที่เป็นสาวกผู้เลิศต่างๆ ย่อมเจริญอานาปานสติ แต่พระอริยบุคคลแต่ละท่าน บางท่านก็ไม่ได้เจริญฌาน ไม่ได้มีอานาปานสติเป็นอารณ์ บางท่านก็มี พุทธานุสติ ธัมมานุสติ เป็นต้น เพราะฉะนั้น การอ่านพระไตรปิฎก มุ่งเจาะจงเรื่องลมหายใจ แสดงถึงการขาดความเข้าใจธรรมในเรื่องความเป็นอนัตตา ว่าบังคับสติไมไ่ด้ เพราะสติเป็นธรรม ธรรมทั้งหลายเป้นอนัตตา การคิดจะเลือกเอา ก็คือ โลภะความต้องการ เพราะบางท่านที่เป็นพระอริยบุคคลก็ไม่ได้เจริญอานาปานสติ ครับ

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 2    โดย khampan.a  วันที่ 9 มี.ค. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ต้องไม่ลืมในความเป็นธรรมที่เป็นอนัตตาจริงๆ คือ เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เพราะแต่ละคนจะมีกำลังมาก กำลังน้อย มีโรคมาก มีโรคน้อย เป็นต้น ก็ต้องมาจากเหตุเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม และการเป็นพระอริยบุคคลทุกขั้น เป็นได้ด้วยปัญญาที่อบรมเจริญในหนทางที่ถูกต้อง ที่เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ เพราะถ้าไม่มีปัญญา ไม่ดำเนินตามหนทางที่ถูกต้องแล้ว ไม่สามารถเป็นพระอริยบุคคลได้เลย
การรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เป็นเรื่องของปัญญาที่เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง สติเกิดขึ้นระลึกและปัญญารู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมในขณะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงสติปัฏฐานไว้ ๔ ประการ ไม่ใช่เพียงประการเดียวเท่านั้น จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ว่าเป็นเรื่องที่จะต้องอาศัยการฟังในสิ่งที่มีจริงเนืองๆ บ่อยๆ พิจารณาเหตุผลแล้วก็เจริญเหตุให้สมควรแก่ผลด้วย
ข้อสำคัญประการหนึ่ง ก็คือ ไม่เข้าใจผิดว่าเป็นสติปัฏฐานเฉพาะบางสิ่งบางประการ หรือ เลือกเจาะจงเฉพาะบางนามธรรม บางรูปธรรม แต่ต้องเข้าใจให้ถูกต้องตามความเป็นจริงว่าทุกอย่างที่เป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้นทางกายทางใจ นั้น เป็นสติปัฏฐานทั้งสิ้น เพราะเป็นที่ตั้งให้สติสัมปชัญญะเกิดขึ้นระลึกรู้ตามความเป็นจริงได้ ลมหายใจ ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย เพราะลมหายใจเป็นส่วนหนึ่งของกาย เป็นสภาพที่ปรุงแต่งกาย และเคยยึดถือว่าเป็นลมหายใจของเรา เป็นเราหายใจ แต่ขณะที่สติปัฏฐานเกิดขึ้น รู้ลักษณะ ของสิ่งที่กำลังปรากฏ คือ ธาตุดิน ธาตุไฟ หรือธาตุลมเริ่มที่จะเข้าใจว่าเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งมีลักษณะอย่างนั้นเอง คือ เป็นธาตุที่ไม่รู้อารมณ์ (คือเป็นรูปธรรม) เป็นการถ่ายถอนความเข้าใจผิดที่เคยยึดถือว่า เป็นเราที่หายใจ หรือเป็นลมหายใจของเรา ทั้งนี้ แล้วแต่ว่าสติจะระลึกรู้ลักษณะใด โดยไม่จำกัดและไม่เจาะจง เพราะเป็นอนัตตาไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 3    โดย Pholk  วันที่ 9 มี.ค. 2563

กราบขอบพระคุณครับ


ความคิดเห็น 4    โดย ประสาน  วันที่ 9 มี.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย ธนฤทธิ์  วันที่ 10 มี.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 6    โดย chatchai.k  วันที่ 23 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ